'1 ปี คาร์ม็อบไล่ประยุทธ์' ศูนย์ทนายฯ สรุปคดีทั่วไทยมีไม่น้อยกว่า 109 คดี
https://prachatai.com/journal/2022/07/99344
'1 ปี คาร์ม็อบไล่ประยุทธ์' ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน สรุปคดีทั่วไทยมีไม่น้อยกว่า 109 คดี ศาลยกฟ้องไป 5 คดี อัยการสั่งไม่ฟ้อง 4 คดี
3 ก.ค. 2565 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่าเมื่อปี 2564 นับได้ว่าเป็นวันที่มีการเริ่มจัดกิจกรรม
“คาร์ม็อบ” (Car Mob) เพื่อแสดงออกทางการเมือง โดยการริเริ่มของ
สมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด จัดกิจกรรม #สมบัติทัวร์ จากบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ไปยังทำเนียบรัฐบาล เพื่อเรียกร้องให้ พล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออกจากตำแหน่ง หลังจากนั้นในช่วง 2-3 เดือนหลังจากนั้น ก็มีการจัดกิจกรรมคาร์ม็อบในลักษณะเดียวกันอย่างต่อเนื่อง กระจายไปในจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ
แม้จนถึงปัจจุบัน กิจกรรมจะยังไม่ประสบความสำเร็จในข้อเรียกร้อง แต่ปรากฏการณ์คาร์ม็อบเมื่อปีที่แล้ว ก็สะท้อนความเคลื่อนไหวที่กว้างขวาง กระจายตัว ในหลายจังหวัดมีประชาชนเข้าร่วมจำนวนมาก และเป็นกิจกรรมการแสดงออกท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งรูปแบบการชุมนุมรวมตัวมีข้อจำกัด รูปแบบการนั่งอยู่บนรถส่วนตัว ไม่ได้สัมผัสใกล้ชิด แต่ยังสามารถร่วมเคลื่อนขบวนรถไปด้วยกัน จึงเป็นทางเลือกสำคัญในการจัดกิจกรรมแสดงออกทางการเมือง
หลังจากกิจกรรมคาร์ม็อบในหลายพื้นที่ ตำรวจมีการดำเนินคดีติดตามมา ส่วนใหญ่ด้วยข้อหาฝ่าฝืนข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ การดำเนินคดีกลายเป็น “นโยบายของรัฐ” ที่มุ่งใช้ต่อผู้แสดงออกทางการเมือง ผ่านไป 1 ปี คดีเหล่านั้นก็ยังไม่ได้สิ้นสุดลง แต่ยังอยู่ระหว่างต่อสู้คดีอีกจำนวนมาก แม้จะเริ่มมีแนวทางที่อัยการสั่งไม่ฟ้องคดี และศาลพิพากษายกฟ้องแล้วก็ตาม ภาระการต่อสู้คดีจึงยังเป็นส่วนหนึ่งที่ถูกรัฐใช้เป็นเครื่องมือที่สำคัญ
จากการติดตามของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ตั้งแต่เริ่มมีการจัดกิจกรรมคาร์ม็อบในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม 2564 เป็นต้นมา มีผู้ถูกดำเนินคดีจากกิจกรรมลักษณะนี้ ไม่น้อยกว่า 269 ราย ใน 109 คดี (บางรายถูกกล่าวหาในหลายคดี) ในจำนวนนี้เป็นผู้ถูกกล่าวหาที่ยังเป็นเยาวชนจำนวน 21 ราย
หากพิจารณาคดีแยกเป็นรายจังหวัด จะพบว่ามีคดีเกิดขึ้นทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ไม่น้อยกว่า 41 จังหวัด หรือคิดเป็นเกินกว่าร้อยละ 53 ของจังหวัดในประเทศไทย คือมากกว่าครึ่งหนึ่งที่มีการดำเนินคดีจากคาร์ม็อบ ได้แก่
ภาคกลางและตะวันอก กรุงเทพมหานคร (26 คดี), นนทบุรี (3 คดี), ปทุมธานี (2 คดี), ชลบุรี (2 คดี), ลพบุรี (2 คดี), ฉะเชิงเทรา (2 คดี), สระบุรี (1 คดี), สิงห์บุรี (1 คดี), กาญจนบุรี (1 คดี), นครนายก (1 คดี)
