3
พอสายจัด ฝนก็กระหน่ำลงมา ไม่มีที่หลบฝน ผมหันไปเห็นต้นบอนยักษ์ในป่าจึงใช้มีดในตะกร้าปิกนิกตัดใบใหญ่ๆ ของต้นบอนเอามากำบังฝนให้เราสองคน รินมองอย่างทึ่ง เธอคงไม่เคยเห็นใครทำอะไรอย่างนี้มาก่อน
เรากลับมาถึงรีสอร์ตในสภาพเปียกปอนทั้งคู่ ต่างคนต่างแยกย้ายกันเข้าห้องเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า
“กรี๊ด ! ” เสียงกรีดร้องดังมาจากห้องของริน ผมรีบวิ่งไปเคาะประตูที่เปิดทะลุถึงกัน
“ริน ! ” ผมตะโกนเรียก มีเสียงปลดล็อก ผมรีบเปิดเข้าไปทันที “เกิดอะไรขึ้น !”
“ในห้องน้ำ มีตุ๊กแก” หล่อนร้องไห้ออกมาอย่างคนขวัญเสียแล้วรีบวิ่งหนีเข้ามาในห้องผม ผมจึงรีบเข้าไปดู เห็นตุ๊กแกตัวใหญ่เกาะอยู่ที่ผนังใกล้หน้าต่างและอีกตัวอยู่ใกล้กับราวแขวนผ้าเช็ดตัว ผมจึงเดินไปกดโทรศัพท์เพื่อเรียกพนักงานของโรงแรมมาจัดการนำตุ๊กแกทั้งสองตัวนั้นออกไป
พอกลับเข้ามาในห้องรินยังคงปิดหน้าร้องไห้อย่างหนัก จนผมต้องเข้าไปปลอบ
“ไม่เป็นไรแล้วนะ เดี๋ยวคนงานเขาจะมาเอามันออกไป” แต่รินก็ยังไม่ยอมหยุดร้องไห้ ซึ่งมันผิดปกติ “ทำไมรินกลัวมากขนาดนี้”
ผมดึงมือรินมากุมไว้อย่างปลอบใจ พยายามทำความเข้าใจถึงความหวาดกลัวที่มากมายราวกับคนเสียสติ
รินพยายามตั้งสติและหยุดร้องไห้ เมื่ออาการสะอื้นเริ่มคลายลง เธอจึงเล่าว่า
“ตอนเด็กๆ รินเคยถูกตุ๊กแกกัด สลัดเท่าไหร่ก็ไม่ออก วิ่งหนีรอบบ้าน กลัวจนเป็นลมไป” เล่าแล้วสั่นไปทั้งตัวด้วยทั้งกลัวและขยะแขยงระคนกัน ผมจึงโอบรินเข้ามากอดปลอบ
“ไม่มีอะไรแล้วนะ ไม่ต้องกลัว”
“รินไม่กล้ากลับไปห้องนั้นอีกแล้ว”
“ถ้างั้นย้ายมาห้องนี้ ผมจะไปอยู่ห้องนั้นเอง”
“ว่าแต่ห้องนี้จะมีตุ๊กแกอีกหรือเปล่า” หล่อนเริ่มระแวง ผมจึงเดินเข้าไปสำรวจห้องน้ำ และดูให้ทั่วทุกซอกทุกมุมว่าไม่มี รินจึงค่อยคลายอาการตระหนก
“เดี๋ยวผมไปเอากระเป๋าเสื้อผ้ารินจากห้องโน้นมาให้ รินจะได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า”
เราสองคนสลับห้องกัน หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้ว รินบ่นอยากพักมากกว่าจะลงไปทานอาหารกลางวัน ผมเองก็ไม่รู้สึกหิวแต่อย่างใดเพราะยังอิ่มมื้อเช้าที่รีสอร์ตจัดไปให้มากมาย
“รินนอนพักนะ เมื่อเช้าตื่นเช้ามากแถมยังตากฝนอีก เดี๋ยวไม่สบาย” ผมพาเธอไปนอนที่เตียง ห่มผ้าให้เพราะอากาศข้างนอกเย็นฉ่ำชื้นด้วยฝนที่ยังคงเทลงมาไม่หยุด
“นิวจะไปไหน” เธอรีบเรียกไว้
“ไปอยู่ห้องโน้น รินจะได้นอน”
“นิวอย่าไปไหนนะ เกิดตุ๊กแกมันเข้ามาในห้องนี้ ยิ่งตรงระเบียงมีต้นไม้ มันอาจจะเลื้อยมาตามกิ่งไม้” หล่อนยังคงไม่ไว้ใจแล้วจินตนาการไปมากมาย
ผมไม่โทษรินที่ความกลัวฝังใจตั้งแต่วัยเด็กทำให้เธอระแวงขนาดนี้
