“อุ๊งอิ๊ง” ลุยพื้นที่ขอคะแนนส.ก. อ้อนคิดถึงพ่อดูหน้าลูกไปก่อน ดีใจคนยังไม่ลืมพ่อ-อา
https://www.thairath.co.th/news/politic/2390507
“แพทองธาร” นำทีมผู้สมัครส.ก.ขอคะแนนตลาดสายเนตร เจอทักหน้าเหมือนพ่อ อ้อน คิดถึงพ่อดูหน้าลูกไปก่อน ลั่นอยากได้เก้าอี้ ส.ก. ให้ได้มากที่สุดเพื่อผลักดันนโยบาย ปลื้มคนถามถึง “พ่อ-อา” อยากไลน์บอก
วันที่ 12 พฤษภาคม 2565 เมื่อเวลา 07.00 น. ที่ตลาดสายเนตร เขตคันนายาว น.ส.
แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย นาง
พวงเพ็ชร ชุนละเอียด ผู้อำนวยการเลือกตั้งส.ก. พรรคเพื่อไทย นาย
วิชาญ มีนชัยนันท์ ประธานภาคกทม.พรรคเพื่อไทย ลงพื้นที่หาเสียงให้กับ ผู้สมัครส.ก.ของพรรคฝั่งธน ของพรรคเพื่อไทย ประกอบด้วย นาง
ชญาดา วิภัติภูมิประเทศ ผู้สมัคร ส.ก.เขตคันนายาว เบอร์ 5 พรรคเพื่อไทย นาย
เนติภูมิ มิ่งรุจิราลัย หรือ
ดีเจน็อบ ผู้สมัครส.ก.เขตบึงกุ่ม เบอร์ 3 พรรคเพื่อไทย น.ส.
มธุรส เบนท์ ผู้สมัคร ส.ก.เขตสะพานสูง เบอร์ 3 พรรคเพื่อไทย น.ส.
นภัสสร พละระวีพงศ์ ผู้สมัคร ส.ก.เขตบางกะปิ เบอร์ 4 พรรคเพื่อไทย บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก พ่อค้าแม่ค้าประชาชนที่มาจับจ่ายซื้อของ ได้เข้าทักทายบอกว่าหน้าเหมือน น.ส.
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ น.ส.
แพทองธาร จึงตอบกลับไปว่า “
หน้าเหมือนคุณอาค่ะ” น.ส.
แพทองธาร อย่างเป็นกันเองพร้อมขอถ่ายรูปเป็นที่ระลึก โดยน.ส.
แพทองธาร ได้บอกกล่าวนโยบายของพรรคเพื่อไทยให้ผู้มาจับจ่ายซื้อของรับทราบ และขอคะแนนให้ผู้สมัครของพรรคเพื่อไทย ในการเลือกตั้ง
ชาวสวนร่ำไห้ ถึงคิวขนุน ราคาตกเหลือกก.ละ 2 บาท เตรียมจัดงานขนุนโลกกระตุ้นราคา
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_3339485
ชาวสวนร่ำไห้ ถึงคิวขนุน ราคาตกเหลือกก.ละ 2 บาท เตรียมจัดงานขนุนโลกกระตุ้นราคา
วันที่ 12 พฤษภาคม นาย
ชูชาติ ยางนอก นายกองค์การบริหารส่วนตำบลสระว่านพระยา อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา ได้ออกมาเปิดเผยว่า สถานการณ์ขนุน ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจของจังหวัดนครราชสีมาในขณะนี้ กำลังอยู่ในภาวะราคาตกต่ำอย่างมาก เนื่องจากมีปัจจัยปัญหาเรื่องการส่งออก อันเป็นผลมาจากสถานการณ์โควิด 19 เศรษฐกิจตกต่ำ รวมถึง เริ่มมีผลไม้ชนิดอื่นออกสู่ตลาดจำนวนมาก ทั้งเงาะ มังคุด และทุเรียน ทำให้ราคาขนุนแก่ มีการรับซื้อที่หน้าสวนสูงสุดอยู่ที่กิโลกรัมละ 2 บาทเท่านั้น จากที่เคยมีราคาสูงสุดถึงกิโลกรัมละมากกว่า 40 บาท ซึ่งล่าสุด หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังหาทางช่วยกันแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้อย่างเต็มที่ เพื่อกระตุ้นราคาขนุนให้ดีขึ้น ลดความเดือดร้อนของเกษตรกรที่กำลังประสบอยู่ในตอนนี้