ภาคหนือ เชียงใหม่ (6 คดี), เชียงราย (5 คดี), ลำปาง (3 คดี), ลำพูน (2 คดี), ตาก (2 คดี), นครสวรรค์ (2 คดี), พิษณุโลก (1 คดี), กำแพงเพชร (1 คดี), อุตรดิตถ์ (1 คดี), เพชรบูรณ์ (1 คดี)
ภาคอีสาน นครราชสีมา (7 คดี), ขอนแก่น (4 คดี), นครพนม (3 คดี), สกลนคร (3 คดี), สุรินทร์ (2 คดี), ร้อยเอ็ด (2 คดี), อุบลราชธานี (2 คดี), ชัยภูมิ (1 คดี), ยโสธร (1 คดี), หนองบัวลำภู (1 คดี), อำนาจเจริญ (1 คดี), มุกดาหาร (1 คดี)
ภาคต้ นครศรีธรรมราช (3 คดี), ยะลา (3 คดี), กระบี่ (2 คดี), ภูเก็ต (2 คดี), ปัตตานี (2 คดี), นราธิวาส (1 คดี), สตูล (1 คดี), สุราษฎร์ธานี (1 คดี), สงขลา (1 คดี)
คดียังอยู่ระหว่างต่อสู้อีกไม่น้อยกว่า 83 คดี ทั้งที่อัยการสั่งไม่ฟ้อง-ศาลยกฟ้องต่อเนื่อง
จากคดีทั้งหมดเหล่านี้ ควรกล่าวด้วยว่าไม่ใช่กิจกรรมคาร์ม็อบทุกครั้งจะถูกดำเนินคดี มีหลายกิจกรรมที่ไม่ได้มีการดำเนินคดีตามมา แม้จะจัดในลักษณะเดียวกัน หรือบางพื้นที่ ตำรวจก็มีการดำเนินคดีในข้อหาที่มีอัตราโทษปรับ ไม่ได้ดำเนินคดีในข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ทั้งหมด ทำให้เห็นความลักลั่นแตกต่างกัน จนกระทั่งไม่ได้มีมาตรฐานในการใช้กฎหมายที่ชัดเจน
ในส่วนของผลทางคดี จากคดีทั้งหมด 109 คดีดังกล่าว มีคดีที่ตำรวจเปรียบเทียบในข้อหาการใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือข้อหาตาม พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ ทำให้คดีสิ้นสุดไปจำนวน 14 คดี
ขณะเดียวกัน มีคดีฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นศาลจำนวน 3 คดี ได้แก่ คดีที่จังหวัดลำปาง, ชัยภูมิ และหนองบัวลำภู ซึ่งศาลมีทั้งการลงโทษจำคุก แต่ให้รอลงอาญา หรือให้รอการกำหนดโทษ (มีคดีที่จังหวัดนครราชสีมา ที่จำเลยบางส่วนให้การรับสารภาพ แต่บางส่วนก็ยืนยันต่อสู้คดี)
นอกจากนั้น มีคดีที่ถูกกล่าวหาในข้อหาตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ซึ่งพนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้องคดีไปแล้ว 4 คดี ได้แก่ คดีที่จังหวัดตาก, คดีที่จังหวัดมุกดาหาร, คดีคาร์ม็อบจากสนามบินดอนเมือง 1 ส.ค. 2564 และคดีคาร์ม็อบ “
รวมพลังคนพันธุ์ R อาชีวะขับไล่ [เผล่ะจัง] ” 15 ส.ค. 2564
และมีคดีที่ศาลมีคำพิพากษายกฟ้องไปแล้ว 5 คดี ได้แก่ คดีคาร์ม็อบที่จังหวัดลพบุรี 2 คดี, คดีคาร์ม็อบที่จังหวัดนครราชสีมา 2 คดี และคดีคาร์ม็อบที่จังหวัดกำแพงเพชร โดยที่ยังไม่มีคดีคาร์ม็อบคดีใดที่มีการต่อสู้คดี แล้วศาลมีคำพิพากษาว่ามีความผิดในข้อกล่าวหาตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ แต่อย่างใด
สรุปแล้วจนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน 2565 ยังเหลือคดีคาร์ม็อบอีกไม่น้อยกว่า 83 คดี ที่ยังอยู่ระหว่างต่อสู้คดี โดยแยกเป็นคดีที่ยังอยู่ในชั้นสอบสวน 53 คดี และคดีที่อยู่ระหว่างพิจารณาในชั้นศาลแล้ว 30 คดี ในครึ่งปีหลังของปี 2565 จึงมีนัดรอสืบพยานในคดีคาร์ม็อบของจังหวัดต่างๆ อยู่อย่างต่อเนื่อง
อ่านรายงานฉบับเต็มได้ที่เว็บไซต์ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
ศูนย์จีโนมฯ แนะไทยจับตาอีก 1 เดือน รู้โอมิครอนระบาดใหญ่หรือไม่