“นั่งตรงนี้ ” รินชี้ไปที่ริมเตียงอีกด้าน “เฝ้าไว้นะ นิวเล่นมือถือหรือดูทีวีไปก็ได้แต่ห้ามหลับ”
“ครับ คุณผู้หญิง”
เมฆฝนก้อนใหญ่ยังไม่ยอมเคลื่อนไปไหนทำให้อากาศขมุกขมัวมืดลง ผมเผลอหลับไปจนได้ มารู้สึกตัวอีกที รินตื่นแล้วขยับมานอนข้างผม
“บอกให้เฝ้าไว้ไง”
“ขอโทษครับ” ผมตะแคงตัวมองสบตาคนที่นอนข้างๆ ดวงตาคู่นั้นสดใสอย่างคนที่ได้หลับพักผ่อนเต็มที่
“นิวนอนต่อเถอะ คงเพลียเพราะตื่นแต่เช้าเหมือนกัน” บอกแล้วขยับจะลุกออกไป แต่หัวใจที่โหยหาทำให้ผมคว้ารินมากอดไว้ทั้งตัว
“อย่าเพิ่งไป” ผมกระซิบบอก
รินตกใจเล็กน้อยแต่ไม่ได้ดิ้นหนี
“อยากนอนกอดริน ได้ไหม”
หล่อนไม่ตอบแต่ค่อยๆ ซุกซ่อนหน้าลงกับอกผม ความสุขล้นในอกผมตอนนี้เกินกว่าจะมีคำใดมาบรรยาย
“วันนี้ นิวทำให้รินมีความสุขมากรู้ไหม” หล่อนเงยหน้าขึ้นสบตาผม มีแววหวานอยู่ตรงนั้น ผมไม่อาจห้ามใจได้อีกต่อไปที่จะไม่จุมพิตผู้หญิงที่ผมกำลังหลงรักหมดหัวใจและค้นพบว่าเธอเองก็มีความรู้สึกให้ผมไม่ต่างกัน ความปรารถนาที่ผมพยายามกดเก็บไว้ไม่อาจต้านอารมณ์ความต้องการที่มีต่อเธอได้ สัมผัสเริ่มผ่าวร้อนยิ่งขึ้นเป็นลำดับ
แต่ปฏิกิริยาของรินทำให้ผมแปลกใจ
“ไม่เคยหรือ” ผมกระซิบถาม
รินก้มหน้ายอมรับ แก้มทั้งสองระเรื่อแดง
“เพื่อนผู้หญิงฝรั่งเคยบอกรินว่าผู้ชายไม่ชอบผู้หญิงที่ไม่มีประสบการณ์ เพราะให้ความสุขกับเขาไม่ได้” เธอเล่าแล้วช้อนสายตาขึ้นสบตาเหมือนจะถามว่าผมคิดเช่นนั้นหรือไม่
ผมยิ้ม ทั้งซาบซึ้งและเอ็นดู
“ผู้ชายไม่เหมือนกันหรอก ถ้าเขารักผู้หญิงคนนั้น เขาไม่แคร์หรอกว่าเธอจะมีประสบการณ์หรือไม่” ผมบอกให้เธอเข้าใจแล้วสอนบทรักที่ละมุนละไมให้เธอ
นึกถึงวันแรกที่ได้เจอกัน ได้ทานข้าวคุยกัน ทำความรู้จักคุ้นเคยกันทีละน้อย ค่อยๆ สะสมความนิยมชมชอบที่มีต่อกัน และเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ จนมาถึงวันนี้ ที่ต่างก็มีใจให้กัน และได้สัมพันธ์ใกล้ชิดกัน ช่างเป็นสิ่งที่งดงามที่สุดในชีวิตผม
วันเวลาที่เหลือ เรามีความสุขไม่ต่างจากคู่แต่งงานที่มาฮันนีมูน รินแสดงออกให้ผมรู้ว่าเธอรักผมมากมายแค่ไหน และเมื่อถึงวันที่เราต้องเดินทางกลับ เธอซึมไปแต่ก็พยายามเข็มแข็ง ผมเองก็เหมือนตื่นจากความฝันมาพบกับความจริงที่มองไม่เห็นอนาคตของเราสองคน
“รินจะจำความสุขที่เรามีร่วมกันตลอดไป”
ผมฟังแล้วใจหาย
“ให้ผมเจอรินนะ”
“แล้วรินจะติดต่อมา”
นั่นคือคำพูดสุดท้ายก่อนจากกันที่สนามบิน รินปฎิเสธที่จะให้ผมไปส่ง เธอจะนั่งแท็กซี่กลับเอง ส่วนผมก็ต้องรีบกลับไปเข้างาน