โดยเบื้องต้น ได้มีการแก้ไขปัญหาด้วยผลักดันให้ชาวสวนนำผลผลิตไปจำหน่าย ที่ตลาดนัดเกษตรกรที่บริเวณลานหน้าศาลากลางจังหวัดฯ เพื่อระบายสินค้า ซึ่งได้กระแสตอบรับดี สามารถระบายสินค้าได้แล้วกว่า 10 ตัน และส่งเสริมให้มีการแปรรูปขนุนให้มีความหลากหลาย โดยทำเป็นแยมขนุน หรือขนุนทอด เป็นต้น เพื่อให้มีช่องทางการจำหน่ายมากขึ้น
นอกจากนี้ องค์การบริหารส่วนตำบลสระว่าพระยา ยังเตรียมจะจัดงาน “เทศกาลขนุนโลกหนุนนำ หมากมั่งมี” ครั้งที่ 1 ในวันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม 2665 ที่กำลังจะถึง เพื่อกระตุ้นราคาขนุน ยกระดับสินค้าและเปิดแหล่งท่องเที่ยวทางการเกษตรให้เป็นที่รู้จักเพิ่มมากขึ้น ซึ่งภายในงาน จะจัดให้มีกิจกรรมที่หลากหลาย อาทิ การประกวดเทพีขนุน ธิดาหมากมั่งมี การเสวนาบรรยายให้ความรู้ด้านการเกษตร การประกวดขนุนคุณภาพหลากชนิด พร้อมชิมขนุนฟรี อีกทั้ง ยังมีการจัดบูธแสดงสินค้าด้านการเกษตรที่สำคัญอีกด้วย
ทั้งนี้ ในพื้นที่ อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา ปัจจุบันมีพื้นที่การปลูกขนุนเป็นพืชเศรษฐกิจรวมประมาณ 2,000 ไร่ มีขนุนออกสู่ตลาดทั้งในและต่างประเทศ รวมกว่า 1,000 ตันต่อปี สามารถสร้างเม็ดเงินได้หลายสิบล้านบาทต่อปี โดยเฉพาะในช่วงนี้เป็นช่วงที่มีผลผลิตออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก
กองทุนน้ำมันเงินใกล้หมด หลังอุ้มดีเซล เส้นตายพ.ค. วิ่งวุ่นหาเงินกู้
https://www.prachachat.net/economy/news-928200
กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงวิกฤต เหลือเงินสดติดบัญชีแค่ 12,932 ล้านบาท พอตรึงราคาน้ำมันดีเซลถึงสิ้นเดือนมิถุนายน หลังผ่านมา 6 เดือนยังไม่มีธนาคารไหนยอมปล่อยกู้ สุดท้ายเหลือ 2 ทางเลือก เร่งขอเงินกู้แบงก์รัฐภายในสิ้นเดือนพฤษภาคม กับของบประมาณรัฐมาช่วย
สถานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงปัจจุบันกำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤต หลังจากที่รัฐบาลตัดสินใจใช้กลไกของกองทุนดำเนินการ “อุดหนุน” ราคาน้ำมันดีเซลภายในประเทศมาตั้งแต่ช่วงปลายปี 2564
ประกอบกับเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกพุ่งทะยานขึ้นเกินกว่าระดับ 100 เหรียญ/บาร์เรลติดต่อกัน ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯปัจจุบันติดลบไปแล้วถึง -66,681 ล้านบาท
แม้ว่ารัฐบาลจะพยายามลดภาระของกองทุนลงด้วยการ
“กันเงิน” จากการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล 1 บาทเข้ากองทุน แต่ก็ไม่ได้ช่วยพยุงฐานะกองทุนน้ำมันฯได้มากนัก เนื่องจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับสูงขึ้นมาโดยตลอด และไม่มีทีท่าว่าจะลดลงแต่อย่างใด
กองทุนเหลือเงินหมื่นกว่าล้าน
นาย
วิศักดิ์ วัฒนศัพท์ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) กล่าวว่า ปัจจุบันสถานะกองทุนน้ำมันติดลบ -66,681 ล้านบาท แบ่งเป็น บัญชีน้ำมันติดลบ -33,258 ล้านบาท กับบัญชีก๊าซ LPG ติดลบ -33,423 ล้านบาท ส่งผลให้กองทุนมี