https://www.matichon.co.th/covid19/news_3432600
วันที่ 2 กรกฎาคม 2565 ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์โรคโควิด-19 ทั่วโลก และสถานการณ์ในประเทศไทย ที่ล่าสุดกำลังเฝ้าระวังเชื้อโอมิครอน สายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 ว่า “
อายุผู้ติดเชื้อ” และ “
ประเภทของสายพันธุ์ย่อยของโอไมครอนที่ระบาดระลอกก่อน” เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการระบาดใหญ่ของโอไมครอนสายพันธุ์ย่อย “BA.4” และ “BA.5” ที่กำลังดำเนินอยู่ขณะนี้
เป็นที่ชัดเจนว่าการติดเชื้อเพิ่มขึ้นของโอไมครอน สายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 ส่วนหนึ่งมาจากความสามารถของ BA.4 และ BA.5 ในการแพร่เชื้อไปยังผู้ที่เคยติดเชื้อและมีภูมิคุ้มกันต่อโอไมครอนสายพันธุ์ดั้งเดิม BA.1 และ BA.2 ที่ระบาดมาก่อนหน้า โดย BA.4 และ BA.5 พบครั้งแรกในประเทศแอฟริกาใต้ในเดือนเมษายน 2565 หลังจากมีการระบาดของโอไมครอนสายพันธุ์ดั้งเดิม (B.1.1.529) เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2564 ตามมาด้วยการระบาดของสายพันธุ์ย่อย BA.1 และ BA.2 ในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2565 (ภาพ1)
เดือนมิถุนายน 2565 มีการระบาดใหญ่ของ BA.4 และ BA.5 ในยุโรป จากนั้นแพร่กระจายไปทั่วโลก (ภาพ 1,3) เนื่องจาก BA.4 และ BA.5 มีการกลายพันธุ์ต่างไปจากไวรัสโคโรนา 2019 สายพันธุ์ดั้งเดิม “อู่ฮั่น” ประมาณ 85 ตำแหน่งทำให้มีความสามารถในการแพร่ติดต่อได้เร็วกว่าโอไมครอนสายพันธุ์ย่อยอื่น (ภาพ2) ซึ่งส่วนใหญ่เป็น BA.2 ซึ่งมีการระบาดมาตั้งแต่ต้นปี 2565 แต่จนถึงขณะนี้มีผู้ติดเชื้อ BA.4 และ BA.5 ที่ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลและเสียชีวิตน้อยกว่าในช่วงการระบาดของ BA.2 เมื่อช่วงต้นปีมาก ซึ่งเป็นสัญญาณว่าภูมิคุ้มกันของประชากรที่เพิ่มขึ้นกำลังบรรเทาผลกระทบจากการระบาดระลอกใหม่ของโอมิครอน สายพันธุ์ BA.4 และ BA.5
ความรวดเร็วและรุนแรงในการแพร่ระบาด BA.4 และ BA.5 จะแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ บางประเทศพบผู้ติดเชื้อโอไมครอนสายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 เพียง 5% ในขณะที่บางประเทศสูงถึง 30% ทุกอย่างขึ้นอยู่กับโปรไฟล์ของภูมิคุ้มกันต่อโอไมครอนสายพันธุ์ย่อย BA.1 หรือ BA.2 ที่เคยระบาดมาก่อน รวมทั้งอายุเฉลี่ยของประชาชนในประเทศนั้นๆ
เนื่องจาก BA.4 และ BA.5 มีรหัสพันธุกรรมที่คล้ายคลึงกับ BA.2 มากกว่า BA.1 ภูมิคุ้มกันที่ผู้ติดเชื้อได้รับจากการติดเชื้อ BA.2 ตามธรรมชาติจะปกป้องการติดเชื้อ BA.4 และ BA.5 ได้ดีกว่าการติดเชื้อจาก BA.1 (ภาพ3)
BA.4 และ BA.5 มีตำแหน่งการกลายพันธุ์บนหนามแหลมต่างจาก BA.1 และ BA.2 2 ตำแหน่งคือ L452R และ F486V ทำให้มีการแพร่ระบาดและหลบเลี่ยง ภูมิคุ้มกันได้รวดเร็วและดีขึ้น (ภาพ4)
การระบาดของ BA.4 และ BA.5 ในยุโรปจนถึงปัจจุบันโดยภาพรวมจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่และผู้เสียชีวิตน้อยกว่าการระบาดใหญ่ของของ BA.1 และ BA.2 เมื่อต้นปี 2565 ที่ผ่านมา (ภาพ5)
