.
ตอนเด็ก ๆ ใครเคยเล่นเดินนางสาวไทยกันบ้าง วันวานจะพาย้อนกลับไปสมัยเด็ก ๆ เชื่อว่าทุก ๆ คนเฉพาะเด็กผู้หญิง เชื่อว่าทุกคนเคยผ่านการประกวดนางงามจักรวาลมาแน่นอน!!! ส่วนรันเวย์จะเป็นอะไรก็แล้วแต่สถานที่นั้น ๆ
ไม่ใช่แค่เล่นเดินนางสาวไทย มีการเล่นแบบเด็กต่างจังหวัดอื่น ๆ อีกมากมาย พอมองย้อนกลับไปมันมีคุณค่าทางจิตใจมากจริง ๆ ทุกวันนี้เลือนหายไปตามกาลเวลา อีกทั้งสังคมเจริญขึ้นด้วย การละเล่นของเด็ก ๆ ก็เปลี่ยนวิถีไป
ฉันเองก็เคยเล่น (หัวเราะ) นี่นึกย้อนกลับไปขำไปนะ เป็นอะไรที่เล่นบ่อยมาก ๆ กับพี่ ๆ แถมยังมีการแต่งตัวแต่งผมด้วย ทำกันเอาเองตามประสาเด็ก เชื่อว่าผู้หญิงทุกคนต้องเคยผ่านการเป็นนางงามจักรวาลมาแน่นอน
ไม่ได้ชวนให้จมอยู่กับอดีตใด ๆ จะเรียกมันว่าความสุข มันเป็นวันวานแห่งความสุข เราจะพูดว่าจมปลักก็ไม่ได้ ใช้คำว่านึกถึงแทน นึกถึงความสุขในวัยเด็ก เสี่ยวหนึ่งของชีวิตที่เคยผ่านมาว่า เรามีความสุขกับการใช้ชีวิตในช่วงนั้นแค่ไหน ส่วนปัจจุบันมันจะห่วยแตกแค่ไหนก็ตาม ลองนึกย้อนวันวานดูเล่น ๆ แล้วเราจะยิ้มได้
วันวานที่ไม่มีความสุข วันวานที่ไม่ดีอย่าไปนึกถึงมัน เราควรปล่อยให้มันตายและหายไปตามกาลเวลานั่นแหละถูกแล้ว แต่! วันวานที่ทำให้ยิ้มได้ ไม่ผิดที่จะนึกถึง
เรื่องมีอยู่ว่า…
เช้าวันนี้ยายพาพวกเธอหกคนพี่น้องไปนา เมื่อคืนฝนตกหนักมาก ยายจึงอยากมาดูนาว่าเสียหายมากน้อยแค่ไหน อีกอย่างจะได้เตรียมข้าวปลูกไว้ลงนาด้วย อีกไม่กี่วันก็จะเลี้ยงบ้านหรือปู่ตาแล้ว ฤดูทำนาได้เวียนมาถึงอีกครั้ง
ยายเตรียมห่อข้าวไปนาด้วย วันนี้จะไปนาทั้งวัน สี่โมงเย็นถึงจะพาพวกเธอกลับบ้าน พวกเธอไม่ขัด ยายพาไปนาก็ไป ไปเล่นที่นาก็สนุกไม่แพ้เล่นอยู่ที่บ้าน ยิ่งฝนตกหนักเมื่อคืนในนาต้องมีน้ำขังแน่นอน นั่นแหละสนามเด็กเล่นของพวกเธอ
“แต่งเอาเสื้อผ้าไปเปลี่ยนนำเด้อไผกะหลาย ” ยายไม่ลืมกำชับเรื่องนี้ด้วย เพราะคาดการณ์ไว้ว่าอาจจะต้องมีการเล่นน้ำกันเกิดขึ้น ยายเองก็ง่วนอยู่กับการเตรียมข้าวปลาอาหารใส่ตะกร้าไม้ไผ่ เตรียมคุถัง เสียม และ สวิงของยายพร้อม
“แต่งเอาของไผของมันเด้อ เอื้อยจะแต่งให้ตะน้องบีม” พี่ปาวออกตัวก่อน บอสไม่มีปัญหาใด ๆ เดินไปเลือกชุดของตนเองมาพับ ๆ ให้เรียบร้อย จากนั้นก็นำไปใส่ถุงย่ามกับพี่ปาว พี่แป้งและพี่บอมพี่บอลก็ด้วย
“ยายแล้ว ๆ” พี่ปาวร้องบอกยาย ทุกคนพร้อมออกเดินทางไปนามาก ๆ
“ปะ ๆ แล้ว ๆ กะมาไป สวยแล้วหนิ มื้อแลงจังมาเฮา” ยายตอบพร้อมล็อกประตูบ้านเสร็จสรรพ เตรียมหาบข้าวของที่เตรียมใส่ตะกร้าไม้ไผ่ หาบใส่ไม้คานเดินนำหน้าพวกเธอไปยังชายทุ่ง