“สภาพคล่อง” เงินสดเหลือในบัญชีอยู่ 12,932 ล้านบาทเท่านั้น
โดยแนวทางในการบริหารจัดการกองทุนต่อจากนี้ไป ทางคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ได้กำหนดไว้ 2 แนวทาง ได้แก่ 1) การกู้เงินจากสถาบันการเงิน ซึ่งเป็นเรื่องที่กำลังดำเนินการอยู่ ภายใต้กรอบวงเงิน 40,000 ล้านบาท แต่จะกู้จากสถาบันการเงินในลอตแรกประมาณ 20,000 ล้านบาท จาก 2 สถาบันการเงินของรัฐคือ ธนาคารกรุงไทย และธนาคารออมสิน
ล่าสุดมีการตั้งคณะอนุกรรมการดูแลสภาพคล่องกองทุน โดยมีนายธีรัชย์ อัตนวานิช รองปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธานจัดหาเงินกู้ให้แก่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และได้การมีส่งข้อมูลเพิ่มเติมให้กับธนาคารพิจารณา ซึ่งการพิจารณาของธนาคารยังต้องใช้เวลาและต้องเข้าบอร์ดของธนาคารก่อนเคาะการปล่อยกู้ แต่ต้องให้ทันก่อนสิ้นเดือนพฤษภาคมนี้
“ที่ช้าเพราะธนาคารขอดูอย่างพวก statement เพราะกองทุนขาดการติดต่อกับทางแบงก์ไปเลย 3 ปี ในช่วงที่เราเปลี่ยนผ่านมามี พ.ร.บ.กองทุนน้ำมันฯปี 2562 ทางธนาคารต้องการความเชื่อมั่นว่า กองทุนน้ำมันฯจะสามารถอยู่ได้และไปต่อ หากมีการอนุมัติเงินกู้ให้ นอกจากนี้ ธนาคารยังขอดูสภาพคล่องของเงินเข้าและออก รวมไปถึงการประเมินราคาน้ำมันตลาดโลกคู่ไปด้วย” นายวิศักดิ์กล่าว
ส่วนแนวทางที่ 2 หากธนาคารยังไม่ปล่อยเงินกู้ให้ก็คือ การของบฯจากรัฐบาล วงเงินไม่จำกัด ซึ่งในกรณีนี้ตามกฎหมายกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง “สามารถทำได้ แต่อยู่ที่ว่ารัฐบาลจะอนุมัติให้ได้หรือไม่”
อย่างไรก็ตาม ย้อนหลังไปเมื่อหลายปีก่อน ปรากฏกองทุนน้ำมันฯเคยติดลบเป็น -10,000 ล้านบาท ก็ของบประมาณจากรัฐบาลมาช่วยอุดไว้ได้ ตอนนั้นกองทุนก็เจอวิกฤตการณ์ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นเช่นกัน แต่เศรษฐกิจไทยดี รัฐบาลมีเงินก็สามารถช่วยอุ้มไว้ได้
แต่มาปีนี้สถานการณ์ต่างกันมาก เจอสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นอีก ราคาดีเซล ณ วันที่ 6 พ.ค. 2565 ไปถึง 160.65 ดอลลาร์/บาร์เรลแล้ว กองทุนอุดหนุนอยู่ที่ลิตรละ 11.35 บาท เพื่อตรึงราคาขายปลีกไว้ที่ 32 บาท/ลิตรนั้น หมายความว่า กองทุนน้ำมันฯต้อง “ควักเงินจำนวนมากมาอุ้ม” ส่วนรัฐบาลเองก็ไม่มีเงิน เศรษฐกิจก็ไม่ดี แนวทางการของบฯจากรัฐบาลจึงอาจดูว่า “จะยาก”
อย่างไรก็ตาม หากภายในสิ้นเดือนพฤษภาคมนี้ ยังไม่มีสถาบันการเงินรายใดอนุมัติการปล่อยกู้ไปจนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน 2556 ฐานะกองทุนน้ำมันฯคงไม่สามารถ “ตรึงราคาน้ำมันดีเซลไว้ให้ได้เเล้ว” ประกอบกับสงครามรัสเซีย-ยูเครนยังไม่ยุติ ราคาพลังงานยังพุ่ง
