ชาวบ้านส่งเสียงถึงรัฐบาล เร่งแก้ของแพง ราคาขึ้นเท่าตัว หมู-ไข่-ผัก พุ่งไม่หยุด
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7013631
ชาวบ้านส่งเสียงถึงรัฐบาล เร่งแก้ปัญหาของแพง ราคาขึ้นเท่าตัว หมู-ไข่-ผัก พุ่งไม่หยุด วอนแก้ที่ต้นตอ ไม่ใช่แค่ขอความร่วมมือพ่อค้า-แม่ค้า
วันที่ 24 เม.ย.65 ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่สำรวจราคาสินค้าภายในตลาดเขตเทศบาลนครนครราชสีมา พบว่า สินค้าอุปโภค-บริโภค ส่วนใหญ่ปรับราคาสูงขึ้น โดยเฉพาะ เนื้อหมู และไข่ไก่ โดยราคาเนื้อหมูที่ขายหน้าแผงอยู่ที่ กิโลกรัมละ 200 บาท สันคอ กิโลกรัมละ 220 หมูสามชั้น กิโลกรัมละ 220 บาท และคอหมูมีราคาสูงถึง กิโลกรัมละ 320-350 บาท ซึ่งอาจจะมีการปรับราคาสูงขึ้นอีกหลังจากวันพระ
นอกจากนี้ราคาของไข่ไก่ภายในตลาดพบว่ามีการปรับราคาขึ้นด้วยเช่นกัน โดยไข่ไก่เบอร์ศูนย์ แผงละ 130 บาท เบอร์ 1 แผงละ 120 บาท เบอร์ 2 แผงละ 117 บาท ซึ่งราคาของไข่ไก่มีการปรับขึ้นเฉลี่ย 6-7 บาท ต่อแผง
นาง
กัญญารัตน์ ลิ้มไกรวัฒนา แม่ค้า บอกว่า ตอนนี้เนื้อหมูมีการปรับราคาเพิ่มขึ้นมากโดยมีการปรับราคาเพิ่มขึ้นทุกหลังวันพระโดยมีการปรับราคาเพิ่มขึ้นมาแล้ว 5 วันพระ ขึ้นครั้ง ละ 5-6 บาท ซึ่งในวันพรุ่งนี้ราคาของเนื้อหมูน่าจะมีการปรับราคาเพิ่มสูงขึ้นอีก
สำหรับราคาหมูที่มีราคาสูงขึ้นนั้นตนเองก็ไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดเหมือนกันต้องไปถามที่ต้นทางคือที่ฟาร์มเลี้ยงหมูเพราะทางตนก็รับมาจากเถ้าแก่ที่รับมาจากฟาร์มอีกที แต่ตนคิดว่าอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ราคาของหมูมีราคาเพิ่มสูงขึ้นก็คือปัญหาของราคาน้ำมันที่มีผลต่อต้นทุนที่ทำให้ราคาสินค้าทุกอย่างมีราคาสูงขึ้น ซึ่งตนอยากให้รัฐบาลมาช่วยตรึงราคาหมูให้อีกสักรอบนึงซึ่งก็อยากจะรู้ว่ารัฐบาลจะทำให้ไหม
ด้าน นาย
เสมอ จินดาพงษ์ ชาวบ้านอำเภอเมืองนครราชสีมา บอกว่า ตอนนี้ราคาสินค้าภายในตลาดมีราคาแพงมากแพงมหาวินาศเลย แพงทุกอย่าง หมู เนื้อ เป็ด ไก่ แม้แต่ผักก็ยังแพงจากเคยซื้อกำละ 5 บาท ก็ขึ้นมาเป็น 10 บาท ซึ่งแพงเป็นเท่าตัว