แปดโมงเช้ายายพาเดินลัดทุ่งผ่านนายายเรืองและนาพ่อคมไป จากนั้นเดินไปข้ามสะพานที่ฝายน้ำล้นที่นาตาเทศน์ ตอนนี้ท้องนาเริ่มมีหญ้าขึ้นเขียวขจี น้ำค้างเกาะตามใบหญ้าทำให้เวลาเดินขากางเกงเปียกไปหมด พวกเธอหกคนพี่น้องสวมกางเกงขายาวเสื้อแขนยาวทุกคน สวมหมวกคนละใบ พร้อมต่อการลุยทุ่งเป็นอย่างดี
พวกเธอเดินตามหลังกันไปตามคันนา ยายเป็นคนหาบไม้คานเดินนำหน้า เพราะรู้ทางว่าต้องเดินไปตามคันนาคันไหน พี่บอมปิดท้ายขบวน ตาพาวัวออกไปนาตั้งแต่เข้า วันนี้ครอบครัวของเธอจะไปกินข้าวเช้ากันที่นา เธอกับน้องบีมและพี่ ๆ พูดคุยพร้อมหัวเราะไปตามทาง ไปนาคราวใดไม่เคยเงียบเหงาทุกครา
เดินมาถึงนาตาเทศน์ ต้องข้ามฝายน้ำล้นไป พอข้ามฝายไปได้ก็เป็นเขตนาของเธอ ฝนตกเมื่อคืนทำให้ฝายมีน้ำล้นไหลทะลักฝาย เสียงน้ำล้นดังกระหึ่มน่ากลัวอยู่ในมโนความคิดของเธอ
ฝายของตาเทศน์เป็นฝายปูนกั้นน้ำเอาไว้ แผ่นปูนมีขนาดกว้างพอที่จะให้คนเดินข้ามไปอีกฝั่งได้ ทว่าไม่มีราวจับ ต้องใช้ความระมัดระวังของตนเองในการข้ามเป็นอย่างมาก เพราะมันไม่ใช่สะพาน แต่คนที่มีนาฝั่งเดียวกันกับเธอ ใช้ฝายกั้นน้ำเป็นสะพานแทน
“ไป… ข้ามไปก่อนยาย แนมไปไกล ๆ พุ่น แนมไปนาเฮาพุ่น อย่าแนมน้ำโตน มันสิวินเซตกน้ำ” ยายบอกกับทุกคนรวมทั้งเธอด้วย ขณะนั้นก็วางหาบตะกร้าไม้ไผ่ไว้ที่พื้น บอกให้พวกเธอข้ามไปก่อน ยายจะข้ามไปทีหลังสุด “บีมยายสิพาข้าม ให้อ้ายข้ามไปก่อน”
พี่บอมเป็นคนแรกที่เดินข้ามไป ดูเหมือนข้ามไปอย่างง่ายดาย ตามด้วยพี่บอลเดินข้ามไปคนที่สองอย่างสบาย ๆ เช่นกัน
“ยายบอสย่านตกฝาย” บอสไม่กล้า กลัวตกน้ำที่สุด ข้ามฝายตาเทศน์หน้าฝนทีไรบอสเป็นต้องขาสั่นใจสั่นทุกรอบ กลัวเสียงน้ำตกที่สุด
“บ่ต้องย่าน! ค่อย ๆ ย่างข้ามไป อย่าพากันย่างเร็ว ค่อย ๆ ย่าง” ยายให้กำลังใจ บอสมองหน้าพี่สาวทั้งสองคน พี่แป้งก็มีสีหน้ากังวลเหมือนตนเอง คงกลัวอยู่ภายในใจไม่ใช่น้อย
“มาเอื้อยพาข้าม” พี่ปาวกล่าว “ค่อย ๆ ย่างเอา”
“หื้อ! กูย่าน” พี่แป้งไม่กล้า
“บอสกะย่าน!” บอสเห็นด้วยกับพี่แป้ง ความจริงแผ่นปูนกว้างพอสมควร ทว่าเพราะมันไม่มีราวจับผสมกับเสียงน้ำที่ตกลงฝายเสียงดังน่ากลัว มันจึงดูน่ากลัวไปหมด พี่บอมกับพี่บอลยืนรออยู่อีกฝั่ง
“ข้ามไปแนเป็นหยังเดียวหนิ สะพานกว้างกะด้อมันบ่ตกหรอก” ยายพูดกึ่งบ่น เพราะนี่ก็เสียเวลาหลายนาทีแล้ว “สองอ้ายนั่นย่างขึ้นไปเถียงโลด บ่ต้องถ่ายาย ตาอยู่เถียงนั่นล่ะ” ยายตะโกนบอกพี่บอมกับพี่บอล แล้วพี่ชายทั้งสองคนก็ทำตามคำสั่ง เดินไปนาหาตาก่อนใคร ๆ
“มาเอื้อยจับมือย่าง” พี่ปาวแก้ปัญหา “มาแป้งมาจับมือกู บอสจับมือเอื้อยแป้ง” พี่แป้งเดินมาจับมือพี่ปาว ต่อด้วยบอสเดินไปจับมือพี่แป้ง บอสกุมมือพี่แป้งไว้ทั้งสองมือด้วยความกลัวตก เดินต่อเท้ากันไป ไม่กล้าก้าวยาว ๆ กลัวตก ทั้งบอสและพี่แป้งหน้ามองตก ไม่กล้าก้มมองสายน้ำไหลเลย
