วิญญาณนักรบโบราณ
ล. วิลิศมาหรา
หนุ่มกรุงเก่าเหลียวไปมองรอบข้างอย่างงง ๆ เขาสะดุ้ง เมื่อพบม้าตัวหนึ่งมายืนอยู่ข้างตัวเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงโห่ร้องและเสียงฝีเท้าของคนจำนวนมากดังมาไกล ๆ ชายฉกรรจ์ทุกคนต่างพากันตื่นตัว หันไปทางเสียงอย่างพร้อมเพรียงกัน กระชับอาวุธในมือไว้มั่น ชายคนเดิมหันมาบอกกับผู้ชายคนหนึ่งว่า
“ข้ากับพวกจะกันมันไว้ ไอ้ยอด เอ็งรีบพาไอ้กล้าขึ้นม้าไปแจ้งเหตุ หากข้าศึกมันผ่านด่านเราไปได้อีก หมู่บ้านเราคงลำบาก ข้ากับพวกข้าทุกคนขอพลีชีพอยู่ที่นี่ ดึงเวลามันไว้ ให้พวกเอ็งไปถึงในเมืองหลวงให้ได้เสียก่อน”
ขณะนั้นในความรู้สึกของหมอกนึกเป็นห่วงผู้ชายกลุ่มนี้ และไม่อยากจะหนีไปไหน ความรู้สึกบอกว่าอยากจะต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับพวกเขาอยู่ที่นี่
“ผมจะไปได้ยังไง แล้วพวกท่านล่ะ”
“เอ็งต่อสู้ไม่เก่ง เห็นแก่พวกข้าสักครั้ง จะต้องมีคนรอดชีวิตไปจากที่นี่ เร่งม้าทั้งคืนทั้งวันเอ็งไปทันแน่ อย่าให้พวกข้าที่นี่ต้องตายเปล่า รีบไปเร็วเข้า อย่าช้า...พวกมันมากันแล้ว”
แล้วกลุ่มชายพวกนั้นก็กระจายตัวซุ่มอยู่ตามพุ่มไม้ ผู้ชายด้านข้างดึงแขนหมอกให้ขึ้นหลังม้า
และก่อนที่หมอกกับคนชื่อยอดจะชักม้าหันหัวไป ชายคนสวมเสื้อกั๊กก็ยกมือโบกทำสัญญาณ พวกชาวบ้านซึ่งซุ่มอยู่ก็ระดมยิงหน้าไม้เข้าใส่ในเงามืดข้างหน้า แทบจะในวินาทีเดียวกัน ม้าของหมอกก็โผนทะยานหนีห่างออกจากที่ตรงนั้นไปทันควัน
ขณะควบม้าหนีห่างออกมา หูของหมอกได้ยินเสียงโลหะกระทบกันดังเคร้งคร้าง เสียงปืนลั่นดังปัง เสียงลูกธนูยิงแหวกอากาศไล่หลังมา เขากัดฟันแน่น หวดแส้ลงสะโพกม้าดังขวับ ๆ ควบตะบึงไปให้ถึงจุดหมาย ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าคือที่ไหน
แม้ม้าจะวิ่งมาไกล แต่ในหูของหมอกยังคงได้ยินเสียงโลหะปะทะกัน เสียงร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดดังระงม ผสมกับเสียงคนขู่คำรามดังเป็นระยะ ความรู้สึกของหมอกตอนนั้นเกิดปวดร้าวไปกับพวกเขาจนน้ำตาไหล ขี่ม้าพลางร้องไห้ไปพลาง ภาพเบื้องหน้าพร่าเลือนลง แล้วในที่สุดเขาก็รู้สึกตัวว่ามายืนอยู่ที่หน้าเต้นท์ตามเดิม
กล้าจะสามารถนำข่าวข้าศึกกำลังบุกเข้าโจมตีหมู่บ้านของตนไปแจ้งแก่เมืองหลวงได้ทันเวลาหรือไม่ และขะตากรรมชายผู้รักถิ่นฐานบ้านเกิดของตัวเองกลุ่มนั้นจะเป็นอย่างไรต่อไป ติดตามได้ที่ลิ้งค์นี้ค่ะ
https://youtu.be/DNDdMFoBnz4
วิญญาณนักรบโบราณ
ขณะนั้นในความรู้สึกของหมอกนึกเป็นห่วงผู้ชายกลุ่มนี้ และไม่อยากจะหนีไปไหน ความรู้สึกบอกว่าอยากจะต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับพวกเขาอยู่ที่นี่
“ผมจะไปได้ยังไง แล้วพวกท่านล่ะ”
“เอ็งต่อสู้ไม่เก่ง เห็นแก่พวกข้าสักครั้ง จะต้องมีคนรอดชีวิตไปจากที่นี่ เร่งม้าทั้งคืนทั้งวันเอ็งไปทันแน่ อย่าให้พวกข้าที่นี่ต้องตายเปล่า รีบไปเร็วเข้า อย่าช้า...พวกมันมากันแล้ว”
แล้วกลุ่มชายพวกนั้นก็กระจายตัวซุ่มอยู่ตามพุ่มไม้ ผู้ชายด้านข้างดึงแขนหมอกให้ขึ้นหลังม้า
และก่อนที่หมอกกับคนชื่อยอดจะชักม้าหันหัวไป ชายคนสวมเสื้อกั๊กก็ยกมือโบกทำสัญญาณ พวกชาวบ้านซึ่งซุ่มอยู่ก็ระดมยิงหน้าไม้เข้าใส่ในเงามืดข้างหน้า แทบจะในวินาทีเดียวกัน ม้าของหมอกก็โผนทะยานหนีห่างออกจากที่ตรงนั้นไปทันควัน
ขณะควบม้าหนีห่างออกมา หูของหมอกได้ยินเสียงโลหะกระทบกันดังเคร้งคร้าง เสียงปืนลั่นดังปัง เสียงลูกธนูยิงแหวกอากาศไล่หลังมา เขากัดฟันแน่น หวดแส้ลงสะโพกม้าดังขวับ ๆ ควบตะบึงไปให้ถึงจุดหมาย ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าคือที่ไหน
แม้ม้าจะวิ่งมาไกล แต่ในหูของหมอกยังคงได้ยินเสียงโลหะปะทะกัน เสียงร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดดังระงม ผสมกับเสียงคนขู่คำรามดังเป็นระยะ ความรู้สึกของหมอกตอนนั้นเกิดปวดร้าวไปกับพวกเขาจนน้ำตาไหล ขี่ม้าพลางร้องไห้ไปพลาง ภาพเบื้องหน้าพร่าเลือนลง แล้วในที่สุดเขาก็รู้สึกตัวว่ามายืนอยู่ที่หน้าเต้นท์ตามเดิม