การระบาดของ BA.4 และ BA.5 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งประเทศไทยในภาพรวมจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่และผู้เสียชีวิตเริ่มขยับไปใกล้เคียงกับในยุโรป (ภาพ6)
การระบาดของ BA.4 และ BA.5 ในยุโรป พบว่าหากประเทศใดมีการระบาดใหญ่ของ BA.2 มาก่อนจะพบว่าประชากรจะมีภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติป้องกันการระบาดของ BA.4 และ BA.5 ได้ดี มีผู้ติดเชื้อต้องเข้ารับการรักษาตัวใน รพ. ไม่มาก เมื่อเทียบกับประเทศที่มีการระบาดของโอไมครอนมาก่อนหน้าเป็น BA.1 (ภาพ3)
ที่น่าสนใจคือการติดเชื้อแพร่ระบาดของ BA.4 และ BA.5 ในประเทศแอฟริกาใต้และประเทศโปรตุเกส
ประเทศแอฟริกาใต้เป็นประเทศแรกที่มีการระบาดของ BA.4 และ BA.5 แต่พบผู้ติดเชื้อที่ต้องเข้ารักษาตัวใน รพ. 35% และมีผู้เสียชีวิตน้อย ปัจจุบันการระบาดของ BA.4 และ BA.5 ได้ลดลงมากแล้ว (ภาพ3) แม้ประเทศแอฟริกาใต้จะมีการระบาดใหญ่ของ BA.1 มาก่อนหน้าไม่ใช่ BA.2 รวมทั้งประชากรส่วนใหญ่ได้รับการฉีดวัคซีนกันน้อยเพียง 37% แต่จุดสำคัญแตกต่างจากประเทศอื่นคือประชากรส่วนใหญ่ไม่ใช่ผู้สูงวัย ประชากรของแอฟริกาใต้มีอายุเฉลี่ยเพียง 64 ปี ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ภาพ7)
ในขณะที่โปรตุเกสซึ่งพบการระบาดของ BA.4 และ BA.5 สูงที่สุดในโลก มีการระบาดของ BA.1 มาก่อนเช่นเดียวกับประเทศแอฟริการใต้ ประชากรถึงร้อยละ 96 ได้รับการฉีดวัคซีน (ภาพ8) แต่ก็ไม่อาจป้องกันการติดเชื้อ BA.4 และ BA.5 ได้เนื่องจากประชากรส่วนใหญ่เป็นผู้สูงวัย มีอายุเฉลี่ย 82 ปี (ภาพ7) โดยมีผู้ติดเชื้อ BA.4 และ BA.5 ที่ต้องเข้า รพ. ถึงร้อยละ 80 เลยทีเดียว (ภาพ3) จำนวนหนึ่งเสียชีวิต
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ฯร่วมมือกับกลุ่ม “
นักวิจัยนานาชาติ” ที่ร่วมด้วยช่วยกันถอดรหัสพันธุกรรมจีโนมมนุษย์ของผู้ที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อันประกอบด้วยโครโมโซม 23คู่ จำนวน3,000 ล้านเบส โดยมียีนทั้งหมดจำนวน 25,000 ยีนที่สร้างโปรตีน พบว่ากว่า 20 % ของผู้ที่เป็นโรคโควิด-19 ที่มีอาการปอดบวมรุนแรง เพราะในร่างกายมีการสร้าง “
แอนติบอดีต่อร่างกายตนเอง (Auto-antibodies)” เข้าทำลาย “
อินเตอร์เฟียรอน” ซึ่งเป็นโปรตีนต่อต้านไวรัสที่ร่างกายสร้างขึ้นมา และปริมาณของ Auto-antibodies จะถูกสร้างเพิ่มขึ้นตามอายุและจะพบมากในผู้มีอายุมากกว่า 70 ปีขึ้นไป โดยพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ส่วนอีกประมาณ 3.5 เปอร์เซ็นต์พบว่าเป็นผู้ติดเชื้อที่มียีนกลายพันธุ์มาแต่กำเนิด ทำให้ร่างกายสร้างอินเตอร์เฟียรอนได้เพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับคนปรกติ หรือไม่สร้างเลย (inborn errors of immunity) ซึ่งในทั้งสองกรณี (Auto-antibodies และ inborn errors of immunity) ส่งผลให้ร่างกายผู้ติดเชื้อผลิตอินเตอร์เฟียรอนลดลง ทำให้ไวรัสสามารถเพิ่มจำนวนได้อย่างรวดโดยไม่มีอะไรมายับยั้งก่อให้เกิดอาการติดเชื้อที่รุนแรง (ภาพ9)