“นั่นล่ะ! ย่างต่อตีนไปนั่นล่ะ ขั้นย่านตกหลายกะหลาย” ยายบ่น มองพวกเธอสามคนเดินข้ามฝายไป สุดท้ายบอสกับพี่ ๆ ก็ข้ามฝายน้ำล้นมาได้ด้วยความกล้า ๆ กลัว ๆ “อย่าฟ้าวไปเด้อ ถ้าเอาน้องไปนำ” ยายร้องบอก หมายถึงให้รอรับน้องบีมก่อนค่อยเดินไปนาหาตา
“อย่าตีงเด้ออี่น้อย ๆ หนิกะดาย พาตกน้ำเด้” ยายเอ็ดน้องบีม จากนั้นก็อุ้มน้องบีมเดินข้ามฝายมาหาพวกเธอ ใช้เวลาไม่ถึงสามสิบวินาที เนื่องจากลำห้วยไม่ได้กว้างมาก “ไปฮั่นพาน้องย่างไปหาตาอยู่เถียง ยายสิกลับไปเอากะตาของ”
พี่ปาวพาพวกเธอเดินไปเถียงนาหาตากับพี่บอมพี่บอล มาถึงเห็นพี่ชายทั้งสองคนนั่งอยู่บนเถียงนา ส่วนตากำลังเดินสำรวจคันนาอยู่กลางทุ่ง พวกเธอพากันขึ้นเถียงไปนั่งพักเหนื่อยเช่นกัน มานาวันนี้ไม่ได้ทำอะไร เพียงเพราะฝนตกหนักเมื่อคืน ยายจึงอยากมาดูนาเท่านั้น ไม่นานยายก็เดินมาถึง
“ไปเอิ้นตามาหากินข้าวเช้าแมะ” ยายวางหาบตะกร้าไม้ไผ่ไว้ที่แคร่ใต้ถุนเถียงนา มาถึงก็ไม่นั่งพักเลย เดินสำรวจรอบ ๆ บริเวณเถียงนาไปเรื่อยในระหว่างที่รอหลานไปเรียกสามี
“อี่ตาย่างหาเบิ่งคันแทขาดอยู่กลางท่งพุ่น” พี่บอมบอกกับยาย
“เบิ่งน้องบีมสิไปเอิ้นอี่ตาให้” น้องบีมออกตัว จากนั้นก็เดินลงบันไดวิ่งไปตะโกนเรียกตา เสียงเล็ก ๆ ทว่าก็ทำให้ตาได้ยินได้ “ตา! อี่ตามากินข้าว ใหญ่เหลื่อมมากินข้าวแม้” น้องบีมยืนตะโกนเรียกตาอยู่อย่างนั้น จนกว่าตาจะขานรับถึงจะหยุดตะโกน
“เอ้อ ๆ เดี๋ยวไป!” ตาตะโกนตอบหลานสาวคนเล็ก แล้วน้องบีมก็วิ่งกลับมาหาพวกเธอที่เถียงนา
“พากันลงมาหาพาข้าวถ่าตา กินแล้วพาน้องเล่นอยู่เถียงเด้อ ยายกะสิเลาะเบิ่งนาก่อน” ยายนัดแนะ พี่ปาวลงมาจัดสำรับมื้อเช้ารอตาที่แคร่ใต้ถุนเถียงนา กับข้าวที่ยายนำมาวันนี้เป็นกับข้าวพื้นบ้าน ง่าย ๆ ทว่าอร่อยที่สุด
ตาเดินมายังเถียงนาพอดีกับพี่ปาวจัดสำรับเสร็จ “คันแทนาขาดทางลุ่มพุ่น น้ำโตนลงห้วยบักคัก” มาถึงตาก็รายงานยายเลย
“พาหลานไปปั้นถะแหมะกินข้าวแล้วหนิ” ยายตอบ ยายหมายถึงพี่บอมกับพี่บอล ตาเดินไปล้างมื้อ เช็ดมือด้วยผ้าขาวม้าที่มัดเอวอยู่ จากนั้นก็ถอดรองเท้าบูทเพื่อขึ้นมานั่งบนแคร่ทานข้าวมื้อเช้าด้วยกัน
“สิเอาข้าวปลูกลงแช่อยู่ เลี้ยงบ้านแล้วสิหว่านเลย น้ำเต็มไฮ่นาดีคัก” ตาคุยกับยายพร้อมทานข้าวไปด้วย ส่วนบอสกับพี่ ๆ ทานข้าวกับเงียบ ๆ ฟังตากับยายคุยกัน เลี้ยงบ้านที่ตาพูดถึง เรียกอีกชื่อว่า ‘เลี้ยงปู่ตา’ ส่วนมากคนในหมู่บ้านจะเรียก ‘เลี้ยงบ้าน’ หมายถึงการเสี่ยงทายฝนฟ้าของปีนี้ คล้าย ๆ การแรกนาขวัญ
“เอาลงกะเอาลงถะแม้! ไปบอกเด็กน้อยมาไถฮุดไว้ให้” ยายหมายถึงลูกชายอีกคนของยาย “เฮ็ดต้อนดักปลานำเด้อตา ฮาปลาลง! ซุปีลงหลายเด้นาเฮา” สองตายายคุยกัน หลาน ๆ อย่างพวกเธอนั่งฟังเงียบ ๆ น้องบีมยังต้องให้ยายป้อนข้าวอยู่ กินเองด้วยยายป้อนไปด้วย
