ผู้ว่าฯ งานแน่น! สมาคมไทยแห่งรัฐวอชิงตัน เชิญ ชัชชาติ พบปะประชาชน ชาวเน็ตชื่นชมความขยัน ทำงานตลอดแม้เป็นช่วงการลาปฏิบัติงาน
เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2565 เพจ “ทาวา” สมาคมไทยแห่งรัฐวอชิงตัน (Thai Association of Washington State – TAWA Nonprofit Organization) ได้ โพสต์ เชิญชวนให้ชาวไทยในรัฐวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เข้าร่วมงานพบปะกับ นาย ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพฯ โดยงานพบปะ นายชัชชาติ จะถูกจัดขึ้นที่ ห้องสมุดสาธารณะซีแอตเทิลสาขามหาวิทยาลัย ในวันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน 65 ในเวลา 16.30 ถึง 17.30 นาฬิกา ตามเวลาท้องถิ่น
หลังจากเพจทาวา โพสต์ประชาสัมพันธ์ พบว่ามีชาวไทยในรัฐวอชิงตัน ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ทั้งยังมีคอมเมนต์จากผู้ใช้อินเตอร์เน็ตชาวไทยที่ชื่นชมนายชัชชาติในด้านของความขยันทำงานโดยไม่หยุดแม้จะเป็นช่วงลาการปฏิบัติงาน เนื่องจากนายชัชชาติ ลาการปฏิบัติงานเพื่อไปแสดงความยินดีกับบุตรชาย นายแสนปิติ สิทธิพันธุ์ หรือ “แสนดี” ที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านประวัติศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยวอชิงตัน โดยนายชัชชาติ จะเดินทางกลับมาปฏิบัติหน้าที่ต่อในวันที่ 13 มิ.ย.นี้
ทั้งนี้ องค์กรทาวา เป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร ที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อเสริมสร้างสังคมคนไทยในรัฐวอชิงตันให้เข็มแข็ง โดยมักจะมีการจัดกิจกรรมให้ชุมชนชาวไทยในรัฐวอชิงตันได้เข้าร่วมอย่างสม่ำเสมอ ในงานพบปะกับนายชัชชาติครั้งนี้ ผู้จัดได้แจ้งว่า ห้องจัดงานมีพื้นที่จำกัด จึงไม่มีการสำรองที่นั่ง ดังนั้นผู้ที่มาถึงก่อนจะได้ที่นั่งก่อน นอกจากนี้ยังระบุว่า สำหรับผู้ที่อยากเข้าร่วมแต่ไม่สะดวก สามารถเข้ารับชมได้ผ่านไลฟ์สด ที่เพจ Thai Association of Washington State – TAWA Nonprofit Organization ซึ่งตรงกับเช้าวันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน 65 ในเวลา 6.30 นาฬิกา ตามเวลาประเทศไทย
ศก.ไทยยังอ่วม “ซิตี้แบงก์” ปรับเป้าเงินเฟ้อไทยปี 65 เป็น 5.6% จับตา กนง.เตรียมขึ้น ดบ.ครึ่งปีหลัง
https://siamrath.co.th/n/355552
ธนาคารซิตี้แบงก์ เผยการประกาศอัตราเงินเฟ้อในเดือนพฤษภาคมที่ 7.1% ถือเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นจากราคาพลังงานและต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นเป็นหลักเมื่อมองไปข้างหน้า รวมถึงการลดเงินอุดหนุนจากรัฐบาลที่ลดลง และความเสี่ยงด้านเงินเฟ้ออื่นๆ ส่งผลให้ซิตี้จึงปรับคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อปี 2565 เป็น 5.6% จากเดิม 4.3% หลังคาดการณ์ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นจาก 0.50% เป็น 0.75% ในช่วงครึ่งปีหลัง 2565 เนื่องจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีแนวโน้มที่จะให้น้ำหนักมากขึ้นกับการยึดเหนี่ยวการคาดการณ์เงินเฟ้อ อีกทั้งการประชุม กนง. ในเดือนมิถุนายน มองการฟื้นตัวของเศรษฐกิจว่ามีความชัดเจนมากขึ้น แม้ว่าการฟื้นตัวยังคงไม่เท่ากันในแต่ละอุตสาหกรรม ซึ่งทำให้ความจำเป็นในการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ต่ำเป็นประวัติการณ์ลดลงตามลำดับ
น.ส.