JJNY : '1 ปี คาร์ม็อบไล่ประยุทธ์'│ศูนย์จีโนมฯ แนะไทยจับตาอีก 1 ด.│ธุรกิจกิน-ดื่มฟื้นแค่40%│โวยรัสเซียใช้ระเบิดฟอสฟอรัส
https://prachatai.com/journal/2022/07/99344
'1 ปี คาร์ม็อบไล่ประยุทธ์' ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน สรุปคดีทั่วไทยมีไม่น้อยกว่า 109 คดี ศาลยกฟ้องไป 5 คดี อัยการสั่งไม่ฟ้อง 4 คดี
3 ก.ค. 2565 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่าเมื่อปี 2564 นับได้ว่าเป็นวันที่มีการเริ่มจัดกิจกรรม “คาร์ม็อบ” (Car Mob) เพื่อแสดงออกทางการเมือง โดยการริเริ่มของสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด จัดกิจกรรม #สมบัติทัวร์ จากบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ไปยังทำเนียบรัฐบาล เพื่อเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออกจากตำแหน่ง หลังจากนั้นในช่วง 2-3 เดือนหลังจากนั้น ก็มีการจัดกิจกรรมคาร์ม็อบในลักษณะเดียวกันอย่างต่อเนื่อง กระจายไปในจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ
แม้จนถึงปัจจุบัน กิจกรรมจะยังไม่ประสบความสำเร็จในข้อเรียกร้อง แต่ปรากฏการณ์คาร์ม็อบเมื่อปีที่แล้ว ก็สะท้อนความเคลื่อนไหวที่กว้างขวาง กระจายตัว ในหลายจังหวัดมีประชาชนเข้าร่วมจำนวนมาก และเป็นกิจกรรมการแสดงออกท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งรูปแบบการชุมนุมรวมตัวมีข้อจำกัด รูปแบบการนั่งอยู่บนรถส่วนตัว ไม่ได้สัมผัสใกล้ชิด แต่ยังสามารถร่วมเคลื่อนขบวนรถไปด้วยกัน จึงเป็นทางเลือกสำคัญในการจัดกิจกรรมแสดงออกทางการเมือง
หลังจากกิจกรรมคาร์ม็อบในหลายพื้นที่ ตำรวจมีการดำเนินคดีติดตามมา ส่วนใหญ่ด้วยข้อหาฝ่าฝืนข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ การดำเนินคดีกลายเป็น “นโยบายของรัฐ” ที่มุ่งใช้ต่อผู้แสดงออกทางการเมือง ผ่านไป 1 ปี คดีเหล่านั้นก็ยังไม่ได้สิ้นสุดลง แต่ยังอยู่ระหว่างต่อสู้คดีอีกจำนวนมาก แม้จะเริ่มมีแนวทางที่อัยการสั่งไม่ฟ้องคดี และศาลพิพากษายกฟ้องแล้วก็ตาม ภาระการต่อสู้คดีจึงยังเป็นส่วนหนึ่งที่ถูกรัฐใช้เป็นเครื่องมือที่สำคัญ
จากการติดตามของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ตั้งแต่เริ่มมีการจัดกิจกรรมคาร์ม็อบในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม 2564 เป็นต้นมา มีผู้ถูกดำเนินคดีจากกิจกรรมลักษณะนี้ ไม่น้อยกว่า 269 ราย ใน 109 คดี (บางรายถูกกล่าวหาในหลายคดี) ในจำนวนนี้เป็นผู้ถูกกล่าวหาที่ยังเป็นเยาวชนจำนวน 21 ราย
หากพิจารณาคดีแยกเป็นรายจังหวัด จะพบว่ามีคดีเกิดขึ้นทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ไม่น้อยกว่า 41 จังหวัด หรือคิดเป็นเกินกว่าร้อยละ 53 ของจังหวัดในประเทศไทย คือมากกว่าครึ่งหนึ่งที่มีการดำเนินคดีจากคาร์ม็อบ ได้แก่
ภาคกลางและตะวันอก กรุงเทพมหานคร (26 คดี), นนทบุรี (3 คดี), ปทุมธานี (2 คดี), ชลบุรี (2 คดี), ลพบุรี (2 คดี), ฉะเชิงเทรา (2 คดี), สระบุรี (1 คดี), สิงห์บุรี (1 คดี), กาญจนบุรี (1 คดี), นครนายก (1 คดี)