ดังนั้นแนวทางสุดท้ายก็คือ “การปล่อยลอยตัว” นั่นหมายถึง ราคาน้ำมันดีเซลก็จะพุ่งขึ้นไปตามราคาน้ำมันโลก โดยที่กองทุนก็ไม่สามารถอุดหนุนราคาน้ำมันภายในประเทศต่อไปก็เพื่อรักษาเสถียรภาพกองทุนเอาไว้ และประชาชนก็ต้องแบกรับภาระค่าครองชีพ “แต่ผมยังเชื่อว่า รัฐบาลจะไม่ปล่อยให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ เพราะจะเป็นการซ้ำเติมประชาชนมากเกินไป” นายวิศักดิ์กล่าว
ส่วนการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ครั้งล่าสุดได้พิจารณา “ทบทวน” การขายปลีกน้ำมันดีเซลประจำสัปดาห์ โดยที่ประชุมมีมติให้ “คงราคาดีเซล” ในสัปดาห์นี้ (9-15 พ.ค. 2565) ไว้ที่ 32 บาท/ลิตร ส่วนการจะปรับราคาขึ้นอีกหรือไม่นั้น จะมอนิเตอร์จากสถานการณ์ราคาโลกแบบรายวัน และจะนำเสนอเข้าที่ประชุม กบน. ทุกวันศุกร์ของสัปดาห์ เพื่อพิจารณาว่า ในต้นสัปดาห์ต่อไป (16 พ.ค. 2665) จะสามารถตรึงราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไว้หรือต้องปรับขึ้นราคาตามสถานการณ์โลก
ค่าการตลาดดีเซลขึ้น 2 บาท
มีรายงานข่าวเข้ามาว่า หากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังไม่ปรับลดลง ประกอบกับยังไม่มีสถาบันการเงินของรัฐแห่งใดปล่อยเงินกู้เพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับกองทุนน้ำมันฯแล้ว ถึงสิ้นเดือนพฤษภาคมมีความเป็นไปได้ว่า กองทุนน้ำมันฯจะติดลบทะลุ -70,000 ล้านบาท ในขณะที่ราคาน้ำมันดีเซลจะต้องติดตามต่อไปว่า รัฐบาลจะ “ต่ออายุ” มาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล ซึ่งจะหมดอายุลงในวันที่ 20 พฤษภาคมนี้หรือไม่
เพราะหากรัฐบาลเลือกที่จะไม่ต่ออายุราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 20 พฤษภาคมจะต้องบวกเพิ่มอีก 3 บาท/ลิตร ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของรัฐบาลจากประมาณการการลดภาษีสรรพสามิตรอบนี้ จะทำให้รัฐบาลสูญเสียรายได้ไปประมาณ 17,100 ล้านบาท เพราะยิ่งต่ออายุออกไปรายได้ในส่วนนี้ก็จะยิ่งหายไปอีก
“รัฐบาลกำลังเข้าตาจนและรู้ดีว่า กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไม่มีความสามารถที่จะอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลต่อไปได้อีกแล้ว จึงยอมขยับราคาดีเซลให้ใกล้เคียงกับราคาตลาดโลกแบบเป็นขั้นเป็นตอน ขั้นแรกกำหนดกรอบไว้ที่ไม่เกิน 35 บาท/ลิตร ในขณะที่ราคาน้ำมันดีเซลที่แท้จริงน่าจะอยู่ที่ระดับ 44-45 บาท/ลิตร (ปัจจุบันกองทุนอุดหนุนไว้ที่ราคาลิตรละ 11.35 บาท/ลิตร จากกรอบ 35 บาท/ลิตร)
แต่มีข้อน่าสังเกตว่า ในขณะที่รัฐบาลพยายามที่จะตรึงราคาน้ำมันดีเซลไว้ไม่ให้เกิน 35 บาท/ลิตร แต่ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลของผู้ค้าน้ำมันกลับขึ้นไปสูงถึง 2.0767 บาท/ลิตร จากเดิมที่รัฐบาลได้ขอความร่วมมือผู้ค้าน้ำมันให้ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็วแต่ละชนิดอยู่ในช่วง 1.40 บาท/ลิตร หรือเท่ากับตอนนี้ค่าการตลาดได้ปรับสูงขึ้นมาก” แหล่งข่าวกล่าว