นลิน ฉัตรโชติธรรม นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย กล่าวว่า จากการประกาศอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนพฤษภาคม 2565 ได้เพิ่มขึ้นเป็น 7.1% สูงกว่าที่นักวิเคราะห์ในตลาดการเงินคาดการณ์ไว้ที่ 5.9% และเดือนเมษายนที่ 4.7% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานดัชนีราคาผู้บริโภคเร่งตัวขึ้นเป็น 2.3% จาก 2.0%ในเดือนเมษายน โดยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2565 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยที่ 5.2% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยอยู่ที่ 1.7% ด้านกลุ่มพลังงานและอาหารยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของเงินเฟ้อในช่วงที่ผ่านมา
โดยดัชนีราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในเดือนพฤษภาคมเพิ่มขึ้น 35.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เร่งขึ้นจากอัตราการเพิ่มขึ้นในเดือนเมษายนที่ 29.7% ตามราคาน้ำมันดิบโลก และการปรับเพดานราคาน้ำมันดีเซลในประเทศ ทั้งนี้ ดัชนีที่อยู่อาศัย ไฟฟ้า และน้ำประปา ปรับเพิ่มขึ้น 6.7% (เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เร่งขึ้นจากเดือนเมษายนที่ขยายตัว 1.0% เนื่องจากฐานต่ำในปีก่อน ต้นทุนผันแปรทางไฟฟ้าที่สูงขึ้น และการปรับขึ้นของราคาก๊าซหุงต้ม ด้านกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ในเดือนพฤษภาคมได้ปรับขึ้นเป็น 6.2% (เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน) ส่วนใหญ่จากราคาเนื้อสัตว์ นอกจากนี้ การผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด ส่งผลให้ราคาของสินค้าและบริการอื่นๆทยอยปรับขึ้นสู่ระดับก่อนเกิดโรคระบาด เช่น กลุ่มการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล
ทั้งนี้ ซิตี้ได้มีการปรับเพิ่มการประมาณการอัตราเงินเฟ้อในปี 2565 สูงขึ้นเป็น 5.6% จากก่อนหน้านี้ที่คาดไว้ที่ 4.3% และคาดว่าอัตราเงินเฟ้อในปี 2566 จะมีค่าเฉลี่ยที่ 2.0% จากเดิม 1.3% โดยได้คำนึงถึงอัตราเงินเฟ้อเดือนล่าสุด บวกกับการปรับการคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบของทีมงานวิจัยด้านสินค้าโภคภัณฑ์ของซิตี้ในช่วงต้นเดือนมิถุนายน โดยในปี 2565 ซิตี้คาดว่าน้ำมันดิบเบรนท์จะเฉลี่ยอยู่ที่ 99 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล (จาก 89 ดอลลาร์ก่อนหน้านี้) และในปี 2566 จะเฉลี่ยอยู่ที่ 75 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล (จาก 59 ดอลลาร์ก่อนหน้านี้)
นอกจากนี้ การปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลเป็น 34 บาทต่อลิตร ตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน 2565 เพื่อลดภาระกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง อาจจะส่งผลให้มีการปรับราคาในระบบเศรษฐกิจเป็นวงกว้างมากขึ้น จากต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้นโดยเฉพาะภาคการขนส่ง และอุตสาหกรรมการผลิต นอกจากนี้ มาตรการอื่นๆของภาครัฐที่ออกมาในช่วงเดือนมีนาคมเผื่อบรรเทาผลกระทบจากราคาพลังงานจะเริ่มหมดอายุลง และอาจนำไปสู่การส่งผ่านของต้นทุนที่ไปยังผู้บริโภคมากขึ้น และความเสี่ยงต่อเงินเฟ้ออีกประการคือการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำที่อาจจะเกิดขึ้นในไตรมาสที่ 3 (อาจสูงถึง 5-10% หรือมากกว่าการปรับขึ้นในปี 2560 2561 และปี 2563 ที่ราว 3%)