“ตางัวเฮาอยู่ไส” บอสถามหาวัวของตาตามประสา
“ผูกไว้อยู่ลุ่มพุ่นแหล่ว พากันไปเกี่ยวหญ้าให้งัวแนกินข้าวแล้ว เกี่ยวนำคันแทนาหนิ” ตาตอบ แถมยังใช้ไปอีก
“หื้อ! เกี่ยวบ่เป็น” บอสปฏิเสธตาอย่างไร้เยื่อใย ขี้เกียจไม่อยากทำและทำไม่เป็นด้วย
“ขั้นขี้คร้านมีตะแนวเฮ็ดบ่เป็นล่ะสู” ตาเอ็ด พี่ปาวอมยิ้มให้เธอ แล้วเธอก็เงียบปากไปโดยปริยาย
พอกินข้าวเช้าเสร็จ ยายกับตาและพวกเธอก็แยกย้าย พี่บอมกับพี่บอลตามตาไปซ่อมคันนา ส่วนยายเดินถือเสียม คุถัง และ สวิงเดินไปกลางทุ่งนา ยายกำชับว่าไม่ให้พวกเธอตามไปด้วย พี่ปาวพี่ใหญ่เป็นคนรับหน้าที่ดูแลเธอน้องบีมกลับพี่แป้ง ให้อยู่ที่เถียงนา เล่นอยู่บริเวณเถียงนาพอ
พี่ปาวนอนเล่นบนเถียงนาคนเดียว บอสกับน้องบีมกับพี่แป้งลงมาเล่นที่ลานดิน ยายให้เล่นได้เต็มที่เลยในช่วงเช้า เพราะนำชุดมาเปลี่ยนอยู่แล้ว พวกเธอสามคนพี่น้องเล่นขายของกัน ดินยังชุ่มน้ำจากฝนตกเมื่อคืน ทำให้การเล่นขายของเป็นไปอย่างสนุกสนาน ถึงไม่ชุ่มน้ำก็ไม่เป็นปัญหา เพราะน้ำในตานาก็มีให้เล่น
น้องบีมนั่งเล่นโคลนตมอย่างไม่กลัวตัวเปื้อน เล่นทำกับข้าวกับพี่แป้ง น้องบีมกับพี่แป้งเล่นเป็นแม่ลูกกัน อยู่บ้านเดียวกัน มีการทำกับข้าวเหมือนที่เล่น ๆ กันมา ใช้หญ้าเป็นผัก ใช้ดินเป็นข้าว ส่วนเธอแยกบ้านออกมาต่างหาก เล่นเป็นเพื่อนบ้าน พูดคุยกันเป็นตุเป็นตะ เหมือนชีวิตจริง
“ฝนตกแล้วบอสจะไถนาปลูกข้าวเด้อบาดหนิ” บอสบอกกับเพื่อนบ้าน เพื่อนบ้านก็คือพี่แป้งเอง บอสจำมาจากที่เคยเห็นตากับยายทำนา บอสนำไม้มาขุด ๆ เป็นร่องตีเส้นเป็นกรอบสี่เหลี่ยม ทำเป็นตานา จากนั้นก็นำไม้มาขีดเป็นเส้นลึก ๆ สมมุติว่าไถนาเตรียมปลูกข้าว เดินไปตักน้ำในตานามาใส่ในนาสมมุติของตนเอง ต้นข้าวก็ใช้หญ้าต้นเล็ก ๆ มาปักแทน
พี่แป้งเห็นเธอทำพี่แป้งก็ทำตามบ้าง บอสทำนาไว้เพียงสามไร่ก็พอกินตลอดทั้งปี “บอสเฮ็ดนาจักไฮน่ะ เอื้อยสิเฮ็ดห้าไฮ อี่บีมมันกินหลาย”
“บอสเฮ็ดสามไฮพอ บอสกินผู้เดียว” บอสตอบ
“ลูกบีม! ลูกบีมไปดกต้นข้าวมา เอาต้นซำหนิพอ แม่จะปลูกข้าวให้กิน” พี่แป้งถอนต้นหญ้าเล็ก ๆ ให้น้องบีมดูเป็นตัวอย่าง เพื่อนำมาเป็นต้นข้าว “แล้วก็ไปตักน้ำใส่จอกมาใส่นา ห้ามไปตักในโอ่งนะ ไปตักในไฮ่นานู่น” พี่แป้งกำชับลูกสาวในเรื่องสมมุติ
น้องบีมทำตามที่พี่แป้งสั่ง เดินไปหาต้นหญ้าเล็ก ๆ มาให้ จากนั้นก็นำกะลามาพร้าวไปตักน้ำในตานาใกล้ ๆ มาให้พี่แป้ง ทว่าไปแล้วไม่ยอมกลับมา กลับไปนั่งแช่น้ำในตานาหน้าตาเฉย
“เบิ่งอี่บีม! กูใช้มันไปตักน้ำมา มันไปนั่งเล่นน้ำขี้ตมเฉย” พี่แป้งบ่นน้องบีมอย่างคนหัวเสีย ถึงจะหัวเสียแต่กลับมีรอยยิ้มปนเสียงหัวเราะอึกอัก ไม่ได้ดุอะไรปล่อยให้น้องบีมเล่นได้ตามสบาย บอสหันไปมองตามก็ขำตามไปด้วย
วันวาน 13
.