JJNY : “อุ๊งอิ๊ง” ดีใจคนยังไม่ลืมพ่อ-อา│ขนุนราคาตก│กองทุนน้ำมันเงินใกล้หมด วิ่งวุ่นหาเงินกู้│'ชัชชาติ'ยังนำโด่ง ดุสิตโพล
https://www.thairath.co.th/news/politic/2390507
“แพทองธาร” นำทีมผู้สมัครส.ก.ขอคะแนนตลาดสายเนตร เจอทักหน้าเหมือนพ่อ อ้อน คิดถึงพ่อดูหน้าลูกไปก่อน ลั่นอยากได้เก้าอี้ ส.ก. ให้ได้มากที่สุดเพื่อผลักดันนโยบาย ปลื้มคนถามถึง “พ่อ-อา” อยากไลน์บอก
วันที่ 12 พฤษภาคม 2565 เมื่อเวลา 07.00 น. ที่ตลาดสายเนตร เขตคันนายาว น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด ผู้อำนวยการเลือกตั้งส.ก. พรรคเพื่อไทย นายวิชาญ มีนชัยนันท์ ประธานภาคกทม.พรรคเพื่อไทย ลงพื้นที่หาเสียงให้กับ ผู้สมัครส.ก.ของพรรคฝั่งธน ของพรรคเพื่อไทย ประกอบด้วย นางชญาดา วิภัติภูมิประเทศ ผู้สมัคร ส.ก.เขตคันนายาว เบอร์ 5 พรรคเพื่อไทย นายเนติภูมิ มิ่งรุจิราลัย หรือดีเจน็อบ ผู้สมัครส.ก.เขตบึงกุ่ม เบอร์ 3 พรรคเพื่อไทย น.ส.มธุรส เบนท์ ผู้สมัคร ส.ก.เขตสะพานสูง เบอร์ 3 พรรคเพื่อไทย น.ส. นภัสสร พละระวีพงศ์ ผู้สมัคร ส.ก.เขตบางกะปิ เบอร์ 4 พรรคเพื่อไทย บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก พ่อค้าแม่ค้าประชาชนที่มาจับจ่ายซื้อของ ได้เข้าทักทายบอกว่าหน้าเหมือน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ น.ส.แพทองธาร จึงตอบกลับไปว่า “หน้าเหมือนคุณอาค่ะ” น.ส.แพทองธาร อย่างเป็นกันเองพร้อมขอถ่ายรูปเป็นที่ระลึก โดยน.ส.แพทองธาร ได้บอกกล่าวนโยบายของพรรคเพื่อไทยให้ผู้มาจับจ่ายซื้อของรับทราบ และขอคะแนนให้ผู้สมัครของพรรคเพื่อไทย ในการเลือกตั้ง
ชาวสวนร่ำไห้ ถึงคิวขนุน ราคาตกเหลือกก.ละ 2 บาท เตรียมจัดงานขนุนโลกกระตุ้นราคา
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_3339485
ชาวสวนร่ำไห้ ถึงคิวขนุน ราคาตกเหลือกก.ละ 2 บาท เตรียมจัดงานขนุนโลกกระตุ้นราคา
วันที่ 12 พฤษภาคม นายชูชาติ ยางนอก นายกองค์การบริหารส่วนตำบลสระว่านพระยา อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา ได้ออกมาเปิดเผยว่า สถานการณ์ขนุน ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจของจังหวัดนครราชสีมาในขณะนี้ กำลังอยู่ในภาวะราคาตกต่ำอย่างมาก เนื่องจากมีปัจจัยปัญหาเรื่องการส่งออก อันเป็นผลมาจากสถานการณ์โควิด 19 เศรษฐกิจตกต่ำ รวมถึง เริ่มมีผลไม้ชนิดอื่นออกสู่ตลาดจำนวนมาก ทั้งเงาะ มังคุด และทุเรียน ทำให้ราคาขนุนแก่ มีการรับซื้อที่หน้าสวนสูงสุดอยู่ที่กิโลกรัมละ 2 บาทเท่านั้น จากที่เคยมีราคาสูงสุดถึงกิโลกรัมละมากกว่า 40 บาท ซึ่งล่าสุด หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังหาทางช่วยกันแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้อย่างเต็มที่ เพื่อกระตุ้นราคาขนุนให้ดีขึ้น ลดความเดือดร้อนของเกษตรกรที่กำลังประสบอยู่ในตอนนี้
