สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 8
ประหลาดตรงไหนคะ
เราโสด ไม่มีแฟน ไม่รับคนคุย ไม่คิดแต่งงาน เรื่องมีลูกยิ่งไม่ต้องพูดถึงค่ะ
เวลาโดนถาม ไม่รู้สึกนอยด์หรือจิตตก
เรารู้ว่าทำไมเราเลือกแบบนี้ และมั่นใจที่จะเลือกแบบนี้ทำไมต้องไปจิตตกตามลมปากคนอื่น
ไม่มีลูกใครจะเลี้ยง > ก็มีสมบัติแล้วไง จะรอให้ใครเลี้ยงทำไม เจ็บป่วยก็โทรไปโรงพยาบาลหรือพวกศูนย์แคร์ มีเงินจ่ายเขาก็มาทั้งนั้นแหละ
ไม่มีลูก สมบัติจะยกให้ใคร > ก็เอาไว้ดูแลตัวเองตอนแก่ไง ถ้ามีเยอะมาก ก่อนตายก็เขียนพินัยกรรมยกให้การกุศล อะไรก็ว่าไป
ไม่เห็นว่ามันจะต้องหดหู่อะไรเลยนี่คะ
ชีวิตเราไม่จำเป็นต้องเหมือนคนส่วนใหญ่ค่ะ
จขกท ลองไปนั่งถามตัวเองดูว่าทำไมเลือกแบบนั้น เลือกที่จะไม่มีลูก มั่นใจที่จะเลือกทางนี้ใช้ไหม ถ้ามั่นใจและวางแผนอนาคตดีแล้ว
ไม่จำเป็นต้องเอาความคิดคนอื่นมาแบกค่ะ
เราโสด ไม่มีแฟน ไม่รับคนคุย ไม่คิดแต่งงาน เรื่องมีลูกยิ่งไม่ต้องพูดถึงค่ะ
เวลาโดนถาม ไม่รู้สึกนอยด์หรือจิตตก
เรารู้ว่าทำไมเราเลือกแบบนี้ และมั่นใจที่จะเลือกแบบนี้ทำไมต้องไปจิตตกตามลมปากคนอื่น
ไม่มีลูกใครจะเลี้ยง > ก็มีสมบัติแล้วไง จะรอให้ใครเลี้ยงทำไม เจ็บป่วยก็โทรไปโรงพยาบาลหรือพวกศูนย์แคร์ มีเงินจ่ายเขาก็มาทั้งนั้นแหละ
ไม่มีลูก สมบัติจะยกให้ใคร > ก็เอาไว้ดูแลตัวเองตอนแก่ไง ถ้ามีเยอะมาก ก่อนตายก็เขียนพินัยกรรมยกให้การกุศล อะไรก็ว่าไป
ไม่เห็นว่ามันจะต้องหดหู่อะไรเลยนี่คะ
ชีวิตเราไม่จำเป็นต้องเหมือนคนส่วนใหญ่ค่ะ
จขกท ลองไปนั่งถามตัวเองดูว่าทำไมเลือกแบบนั้น เลือกที่จะไม่มีลูก มั่นใจที่จะเลือกทางนี้ใช้ไหม ถ้ามั่นใจและวางแผนอนาคตดีแล้ว
ไม่จำเป็นต้องเอาความคิดคนอื่นมาแบกค่ะ
ความคิดเห็นที่ 33
เอาตรงๆบางทีมันเป็นมาตรฐานวัดความสำเร็จในชีวิตคู่แบบที่คนนิยมใช้แบบหนึ่งครับ หรือพูดให้กว้างกว่านั้นคือมันเป็นวิถีการวัด milestone ในชีวิตแบบหนึ่งของมนุษย์ที่คนชอบใช้กัน มันเริ่มตั้งแต่เราเกิดลืมตามาดูโลกแล้วฮะ
เกิดมาแว่บแรก คนก็ต้องรอดูว่าเมื่อไหร่จะร้องไห้ครั้งแรก
อายุได้ 2 เดือนขึ้นไป ก็ดูว่าเมื่อไหร่จะคว่ำได้