สองวันผ่านไป รินยังไม่โทร.กลับมา ผมเริ่มร้อนรนปนน้อยใจว่าทำไมเธอไม่คิดถึงผมบ้างเลยหรือ นี่ผ่านมาสองวันแล้ว ถ้ากำลังยุ่งหรือติดธุระอะไร ก็น่าจะส่งข้อความมาหากันบ้างตามประสาคนรัก
หรือว่า... หรือว่าจะมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นกับเธอ สารพันที่ผมจะคิดฟุ้งซ่านด้วยความเป็นห่วง
ผมตัดสินใจโทร.กลับไปยังเบอร์ที่รินเคยโทร.หาผม ตอนนี้เราเป็นคนรักกันแล้ว ผมไม่ใช่ผู้ชายที่ต้องรอให้เธอโทร.เรียกให้มาบริการเหมือนก่อน ผมควรมีสิทธิ์
เสียงสัญญานตอบกลับมาว่าเบอร์นี้ยังไม่เปิดใช้งาน ผมพยายามโทร.ซ้ำหลายครั้ง ก็ยังเหมือนเดิม
นี่มันอะไรกัน ผมหงุดหงิดงุ่นง่านจนแทบจะทำงานไม่ได้
วันรุ่งขึ้น เป็นวันหยุดงาน ผมรีบไปที่คอนโดฯ แห่งนั้น แต่ยามไม่ให้ผมเข้า
“จำผมไม่ได้หรือ ครั้งก่อนที่ผมเคยมาพบคุณรินที่ชั้น 22 “
“ชั้น 22 วันนี้มีจัด Private Party”
“หมายความว่ายังไง คุณรินจัดปาร์ตี้ ทำไมผมจะไปหาเธอไม่ได้”
“คุณรินไม่อยู่ครับ มีคนนอกมาเช่าชั้น 22 จัดงาน”
ผมมึนไปหมดแล้ว ชั้น 22 ที่ผมเคยไปเป็นห้องพักของรินนี่นา เผอิญผมหันไปเห็นแม่บ้านที่เคยดูแลต้อนรับผม เสิร์ฟน้ำให้ผมวันนั้น ผมรีบเข้าไปเรียกไว้
“พี่ครับ พี่ครับ จำผมได้ไหม ผมเคยไปหาคุณรินที่ชั้น 22 ผมอยากพบเธอ ช่วยผมหน่อยเถอะ”
“คุณรินไม่อยู่แล้ว”
“ก็ที่นั่น มันที่พักของคุณรินไม่ใช่หรือ”
แม่บ้านอึกอัก มองไปข้างหลังผมแล้วบอกว่า “คุณไปถามผู้จัดการเอาเองเถอะ”
ผู้จัดการคอนโดมิเนียมเดินเข้ามาหา ดูเหมือนยามจะเล่าให้ผู้จัดการคอนโดฯ แห่งนี้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น
“เชิญไปคุยที่ห้องผมดีกว่า”
ผมเดินตามไป
“ทราบว่า คุณมาตามหาคุณริน” ผู้จัดการเริ่มขึ้นเมื่อผมนั่งลงที่เก้าอี้ในห้องทำงาน
“ครับ”
“คุณรินเธออาศัยอยู่ต่างประเทศครับ เวลาที่เธอกลับมาเมืองไทย เธอจะมาพักที่ชั้น 22 ก่อนมาเธอจะแจ้งล่วงหน้าหนึ่งเดือนเพื่อเคลียร์ห้อง เปลี่ยนม่าน พรม ของใช้ทุกอย่างให้เสร็จก่อนเธอมาพัก ปกติแล้วห้องนั้นเราให้เช่าทั่วไปหรือจัดงานเป็นครั้งคราว”
สิ่งที่ได้รับฟังทำให้ผมชาไปทั้งร่าง และไม่อยากยอมรับความจริง
ผู้ชายขายตัว (3)
พอสายจัด ฝนก็กระหน่ำลงมา ไม่มีที่หลบฝน ผมหันไปเห็นต้นบอนยักษ์ในป่าจึงใช้มีดในตะกร้าปิกนิกตัดใบใหญ่ๆ ของต้นบอนเอามากำบังฝนให้เราสองคน รินมองอย่างทึ่ง เธอคงไม่เคยเห็นใครทำอะไรอย่างนี้มาก่อน
เรากลับมาถึงรีสอร์ตในสภาพเปียกปอนทั้งคู่ ต่างคนต่างแยกย้ายกันเข้าห้องเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า
“กรี๊ด ! ” เสียงกรีดร้องดังมาจากห้องของริน ผมรีบวิ่งไปเคาะประตูที่เปิดทะลุถึงกัน
“ริน ! ” ผมตะโกนเรียก มีเสียงปลดล็อก ผมรีบเปิดเข้าไปทันที “เกิดอะไรขึ้น !”