ตนอยากให้รัฐบาลทำให้ช่วยแก้ไขทำให้ราคาสินค้าถูกลง ไม่ใช่ออกมาพูดแต่ขอความร่วมมือไม่มีแม่ค้า พ่อค้าที่ไหนจะให้ความร่วมมือในเมื่อทางแม่ค้า พ่อค้า ก็รับสินค้ามาขายในราคาที่สูงอยู่แล้ว ซึ่งต้องไปดูที่ต้นตอของปัญหาแล้วไปแก้ไขให้ถูกต้อง
พฐ. เก็บหลักฐานรัง ปริญญ์ บนตึกหรู ถ.วิทยา หลังมี 3 เหยื่อ ถูกล่วงละเมิดที่นี่
https://www.nationtv.tv/news/378870926
ตำรวจพิสูจน์หลักฐาน เข้าเก็บหลักฐานห้องพัก สนง. ปริญญ์ บนอาคารหรู ถ.วิทยุ หลังมีเหยื่อ 3 รายยืนยันถูกล่วงละเมิดบนอาคารดังกล่าว
เข้าสู่สัปดาห์ที่ 3 แล้ว สำหรับอีกคดีที่สังคมให้การจับตา กรณีที่ สำหรับ นาย
ปริญญ์ พานิชภักดิ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ถูกพนักงานสอบสวนแจ้ง 3 ข้อหา คือ กระทำอนาจาร 2 ข้อหา และ ข่มขืนกระทำชำเรา 1 ข้อหา หลังจากที่
ทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ได้ออกมาเปิดเผยเรื่องราวของอดีตรองหัวหน้าพรรคการเมืองใหญ่ ที่มีพฤติกรรมคุกคามทางเพศเหยื่อหลายราย และบางรายถึงขั้นข่มขืนกระทำชำเรา โดยล่าสุดมีผู้เสียหายเข้าแจ้งความแล้ว 15 ราย
ล่าสุดวันนี้ (24 เม.ย.) เมื่อเวลา 10.00 น. มีรายงานว่า พล.ต.ต.
ไตรรงค์ ผิวพรรณ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ กองพิสูจน์หลักฐานกลาง (พฐก.) ได้นำเจ้าหน้าที่เข้าเก็บพยานหลักฐาน ภายในห้องสำนักงานของ นาย
ปริญญ์ ที่อาคาร เอ็มไทย ทาวเวอร์ ตั้งอยูบนถนนวิทยุ ซึ่งเป็นอาคารสำนักงานแลที่พักอาศัย มีความสูง 27 ชั้น หลังจากที่ผู้เสียหาย 3 ราย ได้เข้าแจ้งความไว้ว่า ถูกละเมิดทางเพศที่สำนักงานบนอาคารดังกล่าว
ขณะที่ในส่วนการดำเนินคดีนั้น ล่าสุดมีผู้เสียหายเข้าแจ้งความแล้ว 15 ราย และได้เกิดดราม่าขึ้น โดยก่อนหน้านี้
ทนายตั้ม ยืนยัน 15 เหยื่อนาย
ปริญญ์ทุกรายเดินหน้าแจ้งความ แต่ก็มีความพยายามแทรกแซงคดี ซึ่งวานนี้ (23 เม.ย.)