ตอนเด็ก ๆ ใครเคยเล่นเดินนางสาวไทยกันบ้าง วันวานจะพาย้อนกลับไปสมัยเด็ก ๆ เชื่อว่าทุก ๆ คนเฉพาะเด็กผู้หญิง เชื่อว่าทุกคนเคยผ่านการประกวดนางงามจักรวาลมาแน่นอน!!! ส่วนรันเวย์จะเป็นอะไรก็แล้วแต่สถานที่นั้น ๆ
ไม่ใช่แค่เล่นเดินนางสาวไทย มีการเล่นแบบเด็กต่างจังหวัดอื่น ๆ อีกมากมาย พอมองย้อนกลับไปมันมีคุณค่าทางจิตใจมากจริง ๆ ทุกวันนี้เลือนหายไปตามกาลเวลา อีกทั้งสังคมเจริญขึ้นด้วย การละเล่นของเด็ก ๆ ก็เปลี่ยนวิถีไป
ฉันเองก็เคยเล่น (หัวเราะ) นี่นึกย้อนกลับไปขำไปนะ เป็นอะไรที่เล่นบ่อยมาก ๆ กับพี่ ๆ แถมยังมีการแต่งตัวแต่งผมด้วย ทำกันเอาเองตามประสาเด็ก เชื่อว่าผู้หญิงทุกคนต้องเคยผ่านการเป็นนางงามจักรวาลมาแน่นอน
ไม่ได้ชวนให้จมอยู่กับอดีตใด ๆ จะเรียกมันว่าความสุข มันเป็นวันวานแห่งความสุข เราจะพูดว่าจมปลักก็ไม่ได้ ใช้คำว่านึกถึงแทน นึกถึงความสุขในวัยเด็ก เสี่ยวหนึ่งของชีวิตที่เคยผ่านมาว่า เรามีความสุขกับการใช้ชีวิตในช่วงนั้นแค่ไหน ส่วนปัจจุบันมันจะห่วยแตกแค่ไหนก็ตาม ลองนึกย้อนวันวานดูเล่น ๆ แล้วเราจะยิ้มได้
วันวานที่ไม่มีความสุข วันวานที่ไม่ดีอย่าไปนึกถึงมัน เราควรปล่อยให้มันตายและหายไปตามกาลเวลานั่นแหละถูกแล้ว แต่! วันวานที่ทำให้ยิ้มได้ ไม่ผิดที่จะนึกถึง
เรื่องมีอยู่ว่า…
เช้าวันนี้ยายพาพวกเธอหกคนพี่น้องไปนา เมื่อคืนฝนตกหนักมาก ยายจึงอยากมาดูนาว่าเสียหายมากน้อยแค่ไหน อีกอย่างจะได้เตรียมข้าวปลูกไว้ลงนาด้วย อีกไม่กี่วันก็จะเลี้ยงบ้านหรือปู่ตาแล้ว ฤดูทำนาได้เวียนมาถึงอีกครั้ง
ยายเตรียมห่อข้าวไปนาด้วย วันนี้จะไปนาทั้งวัน สี่โมงเย็นถึงจะพาพวกเธอกลับบ้าน พวกเธอไม่ขัด ยายพาไปนาก็ไป ไปเล่นที่นาก็สนุกไม่แพ้เล่นอยู่ที่บ้าน ยิ่งฝนตกหนักเมื่อคืนในนาต้องมีน้ำขังแน่นอน นั่นแหละสนามเด็กเล่นของพวกเธอ
“แต่งเอาเสื้อผ้าไปเปลี่ยนนำเด้อไผกะหลาย ” ยายไม่ลืมกำชับเรื่องนี้ด้วย เพราะคาดการณ์ไว้ว่าอาจจะต้องมีการเล่นน้ำกันเกิดขึ้น ยายเองก็ง่วนอยู่กับการเตรียมข้าวปลาอาหารใส่ตะกร้าไม้ไผ่ เตรียมคุถัง เสียม และ สวิงของยายพร้อม
“แต่งเอาของไผของมันเด้อ เอื้อยจะแต่งให้ตะน้องบีม” พี่ปาวออกตัวก่อน บอสไม่มีปัญหาใด ๆ เดินไปเลือกชุดของตนเองมาพับ ๆ ให้เรียบร้อย จากนั้นก็นำไปใส่ถุงย่ามกับพี่ปาว พี่แป้งและพี่บอมพี่บอลก็ด้วย
“ยายแล้ว ๆ” พี่ปาวร้องบอกยาย ทุกคนพร้อมออกเดินทางไปนามาก ๆ
“ปะ ๆ แล้ว ๆ กะมาไป สวยแล้วหนิ มื้อแลงจังมาเฮา” ยายตอบพร้อมล็อกประตูบ้านเสร็จสรรพ เตรียมหาบข้าวของที่เตรียมใส่ตะกร้าไม้ไผ่ หาบใส่ไม้คานเดินนำหน้าพวกเธอไปยังชายทุ่ง