ขณะเดียวกัน ซิตี้ได้คาดการณ์ว่า กนง.มีโอกาสปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้น 0.25% หลังจากเงินเฟ้อเดือนพฤษภาคมสะท้อนว่าแรงกดดันด้านเงินเฟ้อได้เพิ่มขึ้นและกระจายไปมากกว่าที่คิด โดย กนง. มีแนวโน้มที่จะให้น้ำหนักความสำคัญในด้านการยึดเหนี่ยวการคาดการณ์เงินเฟ้อในอนาคตเพิ่มขึ้นในช่วงต่อไป หลังจากที่ได้ให้ความสำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเป็นหลักในช่วงก่อนหน้า แม้ว่า กนง. ได้ลงมติเห็นชอบให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.50% ในเดือนมิถุนายน โดยไม่ได้ปรับขึ้นตามที่ซิตี้คาดไว้ แต่การส่งสัญญาณการปรับทิศทางนโยบายการเงินเริ่มชัดเจนมากขึ้น หลังจากที่สมาชิก กนง. สามท่านโหวตให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในรอบนี้ รวมถึง กนง. ที่มองว่าความจำเป็นในการรักษาอัตรานโยบายที่ต่ำเป็นประวัติการณ์มีน้อยลง หลังเศรษฐกิจมีทิศทางการฟื้นตัวที่ชัดเจนและต่อเนื่องมากขึ้น
นอกจากนี้ กนง. ยังแสดงความเป็นห่วงด้านแรงกดดันเงินเฟ้อที่อาจจะเร่งตัวขึ้นในช่วงข้างหน้า ซิตี้จึงคาดว่า กนง. จะมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จากเดิมที่ 0.50% เป็น 0.75% ในการประชุมครั้งหน้าในเดือนสิงหาคม เพื่อยึดเหนี่ยวการคาดการณ์เงินเฟ้อ และป้องกันการกระจายของแรงกดดันด้านราคาเป็นสำคัญ โดยผลสำรวจของครัวเรือนและภาคธุรกิจเดือนพฤษภาคมต่อการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในช่วง 1 ปีข้างหน้าได้ปรับสูงเกินเป้าหมายนโยบายมาอยู่ที่ 3.1% และ 3.5% ตามลำดับ
อย่างไรก็ดี ซิตี้มองว่า กนง. จะยังไม่ปรับอัตราดอกเบี้ยมากกว่าหนึ่งครั้งในปีนี้ เนื่องจาก ธปท. ยังคงคาดการณ์ว่ากิจกรรมเศรษฐกิจไทยจะกลับเข้าสู่ระดับก่อนโรคระบาดโควิดได้ในช่วงต้นปีหน้า ซึ่งเป็นการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่สำหรับปี 2566 ซิตี้คาดว่า กนง. จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สองครั้ง คือในไตรมาสที่ 1 และไตรมาสที่ 3 ของปี โดยภาพรวมของเศรษฐกิจในช่วงนั้นน่าจะมีความแข็งแรงเพียงพอสำหรับการปรับนโยบายเข้าสู่สภาวะปกติมากขึ้น ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างพื้นที่สำหรับการดำเนินนโยบาย (policy space) เพื่อรองรับความเสี่ยงในอนาคต
‘ยุทธพงศ์’ ปูด ‘เฮีย ซ.’ วิ่งเต้นซื้อ-ขายตำแหน่งขรก.ซี9 เรียกเงิน 8 หลัก
https://www.dailynews.co.th/news/1135436/
กมธ.งบ 66 สรุปผลประชุมแนะเข้มปราบน้ำมันเถื่อนเกลื่อนภาคใต้ ป้องลามราคาพุ่ง ด้าน 'ยุทธพงศ์' ลั่นรอแฉแหลก ‘เฮีย ซ.’ ชักใยวิ่งเต้น ขรก.ซี 9 กรมน้ำกระทรวงทรัพยากรฯ เงินสูงถึง 8 หลัก
เมื่อวันที่ 10 มิ.ย. ที่รัฐสภา นพ.