ทนายตั้ม ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวระบุว่า
“ถ้าใครมาขอให้ผมช่วยทำคดีอะไร แล้วผมขออนุญาตนำลงเรื่องเพจแล้วเป็นคดีดังขึ้นมา อยู่ดีๆมาขอให้ลบ หรือดัดแปลงข้อมูลเพื่อเอาตัวรอด ผมไม่ทำให้นะครับ เพจผมเน้นเรื่องจริง และขออนุญาตก่อนเผยแพร่เสมอ จะอยู่ดีๆมากลัว มาขอลบ บอกเลยผมไม่ทำให้ ตัวผมเองก็เสี่ยงเปิดหน้าสู้ มีเครดิต มีความน่าเชื่อถือต้องรักษา ถ้าใจไม่สู้จริง อย่ามาขอความช่วยเหลือจากผม” (
อ่านข่าว)
ธนาธร ชี้ปลดล็อกท้องถิ่น แก้จน ลดเหลื่อมล้ำ พลิกวิกฤตประเทศ
https://www.matichon.co.th/politics/news_3305806
ธนาธร ชี้ปลดล็อกท้องถิ่น แก้จน ลดเหลื่อมล้ำ พลิกวิกฤตประเทศ
นาย
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ปราศรัยเวที
“ขอคนละชื่อปลดล็อกท้องถิ่น” ที่ประตูท่าแพ เชียงใหม่ ปลุกท้องถิ่นทวงคืนอำนาจและงบประมาณที่ถูกดึงไปรวมศูนย์ที่ส่วนกลางมากว่า 130 ปี แก้วิกฤตใหญ่ของชาติทั้งความเหลื่อมล้ำ เศรษฐกิจ และการเมืองได้
โดยนาย
ธนาธร ระบุว่า โครงการที่คณะก้าวหน้าและผู้นำท้องถิ่นหลายส่วนร่วมรณรงค์อยู่นี้ มีการเปิดตัวเมื่อวันที่ 1 เม.ย. ที่ผ่านมา หรือในวันครบรอบ 130 ปีของการปฏิรูปการปกครองแผ่นดินครั้งใหญ่ในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อปี 2435
เพียงสิบปีหลังการปฏิรูปในครั้งนั้น เกิดกบฏขึ้นทั่วประเทศ ไม่ว่ากบฏเงี้ยวเมืองแพร่ กบฏผีบุญอีสาน กบฏ 7 หัวเมืองแขก ซึ่งล้วนมีเหตุผลมาจากสามเรื่องหลัก คือ 1) การแย่งชิงทรัพยากร 2) อำนาจในการจัดการตนเอง และ 3) ภาษี ที่ถูกดึงไปอยู่ที่รัฐส่วนกลาง
“ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่การก่อกบฏต่อต้านการรวมศูนย์เกิดขี้นกลางทศวรรษที่ 2440 ในเกือบทุกที่ เมื่อคนท้องถิ่นทั่วประเทศลุกฮือ นี่คือประวัติศาสตร์ที่ไม่มีในแบบเรียนกระแสหลัก โจทย์เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมด คืออำนาจ ทรัพยากร และภาษีเป็นของใคร นี่ยังคงเป็นโจทย์ใหญ่ที่ดำรงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ การเคลื่อนไหวต่อมาทั้งโดยพรรคคอมมิวนิสต์ มาจนถึงการเคลื่อนไหวโดยองค์กรภาคประชาชนอย่างสมัชชาเกษตรกรรายย่อยภาคอีสาน สมัชชาคนจน มาเป็นพีมูฟในปัจจุบัน ล้วนเป็นกระแสธารการต่อสู้เรียกร้องในเรื่องเดียวกัน” นาย
ธนาธรกล่าว
นาย
