ไขมันส่วนเกิน โอ๊ยยยยยย ได้ยินละก็ปวดหัวจริงๆ ได้ยินทีไรเป็นต้องนั่งคิดว่า อาหารที่จะกินอยู่ในมือ มันจะมีส่วนเกินซักเท่าไหร่กันเชียว เอาหล่ะ แต่ปัญหาทุกอย่างนี้จะหมดไป วันนี้แอดมินของนำเสนอวิธีการใหม่ ในการขจัดปัญหากวนใจของใครหลายๆคนกับ วิธีการลดน้ำหนักด้วยเทคโนโลยีกับ วิธีการของ CollSculpting ว่าแต่มันจะเป็นวิธีการแบบไหนกันนั้น เราไปดูกันเลยครบโผมมม
CoolSculpting คือการกำจัดไขมันออกจากร่างกายด้วยความเย็น โดยใช้เทคโนโลยีที่คิดค้นและพัฒนาโดยทีมแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ส่งความเย็นในระดับจุดเยือกแข็ง -11 ถึง -13 °C ลงไปใต้ชั้นผิวหนังเข้าสู่ชั้นไขมัน จากนั้นความเย็นจะทำให้เซลล์ไขมันตายลง
และถูกขับออกจากร่างกายโดยไม่ต้องผ่าตัด หรือดูดออก ทำให้ไม่เกิดรอยแผล ขณะที่ในระหว่างการทำก็ไม่มีอาการเจ็บ ดังนั้นจึงไม่ต้องใช้ยาชา หรือยาสลบเพื่อระงับอาการเจ็บปวด หลังจากทำเสร็จแล้วก็ไม่ต้องพักฟื้น หลังทำสามารถกลับไปทำงานหรือทำกิจกรรมตามปกติ
CoolSculpting เป็นเครื่องมือแรกและเครื่องเดียวในขณะนี้ที่ได้รับการรองจากสถาบันระดับโลกอย่าง U.S.FDA (Food and Drug Administration) และมีผลงานวิจัยที่พิสูจน์แล้วว่าสามารถใช้ใช้ในการลดไขมันในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพและเห็นผลดีที่สุด เมื่อเทียบกับการกำจัดไขมันวิธีอื่น ๆ
CoolSculpting เป็นเทคโนโลยีการกำจัดไขมันที่ให้ผลความเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่การทำครั้งแรก โดยในการทำจะใช้เวลาในการทำประมาณ 35 – 45 นาที ขึ้นอยู่กับแต่ละพื้นที่ โดยผลลัพธ์ที่ได้ในการทำแต่ละครั้งจะสามารถกำจัดไขมันส่วนเกินออกจากบริเวณที่ทำได้ 20 – 30% ของไขมันส่วนเกินทั้งหมด ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ทั้งนี้ผู้เข้ารับบริการสามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงจากการทำ CoolSculpting ได้หลังจากทำไปแล้ว 1 – 3 เดือน
การกำจัดไขมันด้วย Coolsculpting เป็นวิธีที่สะดวก และเห็นผลจริงตามหลักการแพทย์ โดยไม่มีขั้นตอนที่ยุ่งยากซับซ้อน และไม่ต้องเตรียมตัวใดๆก่อนทำ
ขั้นตอนของการทำ Coolsculpting เริ่มจาก
1. รับคำปรึกษาจาก Coolsculpting Specialist ข้อห้ามในการทำมีน้อยมาก เช่น ในรายที่แพ้ความเย็นจัดๆ จะไม่สามารถทำได้ หรือผู้ที่มีการผ่าตัดในบริเวณที่ต้องการทำ Coolsculpting จะต้องเว้นระยะหลังผ่าตัด ประมาณ 6 เดือน แต่สามารถทำได้ในบริเวณอื่นๆ นอกจากนั้น ผู้ที่เป็นใส้เลื่อน ยังอยู่ในข้อห้ามของการทำ Coolsculpting บริเวณหน้าท้อง แต่ก็สามารถทำได้ในบริเวณอื่น
2. ประเมินจุด เลือกขนาด Applicator ขั้นตอนนี้เป็นอีกขึ้นตอนสำคัญในการทำ Coolsculpting หุ่นจะสวยขึ้น เอวจะเว้า S ก็ด้วยขั้นตอนนี้เลย เพราะความเชี่ยวชาญของ Coolsculpting Specialist จะออกแบบการวาง Applicator ให้ได้ส่วนเว้า ส่วนโค้งตามต้องการ นอกจากนี้การเลือกขนาดหัวที่เหมาะสม ยังทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดอีกด้วย
3. เริ่มวาง Applicator โดยประมาณ 10 นาทีแรก จะรู้สึกเย็นจัดในจุดที่ทำ จากนั้นจะเริ่มชาและรู้สึกคงที่ตลอด 35 นาที