บัญญัติ เจตนจันทร์ ส.ส.ระยอง พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) และนาย
ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย (พท.) ฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 แถลงผลการประชุม กมธ. ครั้งที่ 4/2565 สรุปใจความสำคัญ ในการพิจารณาเมื่อวานนี้ (9 มิ.ย.) กมธ.ได้ใช้เวลาในการพิจารณางบประมาณมาแล้วทั้งหมด 20 ชั่วโมง ซึ่งมีหน่วยงานที่ผ่านการพิจารณาไปแล้ว รวม 1 กระทรวงคือ กระทรวงการคลัง โดย กมธ.บางคนสอบถามเรื่องแนวทางในการจัดการกับผู้ลักลอบค้าน้ำมันเถื่อนโดยเฉพาะในภาคใต้ เพราะส่งผลทำให้น้ำมันมีราคาสูงขึ้นและทำให้รัฐสูญเสียรายได้อย่างมาก
นาย
ยุทธพงศ์ กล่าวว่า ในการพิจารณางบฯ 66 วานนี้ ตนได้ซักถามกรมศุลกากร สังกัดกระทรวงการคลัง เพราะมีเรื่องผิดปกติในเอกสารรายการงบประมาณ คือค่าบำรุงรักษากล้อง CCTV ระยะเวลา 5 ปี จำนวน 670 ล้านบาท ที่ติดตั้งตามด่านศุลกากรทั่วประเทศ และค่าบำรุงเครื่องเอกซเรย์เพื่อคุมสินค้าเลี่ยงภาษี กว่า 2,000 เครื่อง โดยในเอกสารมีการตั้งงบฯล่วงหน้าตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่เท่ากันในแต่ละปีกว่าร้อยล้านบาท ตนถามว่ารู้ได้ไงว่าในอนาคต กล้อง CCTV และเครื่องเอกซเรย์จะต้องเสียหายในจำนวนเงินที่เท่ากัน คาดว่าจะมีบริษัทเจ้าพ่อยักษ์ใหญ่มีอิทธิพลในกรมศุลกากร ดำเนินการในเรื่องนี้ทั้งสิ้น ซึ่งทางอธิบดีกรมศุลกากร ได้ยืนยันว่า จะนำเอกสารที่เกี่ยวข้องมาให้
นาย
ยุทธพงศ์ กล่าวต่อว่า ขณะที่กรณีน้ำมันเถื่อนที่มีการระบาดทางภาคใต้ติดชายแดนมาเลเซีย มีการค้าน้ำมันเถื่อนกันอย่างโจ๋งครึ่มบริเวณอ่าวไทย ทาง กมธ.จึงได้ขอดูสถิติการปราบปรามของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า มีความคืบหน้าอย่างไร ส่วนการประชุม กมธ. วันที่ 13 มิ.ย.เวลา 13.00 น. จะเป็นการพิจารณางบประมาณของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตนจะซักถามเรื่องการซื้อขายตำแหน่งข้าราชการระดับ 9 ของกรมทรัพยากรน้ำ กระทรวงทรัพยากรฯ ที่มี
“เฮีย ซ.” มีชื่อคล้องกับเจ้าของร้านอาหารจีนชื่อดังย่านคลองสาน มีการวิ่งเต้นเรียกค่าตำแหน่งเป็นจำนวนถึง 8 หลัก ตนจะแฉให้หมดในวันดังกล่าว สื่อรอติดตามให้ดี.