ธนาธร กล่าวว่า ยกตัวอย่างโรงไฟฟ้าแม่เมาะ ลำปาง ที่สร้างไฟฟ้าหล่อเลี้ยงเมืองหลวง แต่คนพื้นที่ไม่ได้ดอกผลจากการพัฒนา ได้รับแต่มลพิษจากโรงไฟฟ้าและผลกระทบต่างๆ เขื่อนปากมูลที่ส่งไฟฟ้าหล่อเลี้ยงเมืองหลวง เหมืองตะกั่วคลิตี้ ที่คนออกประทานบัตรตคือรัฐส่วนกลาง คนพื้นที่ไม่ได้เห็นชอบด้วย แม้จะปิดไปแล้วแต่มลพิษยังคงตกค้างอยู่กำจัดไม่หมดจนถึงทุกวันนี้ นี่คือความจริงที่น่าเศร้าของประเทศไทย
นี่คือเรื่องของปัญหาการเมือง เศรษฐกิจ ความเหลื่อมล้ำ ทุกวันนี้หลายพื้นที่ยังมีน้ำประปาที่มีสีขุ่น ถนนหนทางเป็นลูกรัง ไม่มีไฟฟ้าใช้ ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ นี่คือประเทศไทยในศตวรรษที่ 21 ไม่ใช่เราไม่มีความรู้และเทคโนโลยี แต่เป็นเพราะประชาชนไม่มีทั้งอำนาจและงบประมาณในมือของตัวเอง ทุกวันนี้ส่วนกลางโยนภารกิจมาให้ท้องถิ่นจัดการ แต่ไม่ให้งบประมาณมาด้วย กฎหมายหลายฉบับซ้อนกันเอง ต้องวิ่งหาหน่วยงานส่วนกลาง ท้องถิ่นไม่มีอำนาจจัดการเองได้
“เขาบอกว่าคนต่างจังหวัดโง่จึงจน เขาบอกว่าที่จนเป็นเพราะชาติที่แล้วทำบุญมาไม่พอ ผมปฏิเสธที่จะเชื่ออยางนั้น สิ่งที่ผมเชื่อคือความจน ความเหลื่อมล้ำ ล้วนเกิดจากอำนาจที่ไม่เท่าเทียมกัน และนี่คือหลักใหญ่ใจความของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เราเสนอ เพื่อให้เกิดการจัดสรรอำนาจและงบประมาณเสียใหม่” นาย
ธนาธรกล่าว
นาย
ธนาธร ยังกล่าวต่อว่า การจัดสรรรายได้ของแผ่นดินวันนี้ แบ่งเป็น 70% ให้ส่วนกลาง อีก 30% ให้ท้องถิ่น 7 พันกว่าแห่งไปหารกันเอง ถ้าคิดตามปีงบประมาณ 2565 คือ 2.49 ล้านล้านบาท จะมีเงินรายได้มาถึงท้องถิ่นเพียง 7 แสนล้านบาท เฉลี่ยไปในท้องถิ่น 7 พันกว่าแห่งเท่านั้น
แต่ในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ การจัดสรรภาษีจะถูกเปลี่ยนเป็น 50-50 ท้องถิ่นจะได้งบประมาณรวมกันกว่า 1.2 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 5 แสนล้านบาท เมื่อหาร 7 พันกว่าแห่ง เท่ากับว่าท้องถิ่นทุกที่จะได้งบประมาณเพิ่มขึ้นอีกที่ละเฉลี่ย 63 ล้านบาทต่อปี
นี่จะเปิดโอกาสให้ท้องถิ่นตางๆ สามารถซ่อมถนน สร้างศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่ดีให้ลูกหลานของเรา ลงทุนในน้ำประปา จัดสวนสาธารณะที่ดีได้ จะเปิดโอกาสให้ท้องถิ่นและคนทุกคนกำหนดทิศทางการพัฒนาท้องถิ่นของตัวเองได้
ถ้ามีงบลงมาอีกที่ละ 60 ล้าน จะมีการพัฒนา มีการจัดซื้อจัดจ้าง จะเกิดการจ้างงานในพื้นที่ แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ภาษีที่ไปหล่อเลี้ยงรัฐราชการที่ใหญ่โตเทอะทะจะถูกดึงกลับมาสู่ประชาชนมากขึ้น ไม่ใช่ห่างไกลกันอย่างทุกวันนี้ ไม่ต้องผ่านตัวกลางมากมายกว่างบประมาณจะลงมาถึงประชาชน ตัวกลางเดียวที่มีอยู่คือบัตรเลือกตั้ง