โดยเบื้องต้น ได้มีการแก้ไขปัญหาด้วยผลักดันให้ชาวสวนนำผลผลิตไปจำหน่าย ที่ตลาดนัดเกษตรกรที่บริเวณลานหน้าศาลากลางจังหวัดฯ เพื่อระบายสินค้า ซึ่งได้กระแสตอบรับดี สามารถระบายสินค้าได้แล้วกว่า 10 ตัน และส่งเสริมให้มีการแปรรูปขนุนให้มีความหลากหลาย โดยทำเป็นแยมขนุน หรือขนุนทอด เป็นต้น เพื่อให้มีช่องทางการจำหน่ายมากขึ้น
นอกจากนี้ องค์การบริหารส่วนตำบลสระว่าพระยา ยังเตรียมจะจัดงาน “เทศกาลขนุนโลกหนุนนำ หมากมั่งมี” ครั้งที่ 1 ในวันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม 2665 ที่กำลังจะถึง เพื่อกระตุ้นราคาขนุน ยกระดับสินค้าและเปิดแหล่งท่องเที่ยวทางการเกษตรให้เป็นที่รู้จักเพิ่มมากขึ้น ซึ่งภายในงาน จะจัดให้มีกิจกรรมที่หลากหลาย อาทิ การประกวดเทพีขนุน ธิดาหมากมั่งมี การเสวนาบรรยายให้ความรู้ด้านการเกษตร การประกวดขนุนคุณภาพหลากชนิด พร้อมชิมขนุนฟรี อีกทั้ง ยังมีการจัดบูธแสดงสินค้าด้านการเกษตรที่สำคัญอีกด้วย
ทั้งนี้ ในพื้นที่ อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา ปัจจุบันมีพื้นที่การปลูกขนุนเป็นพืชเศรษฐกิจรวมประมาณ 2,000 ไร่ มีขนุนออกสู่ตลาดทั้งในและต่างประเทศ รวมกว่า 1,000 ตันต่อปี สามารถสร้างเม็ดเงินได้หลายสิบล้านบาทต่อปี โดยเฉพาะในช่วงนี้เป็นช่วงที่มีผลผลิตออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก
กองทุนน้ำมันเงินใกล้หมด หลังอุ้มดีเซล เส้นตายพ.ค. วิ่งวุ่นหาเงินกู้
https://www.prachachat.net/economy/news-928200
กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงวิกฤต เหลือเงินสดติดบัญชีแค่ 12,932 ล้านบาท พอตรึงราคาน้ำมันดีเซลถึงสิ้นเดือนมิถุนายน หลังผ่านมา 6 เดือนยังไม่มีธนาคารไหนยอมปล่อยกู้ สุดท้ายเหลือ 2 ทางเลือก เร่งขอเงินกู้แบงก์รัฐภายในสิ้นเดือนพฤษภาคม กับของบประมาณรัฐมาช่วย
สถานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงปัจจุบันกำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤต หลังจากที่รัฐบาลตัดสินใจใช้กลไกของกองทุนดำเนินการ “อุดหนุน” ราคาน้ำมันดีเซลภายในประเทศมาตั้งแต่ช่วงปลายปี 2564
ประกอบกับเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกพุ่งทะยานขึ้นเกินกว่าระดับ 100 เหรียญ/บาร์เรลติดต่อกัน ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯปัจจุบันติดลบไปแล้วถึง -66,681 ล้านบาท
แม้ว่ารัฐบาลจะพยายามลดภาระของกองทุนลงด้วยการ “กันเงิน” จากการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล 1 บาทเข้ากองทุน แต่ก็ไม่ได้ช่วยพยุงฐานะกองทุนน้ำมันฯได้มากนัก เนื่องจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับสูงขึ้นมาโดยตลอด และไม่มีทีท่าว่าจะลดลงแต่อย่างใด
กองทุนเหลือเงินหมื่นกว่าล้าน
นายวิศักดิ์ วัฒนศัพท์ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) กล่าวว่า ปัจจุบันสถานะกองทุนน้ำมันติดลบ -66,681 ล้านบาท แบ่งเป็น บัญชีน้ำมันติดลบ -33,258 ล้านบาท กับบัญชีก๊าซ LPG ติดลบ -33,423 ล้านบาท ส่งผลให้กองทุนมี “สภาพคล่อง” เงินสดเหลือในบัญชีอยู่ 12,932 ล้านบาทเท่านั้น