“ในห้องน้ำ มีตุ๊กแก” หล่อนร้องไห้ออกมาอย่างคนขวัญเสียแล้วรีบวิ่งหนีเข้ามาในห้องผม ผมจึงรีบเข้าไปดู เห็นตุ๊กแกตัวใหญ่เกาะอยู่ที่ผนังใกล้หน้าต่างและอีกตัวอยู่ใกล้กับราวแขวนผ้าเช็ดตัว ผมจึงเดินไปกดโทรศัพท์เพื่อเรียกพนักงานของโรงแรมมาจัดการนำตุ๊กแกทั้งสองตัวนั้นออกไป
พอกลับเข้ามาในห้องรินยังคงปิดหน้าร้องไห้อย่างหนัก จนผมต้องเข้าไปปลอบ
“ไม่เป็นไรแล้วนะ เดี๋ยวคนงานเขาจะมาเอามันออกไป” แต่รินก็ยังไม่ยอมหยุดร้องไห้ ซึ่งมันผิดปกติ “ทำไมรินกลัวมากขนาดนี้”
ผมดึงมือรินมากุมไว้อย่างปลอบใจ พยายามทำความเข้าใจถึงความหวาดกลัวที่มากมายราวกับคนเสียสติ
รินพยายามตั้งสติและหยุดร้องไห้ เมื่ออาการสะอื้นเริ่มคลายลง เธอจึงเล่าว่า
“ตอนเด็กๆ รินเคยถูกตุ๊กแกกัด สลัดเท่าไหร่ก็ไม่ออก วิ่งหนีรอบบ้าน กลัวจนเป็นลมไป” เล่าแล้วสั่นไปทั้งตัวด้วยทั้งกลัวและขยะแขยงระคนกัน ผมจึงโอบรินเข้ามากอดปลอบ
“ไม่มีอะไรแล้วนะ ไม่ต้องกลัว”
“รินไม่กล้ากลับไปห้องนั้นอีกแล้ว”
“ถ้างั้นย้ายมาห้องนี้ ผมจะไปอยู่ห้องนั้นเอง”
“ว่าแต่ห้องนี้จะมีตุ๊กแกอีกหรือเปล่า” หล่อนเริ่มระแวง ผมจึงเดินเข้าไปสำรวจห้องน้ำ และดูให้ทั่วทุกซอกทุกมุมว่าไม่มี รินจึงค่อยคลายอาการตระหนก
“เดี๋ยวผมไปเอากระเป๋าเสื้อผ้ารินจากห้องโน้นมาให้ รินจะได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า”
เราสองคนสลับห้องกัน หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้ว รินบ่นอยากพักมากกว่าจะลงไปทานอาหารกลางวัน ผมเองก็ไม่รู้สึกหิวแต่อย่างใดเพราะยังอิ่มมื้อเช้าที่รีสอร์ตจัดไปให้มากมาย
“รินนอนพักนะ เมื่อเช้าตื่นเช้ามากแถมยังตากฝนอีก เดี๋ยวไม่สบาย” ผมพาเธอไปนอนที่เตียง ห่มผ้าให้เพราะอากาศข้างนอกเย็นฉ่ำชื้นด้วยฝนที่ยังคงเทลงมาไม่หยุด
“นิวจะไปไหน” เธอรีบเรียกไว้
“ไปอยู่ห้องโน้น รินจะได้นอน”
“นิวอย่าไปไหนนะ เกิดตุ๊กแกมันเข้ามาในห้องนี้ ยิ่งตรงระเบียงมีต้นไม้ มันอาจจะเลื้อยมาตามกิ่งไม้” หล่อนยังคงไม่ไว้ใจแล้วจินตนาการไปมากมาย
ผมไม่โทษรินที่ความกลัวฝังใจตั้งแต่วัยเด็กทำให้เธอระแวงขนาดนี้
“นั่งตรงนี้ ” รินชี้ไปที่ริมเตียงอีกด้าน “เฝ้าไว้นะ นิวเล่นมือถือหรือดูทีวีไปก็ได้แต่ห้ามหลับ”
“ครับ คุณผู้หญิง”