อายุได้ 6 เดือนขึ้นไป ก็ดูว่าเมื่อไหร่ฟันจะขึ้น
อายุได้ 8 เดือนขึ้นไป ก็ดูว่าเมื่อไหร่จะคลาน
อายุได้ 11 เดือนขึ้นไป ก็ดูว่าเมื่อไหร่จะตั้งไข่ จะเดิน
อายุได้ 3 ขวบ ก็ดูว่าเมื่อไหร่จะไปโรงเรียน
อายุได้ 7 ขวบ ก็ดูว่าจะเรียนโรงเรียนประถมที่ไหน
อายุได้ 12 ขวบ ก็ดูว่าจะเรียนมัธยมที่ไหน
อายุได้ 15 ปี ก็ดูว่าจะเสียสายสามัญหรือสายอาชีพ
อายุได้ 18 ปี ก็ดูว่าจะต่อ ปวส หรือต่อมหาวิทยาลัย จะเรียนคณะไหน สาขาอะไร
อายุได้ 22 ปี ก็ดูว่าเมื่อไหร่จะจบ จะทำงานอะไร จะเรียนต่อไหม
อายุได้ 30 ปี ก็จะเริ่มมีคำถามว่ามีแฟนยัง จะแต่งงานเมื่อไหร่ ทำงานอะไร เงินเดือนเท่าไหร่ ตำแหน่งอะไร ขับรถยี่ห้อไหน
พอแต่งงาน ก็จะเริ่มมีคำถามว่า จะซื้อบ้านหรือคอนโด จะมีลูกหรือยัง จะมีลูกกี่คน
พอมีลูก ก็มีคำถามอีกว่า จะเลี้ยงลูกแบบไหน ให้ลูกเรียนที่ไหน จะส่งเสริมลูกยังไง
พออายุได้ 60 ปี ก็ดูว่ามีเงินหลังเกษียณเท่าไหร่ ใช้ชีวิตยังไงต่อ มีสมบัติใดๆสะสมมาบ้าง
พออายุได้ 70 ปี ก็ดูว่ามีหลานยัง ลูกแต่งงานยัง สุขภาพยังแข็งแรงไหม เดินเหินได้สะดวกไหม
พออายุได้ 80 ปี ก็จะดูว่าจะฝังหรือเผา จะส่งต่อมรดกยังไง สุขภาพยังแข็งแรงไหม เดินเหินได้สะดวกไหม
ขนาดตอนตายยังมีคำถามเลยว่า จะไปวัดไหน ร่างจะบริจาคไหม จะไปลอยอังคารที่ไหน จะฝังสุสานไหน มรดกจะแบ่งยังไง
ชีวิตมนุษย์มันเต็มไปด้วยคำถาม จุดหมาย และตัวชี้วัดครับ
เกิดมาแว่บแรก คนก็ต้องรอดูว่าเมื่อไหร่จะร้องไห้ครั้งแรก
อายุได้ 2 เดือนขึ้นไป ก็ดูว่าเมื่อไหร่จะคว่ำได้
อายุได้ 6 เดือนขึ้นไป ก็ดูว่าเมื่อไหร่ฟันจะขึ้น
อายุได้ 8 เดือนขึ้นไป ก็ดูว่าเมื่อไหร่จะคลาน
อายุได้ 11 เดือนขึ้นไป ก็ดูว่าเมื่อไหร่จะตั้งไข่ จะเดิน
อายุได้ 3 ขวบ ก็ดูว่าเมื่อไหร่จะไปโรงเรียน
อายุได้ 7 ขวบ ก็ดูว่าจะเรียนโรงเรียนประถมที่ไหน
อายุได้ 12 ขวบ ก็ดูว่าจะเรียนมัธยมที่ไหน
อายุได้ 15 ปี ก็ดูว่าจะเสียสายสามัญหรือสายอาชีพ
อายุได้ 18 ปี ก็ดูว่าจะต่อ ปวส หรือต่อมหาวิทยาลัย จะเรียนคณะไหน สาขาอะไร
อายุได้ 22 ปี ก็ดูว่าเมื่อไหร่จะจบ จะทำงานอะไร จะเรียนต่อไหม