โดยแนวทางในการบริหารจัดการกองทุนต่อจากนี้ไป ทางคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ได้กำหนดไว้ 2 แนวทาง ได้แก่ 1) การกู้เงินจากสถาบันการเงิน ซึ่งเป็นเรื่องที่กำลังดำเนินการอยู่ ภายใต้กรอบวงเงิน 40,000 ล้านบาท แต่จะกู้จากสถาบันการเงินในลอตแรกประมาณ 20,000 ล้านบาท จาก 2 สถาบันการเงินของรัฐคือ ธนาคารกรุงไทย และธนาคารออมสิน
ล่าสุดมีการตั้งคณะอนุกรรมการดูแลสภาพคล่องกองทุน โดยมีนายธีรัชย์ อัตนวานิช รองปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธานจัดหาเงินกู้ให้แก่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และได้การมีส่งข้อมูลเพิ่มเติมให้กับธนาคารพิจารณา ซึ่งการพิจารณาของธนาคารยังต้องใช้เวลาและต้องเข้าบอร์ดของธนาคารก่อนเคาะการปล่อยกู้ แต่ต้องให้ทันก่อนสิ้นเดือนพฤษภาคมนี้
“ที่ช้าเพราะธนาคารขอดูอย่างพวก statement เพราะกองทุนขาดการติดต่อกับทางแบงก์ไปเลย 3 ปี ในช่วงที่เราเปลี่ยนผ่านมามี พ.ร.บ.กองทุนน้ำมันฯปี 2562 ทางธนาคารต้องการความเชื่อมั่นว่า กองทุนน้ำมันฯจะสามารถอยู่ได้และไปต่อ หากมีการอนุมัติเงินกู้ให้ นอกจากนี้ ธนาคารยังขอดูสภาพคล่องของเงินเข้าและออก รวมไปถึงการประเมินราคาน้ำมันตลาดโลกคู่ไปด้วย” นายวิศักดิ์กล่าว
ส่วนแนวทางที่ 2 หากธนาคารยังไม่ปล่อยเงินกู้ให้ก็คือ การของบฯจากรัฐบาล วงเงินไม่จำกัด ซึ่งในกรณีนี้ตามกฎหมายกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง “สามารถทำได้ แต่อยู่ที่ว่ารัฐบาลจะอนุมัติให้ได้หรือไม่”
อย่างไรก็ตาม ย้อนหลังไปเมื่อหลายปีก่อน ปรากฏกองทุนน้ำมันฯเคยติดลบเป็น -10,000 ล้านบาท ก็ของบประมาณจากรัฐบาลมาช่วยอุดไว้ได้ ตอนนั้นกองทุนก็เจอวิกฤตการณ์ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นเช่นกัน แต่เศรษฐกิจไทยดี รัฐบาลมีเงินก็สามารถช่วยอุ้มไว้ได้
แต่มาปีนี้สถานการณ์ต่างกันมาก เจอสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นอีก ราคาดีเซล ณ วันที่ 6 พ.ค. 2565 ไปถึง 160.65 ดอลลาร์/บาร์เรลแล้ว กองทุนอุดหนุนอยู่ที่ลิตรละ 11.35 บาท เพื่อตรึงราคาขายปลีกไว้ที่ 32 บาท/ลิตรนั้น หมายความว่า กองทุนน้ำมันฯต้อง “ควักเงินจำนวนมากมาอุ้ม” ส่วนรัฐบาลเองก็ไม่มีเงิน เศรษฐกิจก็ไม่ดี แนวทางการของบฯจากรัฐบาลจึงอาจดูว่า “จะยาก”
อย่างไรก็ตาม หากภายในสิ้นเดือนพฤษภาคมนี้ ยังไม่มีสถาบันการเงินรายใดอนุมัติการปล่อยกู้ไปจนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน 2556 ฐานะกองทุนน้ำมันฯคงไม่สามารถ “ตรึงราคาน้ำมันดีเซลไว้ให้ได้เเล้ว” ประกอบกับสงครามรัสเซีย-ยูเครนยังไม่ยุติ ราคาพลังงานยังพุ่ง