ภาคหนือ เชียงใหม่ (6 คดี), เชียงราย (5 คดี), ลำปาง (3 คดี), ลำพูน (2 คดี), ตาก (2 คดี), นครสวรรค์ (2 คดี), พิษณุโลก (1 คดี), กำแพงเพชร (1 คดี), อุตรดิตถ์ (1 คดี), เพชรบูรณ์ (1 คดี)
ภาคอีสาน นครราชสีมา (7 คดี), ขอนแก่น (4 คดี), นครพนม (3 คดี), สกลนคร (3 คดี), สุรินทร์ (2 คดี), ร้อยเอ็ด (2 คดี), อุบลราชธานี (2 คดี), ชัยภูมิ (1 คดี), ยโสธร (1 คดี), หนองบัวลำภู (1 คดี), อำนาจเจริญ (1 คดี), มุกดาหาร (1 คดี)
ภาคต้ นครศรีธรรมราช (3 คดี), ยะลา (3 คดี), กระบี่ (2 คดี), ภูเก็ต (2 คดี), ปัตตานี (2 คดี), นราธิวาส (1 คดี), สตูล (1 คดี), สุราษฎร์ธานี (1 คดี), สงขลา (1 คดี)
คดียังอยู่ระหว่างต่อสู้อีกไม่น้อยกว่า 83 คดี ทั้งที่อัยการสั่งไม่ฟ้อง-ศาลยกฟ้องต่อเนื่อง
จากคดีทั้งหมดเหล่านี้ ควรกล่าวด้วยว่าไม่ใช่กิจกรรมคาร์ม็อบทุกครั้งจะถูกดำเนินคดี มีหลายกิจกรรมที่ไม่ได้มีการดำเนินคดีตามมา แม้จะจัดในลักษณะเดียวกัน หรือบางพื้นที่ ตำรวจก็มีการดำเนินคดีในข้อหาที่มีอัตราโทษปรับ ไม่ได้ดำเนินคดีในข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ทั้งหมด ทำให้เห็นความลักลั่นแตกต่างกัน จนกระทั่งไม่ได้มีมาตรฐานในการใช้กฎหมายที่ชัดเจน
ในส่วนของผลทางคดี จากคดีทั้งหมด 109 คดีดังกล่าว มีคดีที่ตำรวจเปรียบเทียบในข้อหาการใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือข้อหาตาม พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ ทำให้คดีสิ้นสุดไปจำนวน 14 คดี
ขณะเดียวกัน มีคดีฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นศาลจำนวน 3 คดี ได้แก่ คดีที่จังหวัดลำปาง, ชัยภูมิ และหนองบัวลำภู ซึ่งศาลมีทั้งการลงโทษจำคุก แต่ให้รอลงอาญา หรือให้รอการกำหนดโทษ (มีคดีที่จังหวัดนครราชสีมา ที่จำเลยบางส่วนให้การรับสารภาพ แต่บางส่วนก็ยืนยันต่อสู้คดี)
นอกจากนั้น มีคดีที่ถูกกล่าวหาในข้อหาตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ซึ่งพนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้องคดีไปแล้ว 4 คดี ได้แก่ คดีที่จังหวัดตาก, คดีที่จังหวัดมุกดาหาร, คดีคาร์ม็อบจากสนามบินดอนเมือง 1 ส.ค. 2564 และคดีคาร์ม็อบ “รวมพลังคนพันธุ์ R อาชีวะขับไล่ [เผล่ะจัง] ” 15 ส.ค. 2564
และมีคดีที่ศาลมีคำพิพากษายกฟ้องไปแล้ว 5 คดี ได้แก่ คดีคาร์ม็อบที่จังหวัดลพบุรี 2 คดี, คดีคาร์ม็อบที่จังหวัดนครราชสีมา 2 คดี และคดีคาร์ม็อบที่จังหวัดกำแพงเพชร โดยที่ยังไม่มีคดีคาร์ม็อบคดีใดที่มีการต่อสู้คดี แล้วศาลมีคำพิพากษาว่ามีความผิดในข้อกล่าวหาตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ แต่อย่างใด
สรุปแล้วจนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน 2565 ยังเหลือคดีคาร์ม็อบอีกไม่น้อยกว่า 83 คดี ที่ยังอยู่ระหว่างต่อสู้คดี โดยแยกเป็นคดีที่ยังอยู่ในชั้นสอบสวน 53 คดี และคดีที่อยู่ระหว่างพิจารณาในชั้นศาลแล้ว 30 คดี ในครึ่งปีหลังของปี 2565 จึงมีนัดรอสืบพยานในคดีคาร์ม็อบของจังหวัดต่างๆ อยู่อย่างต่อเนื่อง
อ่านรายงานฉบับเต็มได้ที่เว็บไซต์ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
ศูนย์จีโนมฯ แนะไทยจับตาอีก 1 เดือน รู้โอมิครอนระบาดใหญ่หรือไม่