เมฆฝนก้อนใหญ่ยังไม่ยอมเคลื่อนไปไหนทำให้อากาศขมุกขมัวมืดลง ผมเผลอหลับไปจนได้ มารู้สึกตัวอีกที รินตื่นแล้วขยับมานอนข้างผม
“บอกให้เฝ้าไว้ไง”
“ขอโทษครับ” ผมตะแคงตัวมองสบตาคนที่นอนข้างๆ ดวงตาคู่นั้นสดใสอย่างคนที่ได้หลับพักผ่อนเต็มที่
“นิวนอนต่อเถอะ คงเพลียเพราะตื่นแต่เช้าเหมือนกัน” บอกแล้วขยับจะลุกออกไป แต่หัวใจที่โหยหาทำให้ผมคว้ารินมากอดไว้ทั้งตัว
“อย่าเพิ่งไป” ผมกระซิบบอก
รินตกใจเล็กน้อยแต่ไม่ได้ดิ้นหนี
“อยากนอนกอดริน ได้ไหม”
หล่อนไม่ตอบแต่ค่อยๆ ซุกซ่อนหน้าลงกับอกผม ความสุขล้นในอกผมตอนนี้เกินกว่าจะมีคำใดมาบรรยาย
“วันนี้ นิวทำให้รินมีความสุขมากรู้ไหม” หล่อนเงยหน้าขึ้นสบตาผม มีแววหวานอยู่ตรงนั้น ผมไม่อาจห้ามใจได้อีกต่อไปที่จะไม่จุมพิตผู้หญิงที่ผมกำลังหลงรักหมดหัวใจและค้นพบว่าเธอเองก็มีความรู้สึกให้ผมไม่ต่างกัน ความปรารถนาที่ผมพยายามกดเก็บไว้ไม่อาจต้านอารมณ์ความต้องการที่มีต่อเธอได้ สัมผัสเริ่มผ่าวร้อนยิ่งขึ้นเป็นลำดับ
แต่ปฏิกิริยาของรินทำให้ผมแปลกใจ
“ไม่เคยหรือ” ผมกระซิบถาม
รินก้มหน้ายอมรับ แก้มทั้งสองระเรื่อแดง
“เพื่อนผู้หญิงฝรั่งเคยบอกรินว่าผู้ชายไม่ชอบผู้หญิงที่ไม่มีประสบการณ์ เพราะให้ความสุขกับเขาไม่ได้” เธอเล่าแล้วช้อนสายตาขึ้นสบตาเหมือนจะถามว่าผมคิดเช่นนั้นหรือไม่
ผมยิ้ม ทั้งซาบซึ้งและเอ็นดู
“ผู้ชายไม่เหมือนกันหรอก ถ้าเขารักผู้หญิงคนนั้น เขาไม่แคร์หรอกว่าเธอจะมีประสบการณ์หรือไม่” ผมบอกให้เธอเข้าใจแล้วสอนบทรักที่ละมุนละไมให้เธอ
นึกถึงวันแรกที่ได้เจอกัน ได้ทานข้าวคุยกัน ทำความรู้จักคุ้นเคยกันทีละน้อย ค่อยๆ สะสมความนิยมชมชอบที่มีต่อกัน และเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ จนมาถึงวันนี้ ที่ต่างก็มีใจให้กัน และได้สัมพันธ์ใกล้ชิดกัน ช่างเป็นสิ่งที่งดงามที่สุดในชีวิตผม
วันเวลาที่เหลือ เรามีความสุขไม่ต่างจากคู่แต่งงานที่มาฮันนีมูน รินแสดงออกให้ผมรู้ว่าเธอรักผมมากมายแค่ไหน และเมื่อถึงวันที่เราต้องเดินทางกลับ เธอซึมไปแต่ก็พยายามเข็มแข็ง ผมเองก็เหมือนตื่นจากความฝันมาพบกับความจริงที่มองไม่เห็นอนาคตของเราสองคน
“รินจะจำความสุขที่เรามีร่วมกันตลอดไป”
ผมฟังแล้วใจหาย
“ให้ผมเจอรินนะ”
“แล้วรินจะติดต่อมา”