ดังนั้นแนวทางสุดท้ายก็คือ “การปล่อยลอยตัว” นั่นหมายถึง ราคาน้ำมันดีเซลก็จะพุ่งขึ้นไปตามราคาน้ำมันโลก โดยที่กองทุนก็ไม่สามารถอุดหนุนราคาน้ำมันภายในประเทศต่อไปก็เพื่อรักษาเสถียรภาพกองทุนเอาไว้ และประชาชนก็ต้องแบกรับภาระค่าครองชีพ “แต่ผมยังเชื่อว่า รัฐบาลจะไม่ปล่อยให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ เพราะจะเป็นการซ้ำเติมประชาชนมากเกินไป” นายวิศักดิ์กล่าว
ส่วนการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ครั้งล่าสุดได้พิจารณา “ทบทวน” การขายปลีกน้ำมันดีเซลประจำสัปดาห์ โดยที่ประชุมมีมติให้ “คงราคาดีเซล” ในสัปดาห์นี้ (9-15 พ.ค. 2565) ไว้ที่ 32 บาท/ลิตร ส่วนการจะปรับราคาขึ้นอีกหรือไม่นั้น จะมอนิเตอร์จากสถานการณ์ราคาโลกแบบรายวัน และจะนำเสนอเข้าที่ประชุม กบน. ทุกวันศุกร์ของสัปดาห์ เพื่อพิจารณาว่า ในต้นสัปดาห์ต่อไป (16 พ.ค. 2665) จะสามารถตรึงราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไว้หรือต้องปรับขึ้นราคาตามสถานการณ์โลก
ค่าการตลาดดีเซลขึ้น 2 บาท
มีรายงานข่าวเข้ามาว่า หากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังไม่ปรับลดลง ประกอบกับยังไม่มีสถาบันการเงินของรัฐแห่งใดปล่อยเงินกู้เพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับกองทุนน้ำมันฯแล้ว ถึงสิ้นเดือนพฤษภาคมมีความเป็นไปได้ว่า กองทุนน้ำมันฯจะติดลบทะลุ -70,000 ล้านบาท ในขณะที่ราคาน้ำมันดีเซลจะต้องติดตามต่อไปว่า รัฐบาลจะ “ต่ออายุ” มาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล ซึ่งจะหมดอายุลงในวันที่ 20 พฤษภาคมนี้หรือไม่
เพราะหากรัฐบาลเลือกที่จะไม่ต่ออายุราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 20 พฤษภาคมจะต้องบวกเพิ่มอีก 3 บาท/ลิตร ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของรัฐบาลจากประมาณการการลดภาษีสรรพสามิตรอบนี้ จะทำให้รัฐบาลสูญเสียรายได้ไปประมาณ 17,100 ล้านบาท เพราะยิ่งต่ออายุออกไปรายได้ในส่วนนี้ก็จะยิ่งหายไปอีก
“รัฐบาลกำลังเข้าตาจนและรู้ดีว่า กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไม่มีความสามารถที่จะอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลต่อไปได้อีกแล้ว จึงยอมขยับราคาดีเซลให้ใกล้เคียงกับราคาตลาดโลกแบบเป็นขั้นเป็นตอน ขั้นแรกกำหนดกรอบไว้ที่ไม่เกิน 35 บาท/ลิตร ในขณะที่ราคาน้ำมันดีเซลที่แท้จริงน่าจะอยู่ที่ระดับ 44-45 บาท/ลิตร (ปัจจุบันกองทุนอุดหนุนไว้ที่ราคาลิตรละ 11.35 บาท/ลิตร จากกรอบ 35 บาท/ลิตร)
แต่มีข้อน่าสังเกตว่า ในขณะที่รัฐบาลพยายามที่จะตรึงราคาน้ำมันดีเซลไว้ไม่ให้เกิน 35 บาท/ลิตร แต่ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลของผู้ค้าน้ำมันกลับขึ้นไปสูงถึง 2.0767 บาท/ลิตร จากเดิมที่รัฐบาลได้ขอความร่วมมือผู้ค้าน้ำมันให้ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็วแต่ละชนิดอยู่ในช่วง 1.40 บาท/ลิตร หรือเท่ากับตอนนี้ค่าการตลาดได้ปรับสูงขึ้นมาก” แหล่งข่าวกล่าว