แปดโมงเช้ายายพาเดินลัดทุ่งผ่านนายายเรืองและนาพ่อคมไป จากนั้นเดินไปข้ามสะพานที่ฝายน้ำล้นที่นาตาเทศน์ ตอนนี้ท้องนาเริ่มมีหญ้าขึ้นเขียวขจี น้ำค้างเกาะตามใบหญ้าทำให้เวลาเดินขากางเกงเปียกไปหมด พวกเธอหกคนพี่น้องสวมกางเกงขายาวเสื้อแขนยาวทุกคน สวมหมวกคนละใบ พร้อมต่อการลุยทุ่งเป็นอย่างดี
พวกเธอเดินตามหลังกันไปตามคันนา ยายเป็นคนหาบไม้คานเดินนำหน้า เพราะรู้ทางว่าต้องเดินไปตามคันนาคันไหน พี่บอมปิดท้ายขบวน ตาพาวัวออกไปนาตั้งแต่เข้า วันนี้ครอบครัวของเธอจะไปกินข้าวเช้ากันที่นา เธอกับน้องบีมและพี่ ๆ พูดคุยพร้อมหัวเราะไปตามทาง ไปนาคราวใดไม่เคยเงียบเหงาทุกครา
เดินมาถึงนาตาเทศน์ ต้องข้ามฝายน้ำล้นไป พอข้ามฝายไปได้ก็เป็นเขตนาของเธอ ฝนตกเมื่อคืนทำให้ฝายมีน้ำล้นไหลทะลักฝาย เสียงน้ำล้นดังกระหึ่มน่ากลัวอยู่ในมโนความคิดของเธอ
ฝายของตาเทศน์เป็นฝายปูนกั้นน้ำเอาไว้ แผ่นปูนมีขนาดกว้างพอที่จะให้คนเดินข้ามไปอีกฝั่งได้ ทว่าไม่มีราวจับ ต้องใช้ความระมัดระวังของตนเองในการข้ามเป็นอย่างมาก เพราะมันไม่ใช่สะพาน แต่คนที่มีนาฝั่งเดียวกันกับเธอ ใช้ฝายกั้นน้ำเป็นสะพานแทน
“ไป… ข้ามไปก่อนยาย แนมไปไกล ๆ พุ่น แนมไปนาเฮาพุ่น อย่าแนมน้ำโตน มันสิวินเซตกน้ำ” ยายบอกกับทุกคนรวมทั้งเธอด้วย ขณะนั้นก็วางหาบตะกร้าไม้ไผ่ไว้ที่พื้น บอกให้พวกเธอข้ามไปก่อน ยายจะข้ามไปทีหลังสุด “บีมยายสิพาข้าม ให้อ้ายข้ามไปก่อน”
พี่บอมเป็นคนแรกที่เดินข้ามไป ดูเหมือนข้ามไปอย่างง่ายดาย ตามด้วยพี่บอลเดินข้ามไปคนที่สองอย่างสบาย ๆ เช่นกัน
“ยายบอสย่านตกฝาย” บอสไม่กล้า กลัวตกน้ำที่สุด ข้ามฝายตาเทศน์หน้าฝนทีไรบอสเป็นต้องขาสั่นใจสั่นทุกรอบ กลัวเสียงน้ำตกที่สุด
“บ่ต้องย่าน! ค่อย ๆ ย่างข้ามไป อย่าพากันย่างเร็ว ค่อย ๆ ย่าง” ยายให้กำลังใจ บอสมองหน้าพี่สาวทั้งสองคน พี่แป้งก็มีสีหน้ากังวลเหมือนตนเอง คงกลัวอยู่ภายในใจไม่ใช่น้อย
“มาเอื้อยพาข้าม” พี่ปาวกล่าว “ค่อย ๆ ย่างเอา”
“หื้อ! กูย่าน” พี่แป้งไม่กล้า
“บอสกะย่าน!” บอสเห็นด้วยกับพี่แป้ง ความจริงแผ่นปูนกว้างพอสมควร ทว่าเพราะมันไม่มีราวจับผสมกับเสียงน้ำที่ตกลงฝายเสียงดังน่ากลัว มันจึงดูน่ากลัวไปหมด พี่บอมกับพี่บอลยืนรออยู่อีกฝั่ง
“ข้ามไปแนเป็นหยังเดียวหนิ สะพานกว้างกะด้อมันบ่ตกหรอก” ยายพูดกึ่งบ่น เพราะนี่ก็เสียเวลาหลายนาทีแล้ว “สองอ้ายนั่นย่างขึ้นไปเถียงโลด บ่ต้องถ่ายาย ตาอยู่เถียงนั่นล่ะ” ยายตะโกนบอกพี่บอมกับพี่บอล แล้วพี่ชายทั้งสองคนก็ทำตามคำสั่ง เดินไปนาหาตาก่อนใคร ๆ
“มาเอื้อยจับมือย่าง” พี่ปาวแก้ปัญหา “มาแป้งมาจับมือกู บอสจับมือเอื้อยแป้ง” พี่แป้งเดินมาจับมือพี่ปาว ต่อด้วยบอสเดินไปจับมือพี่แป้ง บอสกุมมือพี่แป้งไว้ทั้งสองมือด้วยความกลัวตก เดินต่อเท้ากันไป ไม่กล้าก้าวยาว ๆ กลัวตก ทั้งบอสและพี่แป้งหน้ามองตก ไม่กล้าก้มมองสายน้ำไหลเลย