JJNY : 5in1 ผู้ว่าฯงานแน่น!│“ซิตี้แบงก์”ปรับเป้าเงินเฟ้อ│‘ยุทธพงศ์’ปูด‘เฮีย ซ.’│‘ก้าวไกล’อุบชื่อรมต.│รัฐสภาถกพ.ร.บ.ตำรวจ
https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_7104088
เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2565 เพจ “ทาวา” สมาคมไทยแห่งรัฐวอชิงตัน (Thai Association of Washington State – TAWA Nonprofit Organization) ได้ โพสต์ เชิญชวนให้ชาวไทยในรัฐวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เข้าร่วมงานพบปะกับ นาย ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพฯ โดยงานพบปะ นายชัชชาติ จะถูกจัดขึ้นที่ ห้องสมุดสาธารณะซีแอตเทิลสาขามหาวิทยาลัย ในวันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน 65 ในเวลา 16.30 ถึง 17.30 นาฬิกา ตามเวลาท้องถิ่น
หลังจากเพจทาวา โพสต์ประชาสัมพันธ์ พบว่ามีชาวไทยในรัฐวอชิงตัน ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ทั้งยังมีคอมเมนต์จากผู้ใช้อินเตอร์เน็ตชาวไทยที่ชื่นชมนายชัชชาติในด้านของความขยันทำงานโดยไม่หยุดแม้จะเป็นช่วงลาการปฏิบัติงาน เนื่องจากนายชัชชาติ ลาการปฏิบัติงานเพื่อไปแสดงความยินดีกับบุตรชาย นายแสนปิติ สิทธิพันธุ์ หรือ “แสนดี” ที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านประวัติศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยวอชิงตัน โดยนายชัชชาติ จะเดินทางกลับมาปฏิบัติหน้าที่ต่อในวันที่ 13 มิ.ย.นี้
ทั้งนี้ องค์กรทาวา เป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร ที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อเสริมสร้างสังคมคนไทยในรัฐวอชิงตันให้เข็มแข็ง โดยมักจะมีการจัดกิจกรรมให้ชุมชนชาวไทยในรัฐวอชิงตันได้เข้าร่วมอย่างสม่ำเสมอ ในงานพบปะกับนายชัชชาติครั้งนี้ ผู้จัดได้แจ้งว่า ห้องจัดงานมีพื้นที่จำกัด จึงไม่มีการสำรองที่นั่ง ดังนั้นผู้ที่มาถึงก่อนจะได้ที่นั่งก่อน นอกจากนี้ยังระบุว่า สำหรับผู้ที่อยากเข้าร่วมแต่ไม่สะดวก สามารถเข้ารับชมได้ผ่านไลฟ์สด ที่เพจ Thai Association of Washington State – TAWA Nonprofit Organization ซึ่งตรงกับเช้าวันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน 65 ในเวลา 6.30 นาฬิกา ตามเวลาประเทศไทย
ศก.ไทยยังอ่วม “ซิตี้แบงก์” ปรับเป้าเงินเฟ้อไทยปี 65 เป็น 5.6% จับตา กนง.เตรียมขึ้น ดบ.ครึ่งปีหลัง
https://siamrath.co.th/n/355552
ธนาคารซิตี้แบงก์ เผยการประกาศอัตราเงินเฟ้อในเดือนพฤษภาคมที่ 7.1% ถือเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นจากราคาพลังงานและต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นเป็นหลักเมื่อมองไปข้างหน้า รวมถึงการลดเงินอุดหนุนจากรัฐบาลที่ลดลง และความเสี่ยงด้านเงินเฟ้ออื่นๆ ส่งผลให้ซิตี้จึงปรับคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อปี 2565 เป็น 5.6% จากเดิม 4.3% หลังคาดการณ์ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นจาก 