นั่นคือคำพูดสุดท้ายก่อนจากกันที่สนามบิน รินปฎิเสธที่จะให้ผมไปส่ง เธอจะนั่งแท็กซี่กลับเอง ส่วนผมก็ต้องรีบกลับไปเข้างาน
สองวันผ่านไป รินยังไม่โทร.กลับมา ผมเริ่มร้อนรนปนน้อยใจว่าทำไมเธอไม่คิดถึงผมบ้างเลยหรือ นี่ผ่านมาสองวันแล้ว ถ้ากำลังยุ่งหรือติดธุระอะไร ก็น่าจะส่งข้อความมาหากันบ้างตามประสาคนรัก
หรือว่า... หรือว่าจะมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นกับเธอ สารพันที่ผมจะคิดฟุ้งซ่านด้วยความเป็นห่วง
ผมตัดสินใจโทร.กลับไปยังเบอร์ที่รินเคยโทร.หาผม ตอนนี้เราเป็นคนรักกันแล้ว ผมไม่ใช่ผู้ชายที่ต้องรอให้เธอโทร.เรียกให้มาบริการเหมือนก่อน ผมควรมีสิทธิ์
เสียงสัญญานตอบกลับมาว่าเบอร์นี้ยังไม่เปิดใช้งาน ผมพยายามโทร.ซ้ำหลายครั้ง ก็ยังเหมือนเดิม
นี่มันอะไรกัน ผมหงุดหงิดงุ่นง่านจนแทบจะทำงานไม่ได้
วันรุ่งขึ้น เป็นวันหยุดงาน ผมรีบไปที่คอนโดฯ แห่งนั้น แต่ยามไม่ให้ผมเข้า
“จำผมไม่ได้หรือ ครั้งก่อนที่ผมเคยมาพบคุณรินที่ชั้น 22 “
“ชั้น 22 วันนี้มีจัด Private Party”
“หมายความว่ายังไง คุณรินจัดปาร์ตี้ ทำไมผมจะไปหาเธอไม่ได้”
“คุณรินไม่อยู่ครับ มีคนนอกมาเช่าชั้น 22 จัดงาน”
ผมมึนไปหมดแล้ว ชั้น 22 ที่ผมเคยไปเป็นห้องพักของรินนี่นา เผอิญผมหันไปเห็นแม่บ้านที่เคยดูแลต้อนรับผม เสิร์ฟน้ำให้ผมวันนั้น ผมรีบเข้าไปเรียกไว้
“พี่ครับ พี่ครับ จำผมได้ไหม ผมเคยไปหาคุณรินที่ชั้น 22 ผมอยากพบเธอ ช่วยผมหน่อยเถอะ”
“คุณรินไม่อยู่แล้ว”
“ก็ที่นั่น มันที่พักของคุณรินไม่ใช่หรือ”
แม่บ้านอึกอัก มองไปข้างหลังผมแล้วบอกว่า “คุณไปถามผู้จัดการเอาเองเถอะ”
ผู้จัดการคอนโดมิเนียมเดินเข้ามาหา ดูเหมือนยามจะเล่าให้ผู้จัดการคอนโดฯ แห่งนี้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น
“เชิญไปคุยที่ห้องผมดีกว่า”
ผมเดินตามไป
“ทราบว่า คุณมาตามหาคุณริน” ผู้จัดการเริ่มขึ้นเมื่อผมนั่งลงที่เก้าอี้ในห้องทำงาน
“ครับ”
“คุณรินเธออาศัยอยู่ต่างประเทศครับ เวลาที่เธอกลับมาเมืองไทย เธอจะมาพักที่ชั้น 22 ก่อนมาเธอจะแจ้งล่วงหน้าหนึ่งเดือนเพื่อเคลียร์ห้อง เปลี่ยนม่าน พรม ของใช้ทุกอย่างให้เสร็จก่อนเธอมาพัก ปกติแล้วห้องนั้นเราให้เช่าทั่วไปหรือจัดงานเป็นครั้งคราว”
สิ่งที่ได้รับฟังทำให้ผมชาไปทั้งร่าง และไม่อยากยอมรับความจริง