https://www.matichon.co.th/covid19/news_3432600
วันที่ 2 กรกฎาคม 2565 ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์โรคโควิด-19 ทั่วโลก และสถานการณ์ในประเทศไทย ที่ล่าสุดกำลังเฝ้าระวังเชื้อโอมิครอน สายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 ว่า “อายุผู้ติดเชื้อ” และ “ประเภทของสายพันธุ์ย่อยของโอไมครอนที่ระบาดระลอกก่อน” เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการระบาดใหญ่ของโอไมครอนสายพันธุ์ย่อย “BA.4” และ “BA.5” ที่กำลังดำเนินอยู่ขณะนี้
เป็นที่ชัดเจนว่าการติดเชื้อเพิ่มขึ้นของโอไมครอน สายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 ส่วนหนึ่งมาจากความสามารถของ BA.4 และ BA.5 ในการแพร่เชื้อไปยังผู้ที่เคยติดเชื้อและมีภูมิคุ้มกันต่อโอไมครอนสายพันธุ์ดั้งเดิม BA.1 และ BA.2 ที่ระบาดมาก่อนหน้า โดย BA.4 และ BA.5 พบครั้งแรกในประเทศแอฟริกาใต้ในเดือนเมษายน 2565 หลังจากมีการระบาดของโอไมครอนสายพันธุ์ดั้งเดิม (B.1.1.529) เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2564 ตามมาด้วยการระบาดของสายพันธุ์ย่อย BA.1 และ BA.2 ในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2565 (ภาพ1)
เดือนมิถุนายน 2565 มีการระบาดใหญ่ของ BA.4 และ BA.5 ในยุโรป จากนั้นแพร่กระจายไปทั่วโลก (ภาพ 1,3) เนื่องจาก BA.4 และ BA.5 มีการกลายพันธุ์ต่างไปจากไวรัสโคโรนา 2019 สายพันธุ์ดั้งเดิม “อู่ฮั่น” ประมาณ 85 ตำแหน่งทำให้มีความสามารถในการแพร่ติดต่อได้เร็วกว่าโอไมครอนสายพันธุ์ย่อยอื่น (ภาพ2) ซึ่งส่วนใหญ่เป็น BA.2 ซึ่งมีการระบาดมาตั้งแต่ต้นปี 2565 แต่จนถึงขณะนี้มีผู้ติดเชื้อ BA.4 และ BA.5 ที่ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลและเสียชีวิตน้อยกว่าในช่วงการระบาดของ BA.2 เมื่อช่วงต้นปีมาก ซึ่งเป็นสัญญาณว่าภูมิคุ้มกันของประชากรที่เพิ่มขึ้นกำลังบรรเทาผลกระทบจากการระบาดระลอกใหม่ของโอมิครอน สายพันธุ์ BA.4 และ BA.5
ความรวดเร็วและรุนแรงในการแพร่ระบาด BA.4 และ BA.5 จะแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ บางประเทศพบผู้ติดเชื้อโอไมครอนสายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 เพียง 5% ในขณะที่บางประเทศสูงถึง 30% ทุกอย่างขึ้นอยู่กับโปรไฟล์ของภูมิคุ้มกันต่อโอไมครอนสายพันธุ์ย่อย BA.1 หรือ BA.2 ที่เคยระบาดมาก่อน รวมทั้งอายุเฉลี่ยของประชาชนในประเทศนั้นๆ
เนื่องจาก BA.4 และ BA.5 มีรหัสพันธุกรรมที่คล้ายคลึงกับ BA.2 มากกว่า BA.1 ภูมิคุ้มกันที่ผู้ติดเชื้อได้รับจากการติดเชื้อ BA.2 ตามธรรมชาติจะปกป้องการติดเชื้อ BA.4 และ BA.5 ได้ดีกว่าการติดเชื้อจาก BA.1 (ภาพ3)
BA.4 และ BA.5 มีตำแหน่งการกลายพันธุ์บนหนามแหลมต่างจาก BA.1 และ BA.2 2 ตำแหน่งคือ L452R และ F486V ทำให้มีการแพร่ระบาดและหลบเลี่ยง ภูมิคุ้มกันได้รวดเร็วและดีขึ้น (ภาพ4)
การระบาดของ BA.4 และ BA.5 ในยุโรปจนถึงปัจจุบันโดยภาพรวมจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่และผู้เสียชีวิตน้อยกว่าการระบาดใหญ่ของของ BA.1 และ BA.2 เมื่อต้นปี 2565 ที่ผ่านมา (ภาพ5)