อายุได้ 30 ปี ก็จะเริ่มมีคำถามว่ามีแฟนยัง จะแต่งงานเมื่อไหร่ ทำงานอะไร เงินเดือนเท่าไหร่ ตำแหน่งอะไร ขับรถยี่ห้อไหน
พอแต่งงาน ก็จะเริ่มมีคำถามว่า จะซื้อบ้านหรือคอนโด จะมีลูกหรือยัง จะมีลูกกี่คน
พอมีลูก ก็มีคำถามอีกว่า จะเลี้ยงลูกแบบไหน ให้ลูกเรียนที่ไหน จะส่งเสริมลูกยังไง
พออายุได้ 60 ปี ก็ดูว่ามีเงินหลังเกษียณเท่าไหร่ ใช้ชีวิตยังไงต่อ มีสมบัติใดๆสะสมมาบ้าง
พออายุได้ 70 ปี ก็ดูว่ามีหลานยัง ลูกแต่งงานยัง สุขภาพยังแข็งแรงไหม เดินเหินได้สะดวกไหม
พออายุได้ 80 ปี ก็จะดูว่าจะฝังหรือเผา จะส่งต่อมรดกยังไง สุขภาพยังแข็งแรงไหม เดินเหินได้สะดวกไหม
ขนาดตอนตายยังมีคำถามเลยว่า จะไปวัดไหน ร่างจะบริจาคไหม จะไปลอยอังคารที่ไหน จะฝังสุสานไหน มรดกจะแบ่งยังไง
ชีวิตมนุษย์มันเต็มไปด้วยคำถาม จุดหมาย และตัวชี้วัดครับ
แสดงความคิดเห็น
การไม่มีลูกมันน่าสงสารมากเลยเหรอ?
แต่พอเจอถามเยอะๆเรื่อยๆก็มีนอยด์ๆ เช่นแก่ไปใครจะดูแล
เสียดายทำไมไม่มีลูก หาเงินไปให้ใคร ตายไปสมบัติจะยกให้ใคร บลาๆ
ซึ่งเราก็ตอบตรงๆว่าไม่อยากมี คนที่มีลูกเยอะ ลูกเต้าไม่เลี้ยงก็มี
แต่ก็ไม่วายนะ มาบ่นทำนองนี้ทุกครั้งที่เจอ....
ทุกวันนี้เริ่มไม่อยากคุยกับใครเลย รู้สึกเสียสุขภาพจิต
ลำพังแค่เครียดกับงานเงิน ก็พออยู่แล้ว ต้องมาจิตตกกับคำถามพวกนี้
.
แล้วยกตัวอย่างเลยนะ ญาติเรามีลูก แต่ไม่มีใครอยู่ด้วยซักคน มีอะไรก็ให้เราช่วยแก้ปัญหาให้
ในใจอยากจะตะโกนบอก ให้ลูกพวกแกทำให้สิโว้ยยย
อย่ามายุ่งกับช้านนน มารบกวนแล้วยังมาสาระแนเรื่องมีลูกไม่มีลูกกับกรูอีกก
แต่ด้วยมารยาทมันทำไม่ได้
.
.
เอาเข้าจริงลึกๆในใจเราก็กลัวเหมือนกันนะ ว่าต้องอยู่เดียวดาย ทุกวันนี้ยังมีสามีเป็นเพื่อน แต่ถ้าไม่มีล่ะ
แต่การมีลูกก็ไม่ใช่ทางออกอยู่ดี มีลูกเขาก็ต้องมีชีวิตของเขา ก็ไม่หวังให้มาเลี้ยงอยู่ดี
และเราก็ไม่อยากมี ให้ตายเถอะยังไงๆก็ไม่อยากมี แต่ไม่รู้จะจัดการกับความรู้สึกแบบนี้ยังไง
กับการเป็นตัวประหลาดไม่มีลูกดูน่าสงสาร สมเพชในสายตาคนอื่นมากเลยเหรอ
เพื่อนๆที่คิดว่าไม่อยากมีลูกแบบเรา
มีวิธีการคิดแบบไหนบ้างคะ แล้วรับมือกับคนพวกนี้แบบไหน