0.50% เป็น 0.75% ในช่วงครึ่งปีหลัง 2565 เนื่องจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีแนวโน้มที่จะให้น้ำหนักมากขึ้นกับการยึดเหนี่ยวการคาดการณ์เงินเฟ้อ อีกทั้งการประชุม กนง. ในเดือนมิถุนายน มองการฟื้นตัวของเศรษฐกิจว่ามีความชัดเจนมากขึ้น แม้ว่าการฟื้นตัวยังคงไม่เท่ากันในแต่ละอุตสาหกรรม ซึ่งทำให้ความจำเป็นในการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ต่ำเป็นประวัติการณ์ลดลงตามลำดับ
น.ส.นลิน ฉัตรโชติธรรม นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย กล่าวว่า จากการประกาศอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนพฤษภาคม 2565 ได้เพิ่มขึ้นเป็น 7.1% สูงกว่าที่นักวิเคราะห์ในตลาดการเงินคาดการณ์ไว้ที่ 5.9% และเดือนเมษายนที่ 4.7% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานดัชนีราคาผู้บริโภคเร่งตัวขึ้นเป็น 2.3% จาก 2.0%ในเดือนเมษายน โดยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2565 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยที่ 5.2% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยอยู่ที่ 1.7% ด้านกลุ่มพลังงานและอาหารยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของเงินเฟ้อในช่วงที่ผ่านมา
โดยดัชนีราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในเดือนพฤษภาคมเพิ่มขึ้น 35.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เร่งขึ้นจากอัตราการเพิ่มขึ้นในเดือนเมษายนที่ 29.7% ตามราคาน้ำมันดิบโลก และการปรับเพดานราคาน้ำมันดีเซลในประเทศ ทั้งนี้ ดัชนีที่อยู่อาศัย ไฟฟ้า และน้ำประปา ปรับเพิ่มขึ้น 6.7% (เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เร่งขึ้นจากเดือนเมษายนที่ขยายตัว 1.0% เนื่องจากฐานต่ำในปีก่อน ต้นทุนผันแปรทางไฟฟ้าที่สูงขึ้น และการปรับขึ้นของราคาก๊าซหุงต้ม ด้านกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ในเดือนพฤษภาคมได้ปรับขึ้นเป็น 6.2% (เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน) ส่วนใหญ่จากราคาเนื้อสัตว์ นอกจากนี้ การผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด ส่งผลให้ราคาของสินค้าและบริการอื่นๆทยอยปรับขึ้นสู่ระดับก่อนเกิดโรคระบาด เช่น กลุ่มการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล
ทั้งนี้ ซิตี้ได้มีการปรับเพิ่มการประมาณการอัตราเงินเฟ้อในปี 2565 สูงขึ้นเป็น 5.6% จากก่อนหน้านี้ที่คาดไว้ที่ 4.3% และคาดว่าอัตราเงินเฟ้อในปี 2566 จะมีค่าเฉลี่ยที่ 2.0% จากเดิม 1.3% โดยได้คำนึงถึงอัตราเงินเฟ้อเดือนล่าสุด บวกกับการปรับการคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบของทีมงานวิจัยด้านสินค้าโภคภัณฑ์ของซิตี้ในช่วงต้นเดือนมิถุนายน โดยในปี 2565 ซิตี้คาดว่าน้ำมันดิบเบรนท์จะเฉลี่ยอยู่ที่ 99 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล (จาก 89 ดอลลาร์ก่อนหน้านี้) และในปี 2566 จะเฉลี่ยอยู่ที่ 75 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล (จาก 59 ดอลลาร์ก่อนหน้านี้)