ถ้าสะเดาะกุญแจนี้ออกได้ ยังจะทำให้ประชาธิปไตยในระดับชาติเข้มแข็ง จากการเมืองที่เข้มแข็งในระดับท้องถิ่น คนเข้าใจความหมายของบัตรเลือกตั้งมากขึ้น การเลือกตั้งท้องถิ่นมีความหมายมากขึ้น ประชาชนได้ลิ้มรสประชาธิปไตยมากขึ้น
“ไม่ต้องทำบุญให้เยอะเพื่อให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นในชาติหน้า ลงชื่อตอนนี้ความเป็นอยู่ดีขึ้นในชาตินี้ เรื่องนี้ใหญ่เกินกว่าคณะก้าวหน้าจะทำคนเดียวได้ พลังของเราลำพังไม่พอ เราต้องการพลังจากทุกคน” นาย
ธนาธรกล่าว
JJNY : ชาวบ้านส่งเสียงถึงรบ.เร่งแก้ของแพง│พฐ.เก็บหลักฐานรังปริญญ์│ธนาธรชี้ปลดล็อกท้องถิ่นแก้จน│“ตับอักเสบปริศนา”เด็กดับ1
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7013631
ชาวบ้านส่งเสียงถึงรัฐบาล เร่งแก้ปัญหาของแพง ราคาขึ้นเท่าตัว หมู-ไข่-ผัก พุ่งไม่หยุด วอนแก้ที่ต้นตอ ไม่ใช่แค่ขอความร่วมมือพ่อค้า-แม่ค้า
วันที่ 24 เม.ย.65 ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่สำรวจราคาสินค้าภายในตลาดเขตเทศบาลนครนครราชสีมา พบว่า สินค้าอุปโภค-บริโภค ส่วนใหญ่ปรับราคาสูงขึ้น โดยเฉพาะ เนื้อหมู และไข่ไก่ โดยราคาเนื้อหมูที่ขายหน้าแผงอยู่ที่ กิโลกรัมละ 200 บาท สันคอ กิโลกรัมละ 220 หมูสามชั้น กิโลกรัมละ 220 บาท และคอหมูมีราคาสูงถึง กิโลกรัมละ 320-350 บาท ซึ่งอาจจะมีการปรับราคาสูงขึ้นอีกหลังจากวันพระ
นอกจากนี้ราคาของไข่ไก่ภายในตลาดพบว่ามีการปรับราคาขึ้นด้วยเช่นกัน โดยไข่ไก่เบอร์ศูนย์ แผงละ 130 บาท เบอร์ 1 แผงละ 120 บาท เบอร์ 2 แผงละ 117 บาท ซึ่งราคาของไข่ไก่มีการปรับขึ้นเฉลี่ย 6-7 บาท ต่อแผง
นางกัญญารัตน์ ลิ้มไกรวัฒนา แม่ค้า บอกว่า ตอนนี้เนื้อหมูมีการปรับราคาเพิ่มขึ้นมากโดยมีการปรับราคาเพิ่มขึ้นทุกหลังวันพระโดยมีการปรับราคาเพิ่มขึ้นมาแล้ว 5 วันพระ ขึ้นครั้ง ละ 5-6 บาท ซึ่งในวันพรุ่งนี้ราคาของเนื้อหมูน่าจะมีการปรับราคาเพิ่มสูงขึ้นอีก
สำหรับราคาหมูที่มีราคาสูงขึ้นนั้นตนเองก็ไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดเหมือนกันต้องไปถามที่ต้นทางคือที่ฟาร์มเลี้ยงหมูเพราะทางตนก็รับมาจากเถ้าแก่ที่รับมาจากฟาร์มอีกที แต่ตนคิดว่าอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ราคาของหมูมีราคาเพิ่มสูงขึ้นก็คือปัญหาของราคาน้ำมันที่มีผลต่อต้นทุนที่ทำให้ราคาสินค้าทุกอย่างมีราคาสูงขึ้น ซึ่งตนอยากให้รัฐบาลมาช่วยตรึงราคาหมูให้อีกสักรอบนึงซึ่งก็อยากจะรู้ว่ารัฐบาลจะทำให้ไหม