4. นวดทันทีหลังทำ นาน 2 นาที ตามผลวิจัยเทียบผลลัพธ์ระหว่างนวด และไม่นวด ปรากฏว่า มีผลต่างกันถึง 68% แม้การนวดอาจทำให้รู้สึกไม่สบายผิวเล็กน้อย แต่เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ใน 2 นาที ที่จะทำให้ได้ประโยชน์สูงสุด
เทคโนโลยีในการลดน้ำหนัก กับวิธี Cool Sculpting
CoolSculpting คือการกำจัดไขมันออกจากร่างกายด้วยความเย็น โดยใช้เทคโนโลยีที่คิดค้นและพัฒนาโดยทีมแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ส่งความเย็นในระดับจุดเยือกแข็ง -11 ถึง -13 °C ลงไปใต้ชั้นผิวหนังเข้าสู่ชั้นไขมัน จากนั้นความเย็นจะทำให้เซลล์ไขมันตายลง
และถูกขับออกจากร่างกายโดยไม่ต้องผ่าตัด หรือดูดออก ทำให้ไม่เกิดรอยแผล ขณะที่ในระหว่างการทำก็ไม่มีอาการเจ็บ ดังนั้นจึงไม่ต้องใช้ยาชา หรือยาสลบเพื่อระงับอาการเจ็บปวด หลังจากทำเสร็จแล้วก็ไม่ต้องพักฟื้น หลังทำสามารถกลับไปทำงานหรือทำกิจกรรมตามปกติ
CoolSculpting เป็นเครื่องมือแรกและเครื่องเดียวในขณะนี้ที่ได้รับการรองจากสถาบันระดับโลกอย่าง U.S.FDA (Food and Drug Administration) และมีผลงานวิจัยที่พิสูจน์แล้วว่าสามารถใช้ใช้ในการลดไขมันในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพและเห็นผลดีที่สุด เมื่อเทียบกับการกำจัดไขมันวิธีอื่น ๆ
CoolSculpting เป็นเทคโนโลยีการกำจัดไขมันที่ให้ผลความเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่การทำครั้งแรก โดยในการทำจะใช้เวลาในการทำประมาณ 35 – 45 นาที ขึ้นอยู่กับแต่ละพื้นที่ โดยผลลัพธ์ที่ได้ในการทำแต่ละครั้งจะสามารถกำจัดไขมันส่วนเกินออกจากบริเวณที่ทำได้ 20 – 30% ของไขมันส่วนเกินทั้งหมด ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ทั้งนี้ผู้เข้ารับบริการสามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงจากการทำ CoolSculpting ได้หลังจากทำไปแล้ว 1 – 3 เดือน
การกำจัดไขมันด้วย Coolsculpting เป็นวิธีที่สะดวก และเห็นผลจริงตามหลักการแพทย์ โดยไม่มีขั้นตอนที่ยุ่งยากซับซ้อน และไม่ต้องเตรียมตัวใดๆก่อนทำ
ขั้นตอนของการทำ Coolsculpting เริ่มจาก
1. รับคำปรึกษาจาก Coolsculpting Specialist ข้อห้ามในการทำมีน้อยมาก เช่น ในรายที่แพ้ความเย็นจัดๆ จะไม่สามารถทำได้ หรือผู้ที่มีการผ่าตัดในบริเวณที่ต้องการทำ Coolsculpting จะต้องเว้นระยะหลังผ่าตัด ประมาณ 6 เดือน แต่สามารถทำได้ในบริเวณอื่นๆ นอกจากนั้น ผู้ที่เป็นใส้เลื่อน ยังอยู่ในข้อห้ามของการทำ Coolsculpting บริเวณหน้าท้อง แต่ก็สามารถทำได้ในบริเวณอื่น
2. ประเมินจุด เลือกขนาด Applicator ขั้นตอนนี้เป็นอีกขึ้นตอนสำคัญในการทำ Coolsculpting หุ่นจะสวยขึ้น เอวจะเว้า S ก็ด้วยขั้นตอนนี้เลย เพราะความเชี่ยวชาญของ Coolsculpting Specialist จะออกแบบการวาง Applicator ให้ได้ส่วนเว้า ส่วนโค้งตามต้องการ นอกจากนี้การเลือกขนาดหัวที่เหมาะสม ยังทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดอีกด้วย
3. เริ่มวาง Applicator โดยประมาณ 10 นาทีแรก จะรู้สึกเย็นจัดในจุดที่ทำ จากนั้นจะเริ่มชาและรู้สึกคงที่ตลอด 35 นาที
4. นวดทันทีหลังทำ นาน 2 นาที ตามผลวิจัยเทียบผลลัพธ์ระหว่างนวด และไม่นวด ปรากฏว่า มีผลต่างกันถึง 68% แม้การนวดอาจทำให้รู้สึกไม่สบายผิวเล็กน้อย แต่เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ใน 2 นาที ที่จะทำให้ได้ประโยชน์สูงสุด