นอกจากนี้ การปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลเป็น 34 บาทต่อลิตร ตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน 2565 เพื่อลดภาระกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง อาจจะส่งผลให้มีการปรับราคาในระบบเศรษฐกิจเป็นวงกว้างมากขึ้น จากต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้นโดยเฉพาะภาคการขนส่ง และอุตสาหกรรมการผลิต นอกจากนี้ มาตรการอื่นๆของภาครัฐที่ออกมาในช่วงเดือนมีนาคมเผื่อบรรเทาผลกระทบจากราคาพลังงานจะเริ่มหมดอายุลง และอาจนำไปสู่การส่งผ่านของต้นทุนที่ไปยังผู้บริโภคมากขึ้น และความเสี่ยงต่อเงินเฟ้ออีกประการคือการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำที่อาจจะเกิดขึ้นในไตรมาสที่ 3 (อาจสูงถึง 5-10% หรือมากกว่าการปรับขึ้นในปี 2560 2561 และปี 2563 ที่ราว 3%)
ขณะเดียวกัน ซิตี้ได้คาดการณ์ว่า กนง.มีโอกาสปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้น 0.25% หลังจากเงินเฟ้อเดือนพฤษภาคมสะท้อนว่าแรงกดดันด้านเงินเฟ้อได้เพิ่มขึ้นและกระจายไปมากกว่าที่คิด โดย กนง. มีแนวโน้มที่จะให้น้ำหนักความสำคัญในด้านการยึดเหนี่ยวการคาดการณ์เงินเฟ้อในอนาคตเพิ่มขึ้นในช่วงต่อไป หลังจากที่ได้ให้ความสำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเป็นหลักในช่วงก่อนหน้า แม้ว่า กนง. ได้ลงมติเห็นชอบให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.50% ในเดือนมิถุนายน โดยไม่ได้ปรับขึ้นตามที่ซิตี้คาดไว้ แต่การส่งสัญญาณการปรับทิศทางนโยบายการเงินเริ่มชัดเจนมากขึ้น หลังจากที่สมาชิก กนง. สามท่านโหวตให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในรอบนี้ รวมถึง กนง. ที่มองว่าความจำเป็นในการรักษาอัตรานโยบายที่ต่ำเป็นประวัติการณ์มีน้อยลง หลังเศรษฐกิจมีทิศทางการฟื้นตัวที่ชัดเจนและต่อเนื่องมากขึ้น
นอกจากนี้ กนง. ยังแสดงความเป็นห่วงด้านแรงกดดันเงินเฟ้อที่อาจจะเร่งตัวขึ้นในช่วงข้างหน้า ซิตี้จึงคาดว่า กนง. จะมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จากเดิมที่ 0.50% เป็น 0.75% ในการประชุมครั้งหน้าในเดือนสิงหาคม เพื่อยึดเหนี่ยวการคาดการณ์เงินเฟ้อ และป้องกันการกระจายของแรงกดดันด้านราคาเป็นสำคัญ โดยผลสำรวจของครัวเรือนและภาคธุรกิจเดือนพฤษภาคมต่อการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในช่วง 1 ปีข้างหน้าได้ปรับสูงเกินเป้าหมายนโยบายมาอยู่ที่ 3.1% และ 3.5% ตามลำดับ
อย่างไรก็ดี ซิตี้มองว่า กนง. จะยังไม่ปรับอัตราดอกเบี้ยมากกว่าหนึ่งครั้งในปีนี้ เนื่องจาก ธปท. ยังคงคาดการณ์ว่ากิจกรรมเศรษฐกิจไทยจะกลับเข้าสู่ระดับก่อนโรคระบาดโควิดได้ในช่วงต้นปีหน้า ซึ่งเป็นการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่สำหรับปี 2566 ซิตี้คาดว่า กนง. จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สองครั้ง คือในไตรมาสที่ 1 และไตรมาสที่ 3 ของปี โดยภาพรวมของเศรษฐกิจในช่วงนั้นน่าจะมีความแข็งแรงเพียงพอสำหรับการปรับนโยบายเข้าสู่สภาวะปกติมากขึ้น ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างพื้นที่สำหรับการดำเนินนโยบาย (policy space) เพื่อรองรับความเสี่ยงในอนาคต