ด้าน นายเสมอ จินดาพงษ์ ชาวบ้านอำเภอเมืองนครราชสีมา บอกว่า ตอนนี้ราคาสินค้าภายในตลาดมีราคาแพงมากแพงมหาวินาศเลย แพงทุกอย่าง หมู เนื้อ เป็ด ไก่ แม้แต่ผักก็ยังแพงจากเคยซื้อกำละ 5 บาท ก็ขึ้นมาเป็น 10 บาท ซึ่งแพงเป็นเท่าตัว
ตนอยากให้รัฐบาลทำให้ช่วยแก้ไขทำให้ราคาสินค้าถูกลง ไม่ใช่ออกมาพูดแต่ขอความร่วมมือไม่มีแม่ค้า พ่อค้าที่ไหนจะให้ความร่วมมือในเมื่อทางแม่ค้า พ่อค้า ก็รับสินค้ามาขายในราคาที่สูงอยู่แล้ว ซึ่งต้องไปดูที่ต้นตอของปัญหาแล้วไปแก้ไขให้ถูกต้อง
พฐ. เก็บหลักฐานรัง ปริญญ์ บนตึกหรู ถ.วิทยา หลังมี 3 เหยื่อ ถูกล่วงละเมิดที่นี่
https://www.nationtv.tv/news/378870926
ตำรวจพิสูจน์หลักฐาน เข้าเก็บหลักฐานห้องพัก สนง. ปริญญ์ บนอาคารหรู ถ.วิทยุ หลังมีเหยื่อ 3 รายยืนยันถูกล่วงละเมิดบนอาคารดังกล่าว
เข้าสู่สัปดาห์ที่ 3 แล้ว สำหรับอีกคดีที่สังคมให้การจับตา กรณีที่ สำหรับ นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ถูกพนักงานสอบสวนแจ้ง 3 ข้อหา คือ กระทำอนาจาร 2 ข้อหา และ ข่มขืนกระทำชำเรา 1 ข้อหา หลังจากที่ ทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ได้ออกมาเปิดเผยเรื่องราวของอดีตรองหัวหน้าพรรคการเมืองใหญ่ ที่มีพฤติกรรมคุกคามทางเพศเหยื่อหลายราย และบางรายถึงขั้นข่มขืนกระทำชำเรา โดยล่าสุดมีผู้เสียหายเข้าแจ้งความแล้ว 15 ราย
ล่าสุดวันนี้ (24 เม.ย.) เมื่อเวลา 10.00 น. มีรายงานว่า พล.ต.ต.ไตรรงค์ ผิวพรรณ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ กองพิสูจน์หลักฐานกลาง (พฐก.) ได้นำเจ้าหน้าที่เข้าเก็บพยานหลักฐาน ภายในห้องสำนักงานของ นายปริญญ์ ที่อาคาร เอ็มไทย ทาวเวอร์ ตั้งอยูบนถนนวิทยุ ซึ่งเป็นอาคารสำนักงานแลที่พักอาศัย มีความสูง 27 ชั้น หลังจากที่ผู้เสียหาย 3 ราย ได้เข้าแจ้งความไว้ว่า ถูกละเมิดทางเพศที่สำนักงานบนอาคารดังกล่าว
ขณะที่ในส่วนการดำเนินคดีนั้น ล่าสุดมีผู้เสียหายเข้าแจ้งความแล้ว 15 ราย และได้เกิดดราม่าขึ้น โดยก่อนหน้านี้ ทนายตั้ม ยืนยัน 15 เหยื่อนายปริญญ์ทุกรายเดินหน้าแจ้งความ แต่ก็มีความพยายามแทรกแซงคดี ซึ่งวานนี้ (23 เม.ย.) ทนายตั้ม ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวระบุว่า
“ถ้าใครมาขอให้ผมช่วยทำคดีอะไร แล้วผมขออนุญาตนำลงเรื่องเพจแล้วเป็นคดีดังขึ้นมา อยู่ดีๆมาขอให้ลบ หรือดัดแปลงข้อมูลเพื่อเอาตัวรอด ผมไม่ทำให้นะครับ เพจผมเน้นเรื่องจริง และขออนุญาตก่อนเผยแพร่เสมอ จะอยู่ดีๆมากลัว มาขอลบ บอกเลยผมไม่ทำให้ ตัวผมเองก็เสี่ยงเปิดหน้าสู้ มีเครดิต มีความน่าเชื่อถือต้องรักษา ถ้าใจไม่สู้จริง อย่ามาขอความช่วยเหลือจากผม” (อ่านข่าว)