“นั่นล่ะ! ย่างต่อตีนไปนั่นล่ะ ขั้นย่านตกหลายกะหลาย” ยายบ่น มองพวกเธอสามคนเดินข้ามฝายไป สุดท้ายบอสกับพี่ ๆ ก็ข้ามฝายน้ำล้นมาได้ด้วยความกล้า ๆ กลัว ๆ “อย่าฟ้าวไปเด้อ ถ้าเอาน้องไปนำ” ยายร้องบอก หมายถึงให้รอรับน้องบีมก่อนค่อยเดินไปนาหาตา
“อย่าตีงเด้ออี่น้อย ๆ หนิกะดาย พาตกน้ำเด้” ยายเอ็ดน้องบีม จากนั้นก็อุ้มน้องบีมเดินข้ามฝายมาหาพวกเธอ ใช้เวลาไม่ถึงสามสิบวินาที เนื่องจากลำห้วยไม่ได้กว้างมาก “ไปฮั่นพาน้องย่างไปหาตาอยู่เถียง ยายสิกลับไปเอากะตาของ”
พี่ปาวพาพวกเธอเดินไปเถียงนาหาตากับพี่บอมพี่บอล มาถึงเห็นพี่ชายทั้งสองคนนั่งอยู่บนเถียงนา ส่วนตากำลังเดินสำรวจคันนาอยู่กลางทุ่ง พวกเธอพากันขึ้นเถียงไปนั่งพักเหนื่อยเช่นกัน มานาวันนี้ไม่ได้ทำอะไร เพียงเพราะฝนตกหนักเมื่อคืน ยายจึงอยากมาดูนาเท่านั้น ไม่นานยายก็เดินมาถึง
“ไปเอิ้นตามาหากินข้าวเช้าแมะ” ยายวางหาบตะกร้าไม้ไผ่ไว้ที่แคร่ใต้ถุนเถียงนา มาถึงก็ไม่นั่งพักเลย เดินสำรวจรอบ ๆ บริเวณเถียงนาไปเรื่อยในระหว่างที่รอหลานไปเรียกสามี
“อี่ตาย่างหาเบิ่งคันแทขาดอยู่กลางท่งพุ่น” พี่บอมบอกกับยาย
“เบิ่งน้องบีมสิไปเอิ้นอี่ตาให้” น้องบีมออกตัว จากนั้นก็เดินลงบันไดวิ่งไปตะโกนเรียกตา เสียงเล็ก ๆ ทว่าก็ทำให้ตาได้ยินได้ “ตา! อี่ตามากินข้าว ใหญ่เหลื่อมมากินข้าวแม้” น้องบีมยืนตะโกนเรียกตาอยู่อย่างนั้น จนกว่าตาจะขานรับถึงจะหยุดตะโกน
“เอ้อ ๆ เดี๋ยวไป!” ตาตะโกนตอบหลานสาวคนเล็ก แล้วน้องบีมก็วิ่งกลับมาหาพวกเธอที่เถียงนา
“พากันลงมาหาพาข้าวถ่าตา กินแล้วพาน้องเล่นอยู่เถียงเด้อ ยายกะสิเลาะเบิ่งนาก่อน” ยายนัดแนะ พี่ปาวลงมาจัดสำรับมื้อเช้ารอตาที่แคร่ใต้ถุนเถียงนา กับข้าวที่ยายนำมาวันนี้เป็นกับข้าวพื้นบ้าน ง่าย ๆ ทว่าอร่อยที่สุด
ตาเดินมายังเถียงนาพอดีกับพี่ปาวจัดสำรับเสร็จ “คันแทนาขาดทางลุ่มพุ่น น้ำโตนลงห้วยบักคัก” มาถึงตาก็รายงานยายเลย
“พาหลานไปปั้นถะแหมะกินข้าวแล้วหนิ” ยายตอบ ยายหมายถึงพี่บอมกับพี่บอล ตาเดินไปล้างมื้อ เช็ดมือด้วยผ้าขาวม้าที่มัดเอวอยู่ จากนั้นก็ถอดรองเท้าบูทเพื่อขึ้นมานั่งบนแคร่ทานข้าวมื้อเช้าด้วยกัน
“สิเอาข้าวปลูกลงแช่อยู่ เลี้ยงบ้านแล้วสิหว่านเลย น้ำเต็มไฮ่นาดีคัก” ตาคุยกับยายพร้อมทานข้าวไปด้วย ส่วนบอสกับพี่ ๆ ทานข้าวกับเงียบ ๆ ฟังตากับยายคุยกัน เลี้ยงบ้านที่ตาพูดถึง เรียกอีกชื่อว่า ‘เลี้ยงปู่ตา’ ส่วนมากคนในหมู่บ้านจะเรียก ‘เลี้ยงบ้าน’ หมายถึงการเสี่ยงทายฝนฟ้าของปีนี้ คล้าย ๆ การแรกนาขวัญ
“เอาลงกะเอาลงถะแม้! ไปบอกเด็กน้อยมาไถฮุดไว้ให้” ยายหมายถึงลูกชายอีกคนของยาย “เฮ็ดต้อนดักปลานำเด้อตา ฮาปลาลง! ซุปีลงหลายเด้นาเฮา” สองตายายคุยกัน หลาน ๆ อย่างพวกเธอนั่งฟังเงียบ ๆ น้องบีมยังต้องให้ยายป้อนข้าวอยู่ กินเองด้วยยายป้อนไปด้วย