‘ยุทธพงศ์’ ปูด ‘เฮีย ซ.’ วิ่งเต้นซื้อ-ขายตำแหน่งขรก.ซี9 เรียกเงิน 8 หลัก
https://www.dailynews.co.th/news/1135436/
กมธ.งบ 66 สรุปผลประชุมแนะเข้มปราบน้ำมันเถื่อนเกลื่อนภาคใต้ ป้องลามราคาพุ่ง ด้าน 'ยุทธพงศ์' ลั่นรอแฉแหลก ‘เฮีย ซ.’ ชักใยวิ่งเต้น ขรก.ซี 9 กรมน้ำกระทรวงทรัพยากรฯ เงินสูงถึง 8 หลัก
เมื่อวันที่ 10 มิ.ย. ที่รัฐสภา นพ.บัญญัติ เจตนจันทร์ ส.ส.ระยอง พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) และนายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย (พท.) ฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 แถลงผลการประชุม กมธ. ครั้งที่ 4/2565 สรุปใจความสำคัญ ในการพิจารณาเมื่อวานนี้ (9 มิ.ย.) กมธ.ได้ใช้เวลาในการพิจารณางบประมาณมาแล้วทั้งหมด 20 ชั่วโมง ซึ่งมีหน่วยงานที่ผ่านการพิจารณาไปแล้ว รวม 1 กระทรวงคือ กระทรวงการคลัง โดย กมธ.บางคนสอบถามเรื่องแนวทางในการจัดการกับผู้ลักลอบค้าน้ำมันเถื่อนโดยเฉพาะในภาคใต้ เพราะส่งผลทำให้น้ำมันมีราคาสูงขึ้นและทำให้รัฐสูญเสียรายได้อย่างมาก
นายยุทธพงศ์ กล่าวว่า ในการพิจารณางบฯ 66 วานนี้ ตนได้ซักถามกรมศุลกากร สังกัดกระทรวงการคลัง เพราะมีเรื่องผิดปกติในเอกสารรายการงบประมาณ คือค่าบำรุงรักษากล้อง CCTV ระยะเวลา 5 ปี จำนวน 670 ล้านบาท ที่ติดตั้งตามด่านศุลกากรทั่วประเทศ และค่าบำรุงเครื่องเอกซเรย์เพื่อคุมสินค้าเลี่ยงภาษี กว่า 2,000 เครื่อง โดยในเอกสารมีการตั้งงบฯล่วงหน้าตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่เท่ากันในแต่ละปีกว่าร้อยล้านบาท ตนถามว่ารู้ได้ไงว่าในอนาคต กล้อง CCTV และเครื่องเอกซเรย์จะต้องเสียหายในจำนวนเงินที่เท่ากัน คาดว่าจะมีบริษัทเจ้าพ่อยักษ์ใหญ่มีอิทธิพลในกรมศุลกากร ดำเนินการในเรื่องนี้ทั้งสิ้น ซึ่งทางอธิบดีกรมศุลกากร ได้ยืนยันว่า จะนำเอกสารที่เกี่ยวข้องมาให้
นายยุทธพงศ์ กล่าวต่อว่า ขณะที่กรณีน้ำมันเถื่อนที่มีการระบาดทางภาคใต้ติดชายแดนมาเลเซีย มีการค้าน้ำมันเถื่อนกันอย่างโจ๋งครึ่มบริเวณอ่าวไทย ทาง กมธ.จึงได้ขอดูสถิติการปราบปรามของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า มีความคืบหน้าอย่างไร ส่วนการประชุม กมธ. วันที่ 13 มิ.ย.เวลา 13.00 น. จะเป็นการพิจารณางบประมาณของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตนจะซักถามเรื่องการซื้อขายตำแหน่งข้าราชการระดับ 9 ของกรมทรัพยากรน้ำ กระทรวงทรัพยากรฯ ที่มี “เฮีย ซ.” มีชื่อคล้องกับเจ้าของร้านอาหารจีนชื่อดังย่านคลองสาน มีการวิ่งเต้นเรียกค่าตำแหน่งเป็นจำนวนถึง 8 หลัก ตนจะแฉให้หมดในวันดังกล่าว สื่อรอติดตามให้ดี.