ธนาธร ชี้ปลดล็อกท้องถิ่น แก้จน ลดเหลื่อมล้ำ พลิกวิกฤตประเทศ
https://www.matichon.co.th/politics/news_3305806
ธนาธร ชี้ปลดล็อกท้องถิ่น แก้จน ลดเหลื่อมล้ำ พลิกวิกฤตประเทศ
นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ปราศรัยเวที “ขอคนละชื่อปลดล็อกท้องถิ่น” ที่ประตูท่าแพ เชียงใหม่ ปลุกท้องถิ่นทวงคืนอำนาจและงบประมาณที่ถูกดึงไปรวมศูนย์ที่ส่วนกลางมากว่า 130 ปี แก้วิกฤตใหญ่ของชาติทั้งความเหลื่อมล้ำ เศรษฐกิจ และการเมืองได้
โดยนายธนาธร ระบุว่า โครงการที่คณะก้าวหน้าและผู้นำท้องถิ่นหลายส่วนร่วมรณรงค์อยู่นี้ มีการเปิดตัวเมื่อวันที่ 1 เม.ย. ที่ผ่านมา หรือในวันครบรอบ 130 ปีของการปฏิรูปการปกครองแผ่นดินครั้งใหญ่ในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อปี 2435
เพียงสิบปีหลังการปฏิรูปในครั้งนั้น เกิดกบฏขึ้นทั่วประเทศ ไม่ว่ากบฏเงี้ยวเมืองแพร่ กบฏผีบุญอีสาน กบฏ 7 หัวเมืองแขก ซึ่งล้วนมีเหตุผลมาจากสามเรื่องหลัก คือ 1) การแย่งชิงทรัพยากร 2) อำนาจในการจัดการตนเอง และ 3) ภาษี ที่ถูกดึงไปอยู่ที่รัฐส่วนกลาง
“ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่การก่อกบฏต่อต้านการรวมศูนย์เกิดขี้นกลางทศวรรษที่ 2440 ในเกือบทุกที่ เมื่อคนท้องถิ่นทั่วประเทศลุกฮือ นี่คือประวัติศาสตร์ที่ไม่มีในแบบเรียนกระแสหลัก โจทย์เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมด คืออำนาจ ทรัพยากร และภาษีเป็นของใคร นี่ยังคงเป็นโจทย์ใหญ่ที่ดำรงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ การเคลื่อนไหวต่อมาทั้งโดยพรรคคอมมิวนิสต์ มาจนถึงการเคลื่อนไหวโดยองค์กรภาคประชาชนอย่างสมัชชาเกษตรกรรายย่อยภาคอีสาน สมัชชาคนจน มาเป็นพีมูฟในปัจจุบัน ล้วนเป็นกระแสธารการต่อสู้เรียกร้องในเรื่องเดียวกัน” นายธนาธรกล่าว
นายธนาธร กล่าวว่า ยกตัวอย่างโรงไฟฟ้าแม่เมาะ ลำปาง ที่สร้างไฟฟ้าหล่อเลี้ยงเมืองหลวง แต่คนพื้นที่ไม่ได้ดอกผลจากการพัฒนา ได้รับแต่มลพิษจากโรงไฟฟ้าและผลกระทบต่างๆ เขื่อนปากมูลที่ส่งไฟฟ้าหล่อเลี้ยงเมืองหลวง เหมืองตะกั่วคลิตี้ ที่คนออกประทานบัตรตคือรัฐส่วนกลาง คนพื้นที่ไม่ได้เห็นชอบด้วย แม้จะปิดไปแล้วแต่มลพิษยังคงตกค้างอยู่กำจัดไม่หมดจนถึงทุกวันนี้ นี่คือความจริงที่น่าเศร้าของประเทศไทย
นี่คือเรื่องของปัญหาการเมือง เศรษฐกิจ ความเหลื่อมล้ำ ทุกวันนี้หลายพื้นที่ยังมีน้ำประปาที่มีสีขุ่น ถนนหนทางเป็นลูกรัง ไม่มีไฟฟ้าใช้ ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ นี่คือประเทศไทยในศตวรรษที่ 21 ไม่ใช่เราไม่มีความรู้และเทคโนโลยี แต่เป็นเพราะประชาชนไม่มีทั้งอำนาจและงบประมาณในมือของตัวเอง ทุกวันนี้ส่วนกลางโยนภารกิจมาให้ท้องถิ่นจัดการ แต่ไม่ให้งบประมาณมาด้วย กฎหมายหลายฉบับซ้อนกันเอง ต้องวิ่งหาหน่วยงานส่วนกลาง ท้องถิ่นไม่มีอำนาจจัดการเองได้