“ตางัวเฮาอยู่ไส” บอสถามหาวัวของตาตามประสา
“ผูกไว้อยู่ลุ่มพุ่นแหล่ว พากันไปเกี่ยวหญ้าให้งัวแนกินข้าวแล้ว เกี่ยวนำคันแทนาหนิ” ตาตอบ แถมยังใช้ไปอีก
“หื้อ! เกี่ยวบ่เป็น” บอสปฏิเสธตาอย่างไร้เยื่อใย ขี้เกียจไม่อยากทำและทำไม่เป็นด้วย
“ขั้นขี้คร้านมีตะแนวเฮ็ดบ่เป็นล่ะสู” ตาเอ็ด พี่ปาวอมยิ้มให้เธอ แล้วเธอก็เงียบปากไปโดยปริยาย
พอกินข้าวเช้าเสร็จ ยายกับตาและพวกเธอก็แยกย้าย พี่บอมกับพี่บอลตามตาไปซ่อมคันนา ส่วนยายเดินถือเสียม คุถัง และ สวิงเดินไปกลางทุ่งนา ยายกำชับว่าไม่ให้พวกเธอตามไปด้วย พี่ปาวพี่ใหญ่เป็นคนรับหน้าที่ดูแลเธอน้องบีมกลับพี่แป้ง ให้อยู่ที่เถียงนา เล่นอยู่บริเวณเถียงนาพอ
พี่ปาวนอนเล่นบนเถียงนาคนเดียว บอสกับน้องบีมกับพี่แป้งลงมาเล่นที่ลานดิน ยายให้เล่นได้เต็มที่เลยในช่วงเช้า เพราะนำชุดมาเปลี่ยนอยู่แล้ว พวกเธอสามคนพี่น้องเล่นขายของกัน ดินยังชุ่มน้ำจากฝนตกเมื่อคืน ทำให้การเล่นขายของเป็นไปอย่างสนุกสนาน ถึงไม่ชุ่มน้ำก็ไม่เป็นปัญหา เพราะน้ำในตานาก็มีให้เล่น
น้องบีมนั่งเล่นโคลนตมอย่างไม่กลัวตัวเปื้อน เล่นทำกับข้าวกับพี่แป้ง น้องบีมกับพี่แป้งเล่นเป็นแม่ลูกกัน อยู่บ้านเดียวกัน มีการทำกับข้าวเหมือนที่เล่น ๆ กันมา ใช้หญ้าเป็นผัก ใช้ดินเป็นข้าว ส่วนเธอแยกบ้านออกมาต่างหาก เล่นเป็นเพื่อนบ้าน พูดคุยกันเป็นตุเป็นตะ เหมือนชีวิตจริง
“ฝนตกแล้วบอสจะไถนาปลูกข้าวเด้อบาดหนิ” บอสบอกกับเพื่อนบ้าน เพื่อนบ้านก็คือพี่แป้งเอง บอสจำมาจากที่เคยเห็นตากับยายทำนา บอสนำไม้มาขุด ๆ เป็นร่องตีเส้นเป็นกรอบสี่เหลี่ยม ทำเป็นตานา จากนั้นก็นำไม้มาขีดเป็นเส้นลึก ๆ สมมุติว่าไถนาเตรียมปลูกข้าว เดินไปตักน้ำในตานามาใส่ในนาสมมุติของตนเอง ต้นข้าวก็ใช้หญ้าต้นเล็ก ๆ มาปักแทน
พี่แป้งเห็นเธอทำพี่แป้งก็ทำตามบ้าง บอสทำนาไว้เพียงสามไร่ก็พอกินตลอดทั้งปี “บอสเฮ็ดนาจักไฮน่ะ เอื้อยสิเฮ็ดห้าไฮ อี่บีมมันกินหลาย”
“บอสเฮ็ดสามไฮพอ บอสกินผู้เดียว” บอสตอบ
“ลูกบีม! ลูกบีมไปดกต้นข้าวมา เอาต้นซำหนิพอ แม่จะปลูกข้าวให้กิน” พี่แป้งถอนต้นหญ้าเล็ก ๆ ให้น้องบีมดูเป็นตัวอย่าง เพื่อนำมาเป็นต้นข้าว “แล้วก็ไปตักน้ำใส่จอกมาใส่นา ห้ามไปตักในโอ่งนะ ไปตักในไฮ่นานู่น” พี่แป้งกำชับลูกสาวในเรื่องสมมุติ
น้องบีมทำตามที่พี่แป้งสั่ง เดินไปหาต้นหญ้าเล็ก ๆ มาให้ จากนั้นก็นำกะลามาพร้าวไปตักน้ำในตานาใกล้ ๆ มาให้พี่แป้ง ทว่าไปแล้วไม่ยอมกลับมา กลับไปนั่งแช่น้ำในตานาหน้าตาเฉย
“เบิ่งอี่บีม! กูใช้มันไปตักน้ำมา มันไปนั่งเล่นน้ำขี้ตมเฉย” พี่แป้งบ่นน้องบีมอย่างคนหัวเสีย ถึงจะหัวเสียแต่กลับมีรอยยิ้มปนเสียงหัวเราะอึกอัก ไม่ได้ดุอะไรปล่อยให้น้องบีมเล่นได้ตามสบาย บอสหันไปมองตามก็ขำตามไปด้วย