การระบาดของ BA.4 และ BA.5 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งประเทศไทยในภาพรวมจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่และผู้เสียชีวิตเริ่มขยับไปใกล้เคียงกับในยุโรป (ภาพ6)
การระบาดของ BA.4 และ BA.5 ในยุโรป พบว่าหากประเทศใดมีการระบาดใหญ่ของ BA.2 มาก่อนจะพบว่าประชากรจะมีภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติป้องกันการระบาดของ BA.4 และ BA.5 ได้ดี มีผู้ติดเชื้อต้องเข้ารับการรักษาตัวใน รพ. ไม่มาก เมื่อเทียบกับประเทศที่มีการระบาดของโอไมครอนมาก่อนหน้าเป็น BA.1 (ภาพ3)
ที่น่าสนใจคือการติดเชื้อแพร่ระบาดของ BA.4 และ BA.5 ในประเทศแอฟริกาใต้และประเทศโปรตุเกส
ประเทศแอฟริกาใต้เป็นประเทศแรกที่มีการระบาดของ BA.4 และ BA.5 แต่พบผู้ติดเชื้อที่ต้องเข้ารักษาตัวใน รพ. 35% และมีผู้เสียชีวิตน้อย ปัจจุบันการระบาดของ BA.4 และ BA.5 ได้ลดลงมากแล้ว (ภาพ3) แม้ประเทศแอฟริกาใต้จะมีการระบาดใหญ่ของ BA.1 มาก่อนหน้าไม่ใช่ BA.2 รวมทั้งประชากรส่วนใหญ่ได้รับการฉีดวัคซีนกันน้อยเพียง 37% แต่จุดสำคัญแตกต่างจากประเทศอื่นคือประชากรส่วนใหญ่ไม่ใช่ผู้สูงวัย ประชากรของแอฟริกาใต้มีอายุเฉลี่ยเพียง 64 ปี ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ภาพ7)
ในขณะที่โปรตุเกสซึ่งพบการระบาดของ BA.4 และ BA.5 สูงที่สุดในโลก มีการระบาดของ BA.1 มาก่อนเช่นเดียวกับประเทศแอฟริการใต้ ประชากรถึงร้อยละ 96 ได้รับการฉีดวัคซีน (ภาพ8) แต่ก็ไม่อาจป้องกันการติดเชื้อ BA.4 และ BA.5 ได้เนื่องจากประชากรส่วนใหญ่เป็นผู้สูงวัย มีอายุเฉลี่ย 82 ปี (ภาพ7) โดยมีผู้ติดเชื้อ BA.4 และ BA.5 ที่ต้องเข้า รพ. ถึงร้อยละ 80 เลยทีเดียว (ภาพ3) จำนวนหนึ่งเสียชีวิต
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ฯร่วมมือกับกลุ่ม “นักวิจัยนานาชาติ” ที่ร่วมด้วยช่วยกันถอดรหัสพันธุกรรมจีโนมมนุษย์ของผู้ที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อันประกอบด้วยโครโมโซม 23คู่ จำนวน3,000 ล้านเบส โดยมียีนทั้งหมดจำนวน 25,000 ยีนที่สร้างโปรตีน พบว่ากว่า 20 % ของผู้ที่เป็นโรคโควิด-19 ที่มีอาการปอดบวมรุนแรง เพราะในร่างกายมีการสร้าง “แอนติบอดีต่อร่างกายตนเอง (Auto-antibodies)” เข้าทำลาย “อินเตอร์เฟียรอน” ซึ่งเป็นโปรตีนต่อต้านไวรัสที่ร่างกายสร้างขึ้นมา และปริมาณของ Auto-antibodies จะถูกสร้างเพิ่มขึ้นตามอายุและจะพบมากในผู้มีอายุมากกว่า 70 ปีขึ้นไป โดยพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ส่วนอีกประมาณ 3.5 เปอร์เซ็นต์พบว่าเป็นผู้ติดเชื้อที่มียีนกลายพันธุ์มาแต่กำเนิด ทำให้ร่างกายสร้างอินเตอร์เฟียรอนได้เพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับคนปรกติ หรือไม่สร้างเลย (inborn errors of immunity) ซึ่งในทั้งสองกรณี (Auto-antibodies และ inborn errors of immunity) ส่งผลให้ร่างกายผู้ติดเชื้อผลิตอินเตอร์เฟียรอนลดลง ทำให้ไวรัสสามารถเพิ่มจำนวนได้อย่างรวดโดยไม่มีอะไรมายับยั้งก่อให้เกิดอาการติดเชื้อที่รุนแรง (ภาพ9)