“เขาบอกว่าคนต่างจังหวัดโง่จึงจน เขาบอกว่าที่จนเป็นเพราะชาติที่แล้วทำบุญมาไม่พอ ผมปฏิเสธที่จะเชื่ออยางนั้น สิ่งที่ผมเชื่อคือความจน ความเหลื่อมล้ำ ล้วนเกิดจากอำนาจที่ไม่เท่าเทียมกัน และนี่คือหลักใหญ่ใจความของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เราเสนอ เพื่อให้เกิดการจัดสรรอำนาจและงบประมาณเสียใหม่” นายธนาธรกล่าว
นายธนาธร ยังกล่าวต่อว่า การจัดสรรรายได้ของแผ่นดินวันนี้ แบ่งเป็น 70% ให้ส่วนกลาง อีก 30% ให้ท้องถิ่น 7 พันกว่าแห่งไปหารกันเอง ถ้าคิดตามปีงบประมาณ 2565 คือ 2.49 ล้านล้านบาท จะมีเงินรายได้มาถึงท้องถิ่นเพียง 7 แสนล้านบาท เฉลี่ยไปในท้องถิ่น 7 พันกว่าแห่งเท่านั้น
แต่ในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ การจัดสรรภาษีจะถูกเปลี่ยนเป็น 50-50 ท้องถิ่นจะได้งบประมาณรวมกันกว่า 1.2 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 5 แสนล้านบาท เมื่อหาร 7 พันกว่าแห่ง เท่ากับว่าท้องถิ่นทุกที่จะได้งบประมาณเพิ่มขึ้นอีกที่ละเฉลี่ย 63 ล้านบาทต่อปี
นี่จะเปิดโอกาสให้ท้องถิ่นตางๆ สามารถซ่อมถนน สร้างศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่ดีให้ลูกหลานของเรา ลงทุนในน้ำประปา จัดสวนสาธารณะที่ดีได้ จะเปิดโอกาสให้ท้องถิ่นและคนทุกคนกำหนดทิศทางการพัฒนาท้องถิ่นของตัวเองได้
ถ้ามีงบลงมาอีกที่ละ 60 ล้าน จะมีการพัฒนา มีการจัดซื้อจัดจ้าง จะเกิดการจ้างงานในพื้นที่ แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ภาษีที่ไปหล่อเลี้ยงรัฐราชการที่ใหญ่โตเทอะทะจะถูกดึงกลับมาสู่ประชาชนมากขึ้น ไม่ใช่ห่างไกลกันอย่างทุกวันนี้ ไม่ต้องผ่านตัวกลางมากมายกว่างบประมาณจะลงมาถึงประชาชน ตัวกลางเดียวที่มีอยู่คือบัตรเลือกตั้ง
ถ้าสะเดาะกุญแจนี้ออกได้ ยังจะทำให้ประชาธิปไตยในระดับชาติเข้มแข็ง จากการเมืองที่เข้มแข็งในระดับท้องถิ่น คนเข้าใจความหมายของบัตรเลือกตั้งมากขึ้น การเลือกตั้งท้องถิ่นมีความหมายมากขึ้น ประชาชนได้ลิ้มรสประชาธิปไตยมากขึ้น
“ไม่ต้องทำบุญให้เยอะเพื่อให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นในชาติหน้า ลงชื่อตอนนี้ความเป็นอยู่ดีขึ้นในชาตินี้ เรื่องนี้ใหญ่เกินกว่าคณะก้าวหน้าจะทำคนเดียวได้ พลังของเราลำพังไม่พอ เราต้องการพลังจากทุกคน” นายธนาธรกล่าว