JJNY : เปิด 4 ช่องโหว่ใหญ่ เจตนาซุกกาสิโน│“ชัยธวัช”สงสัยใช้งบซื้อถุงยังชีพ│คนกรุงอ่วม! ฝุ่น PM 2.5│TikTok ถูกแบนในสหรัฐ

เปิด 4 ช่องโหว่ใหญ่ พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร เจตนาซุกกาสิโน
https://www.thaipbs.or.th/news/content/348331
 
  
เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน เปิดช่องโหว่ใหญ่ ๆ ของ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร ชี้มีเจตนาซุกกาสิโนวันนี้ (19 ม.ค.2568) นายธนากร คมกฤส เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว  "เปิดช่องโหว่ใหญ่ ๆ ของ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร" โดยระบุข้อความว่า
 
ณ ขณะนี้สังคมไทยน่าจะเกินเลยจุดของการถกเถียงกันทางหลักการและแนวคิดว่า "ควรเอาบ่อนพนันใต้ดินขึ้นมาไว้บนดินหรือไม่?" แต่ควรจะมาถกแถลงกันบนฐานของข้อเท็จจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อเท็จจริงที่อิงอยู่กับตัวบทกฎหมายร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรของรัฐบาล เพราะนี้คือ ของจริงว่ากฎหมายนี้จะดลบันดาลให้เกิดอะไรขึ้นได้บ้าง
 
หากไม่เป็นการมองผู้ร่างกฎหมายในแง่ร้ายเกินไป อาจกล่าวได้ว่าวิธีเขียนกฎหมายฉบับนี้ (รวมถึงกฎหมายอื่นอีกหลายฉบับ) ใช้วิธีเขียนแบบหลวม ๆ ไม่เขียนผูกมัดรัดตัวอะไรไว้มาก ใช้วิธีเปิดช่องไว้กว้าง ๆ เพื่อให้โอกาสสิ่งต่าง ๆ สามารถเกิดขึ้นได้ในอนาคต แล้วใช้วิธียกให้คณะบุคคลเป็นผู้ใช้ดุลยพินิจว่า จะตัดสินใจอย่างไรตามความหลวมและช่องโหว่ที่กฎหมายเปิดให้ไว้
 
ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ดูมีเจนตนาเปิดช่องไว้หลายประการ ขอขมวดเป็นช่องใหญ่สัก 4 เรื่อง
 
1. เปิดกาสิโนได้หลายแห่ง หลายขนาด No Limit

• เงื่อนไข คือ "ต้องเป็นกาสิโน บวกกับอีก 4 กิจการ (มาตรา 41)
• สี่กิจการที่จะเปิดร่วมกับกาสิโน กฎหมายได้ตัดถ้อยคำที่ผูกมัดเกี่ยวกับขนาดของกิจการออกไปทั้งหมด เช่น ตัดคำว่า "ระดับ 5 ดาว" ออกจากคำว่าโรงแรม ตัดคำว่า "ครบวงจร" ออกจากคำว่าห้างสรรพสินค้า และตัดรายการศูนย์ประชุมหรือสถานที่จัดนิทรรศการขนาดใหญ่ ออกจากตัวเลือก ในบัญชีแนบท้าย
• ไม่ได้กำหนดว่าสัดส่วนของกาสิโนในสถานบันเทิงครบวงจรมีได้ไม่เกินกี่เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ (มาตรา 11(8))
 
2. ยกอำนาจการตัดสินใจให้ "คณะกรรมการนโยบาย"
 
• คณะกรรมการนโยบายประกอบด้วย นายกฯ , รองนายกฯ 1 , รมต.ตามตำแหน่ง 6 , ข้าราชการประจำ 4 และผู้ทรงคุณวุฒิที่นายกฯแต่งตั้ง ไม่เกิน 6 = 18 อรหันต์ (มาตรา 6)
• จะตั้งที่ไหน จะเปิดที่ไหน จะเปิดขนาดไหน จะเก็บภาษีเท่าไร จะเก็บค่าใบอนุญาตจากผู้ประกอบการรายละเท่าไร ภายใต้มาตรา 11 มาตราเดียว คณะกรรมการนโยบายมีอำนาจตัดสินใจ
• จะให้กลุ่มธุรกิจใดทำ ไม่ต้องมีการประมูล ใช้ระบบอนุญาตโดยกรรมการนโยบาย
• ไม่ต้องจัดให้มีการรับฟังความเห็นประชาชน (ความเดิมในมาตรา 50 ของร่าง พ.ร.บ.ที่เสนอโดย กมธ.ถูกตัดออก)
 
3. เรื่องเงินทองเขียนกำหนดขั้นสูงแต่ไม่กำหนดขั้นต่ำ
 
• ใบอนุญาตครั้งแรกเก็บได้ไม่เกิน 5,000 ล้านบาท ใบอนุญาตรายปีเก็บได้ไม่เกิน 1,000 ล้านบาท (มาตรา 11(6))
• อัตราค่าธรรมเนียมของผู้มีสัญชาติไทยที่จะเข้ากาสิโนเก็บได้ไม่เกินครั้งละ 5,000 บาท (มาตรา 11(11))
 
4. ไม่ล็อกเงินรายได้เข้าแผ่นดิน
 
• เงินได้จากค่าธรรมเนียมใบอนุญาตหลักพันล้าน เป็นทุนและทรัพย์สินของสำนักงานกำกับกิจการสถานบันเทิงครบวงจร เมื่อหักค่าใช้จ่ายสำหรับดำเนินการต่าง ๆ เหลือเท่าใดให้นำส่งเข้าแผ่นดิน (มาตรา 24 วรรคท้าย)
 
นายธนากร ยังระบุว่าแค่นี้ช่องโหว่มากพอหรือยัง ซึ่งจริง ๆ มีมากกว่านี้ และนี่คือเหตุผลเบื้องต้นว่า เหตุใดเราจึงหยุด พ.ร.บ.ซ่อนแอบฉบับนี้ ที่เจตนาซุกกาสิโนไว้ใต้เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์
 
“เงียบ = ยอมรับ ใช่มั้ยครับ”


ปชน.ปราศรัยเลือกตั้งนายก อบจ.เชียงใหม่- “ชัยธวัช” สงสัยใช้งบซื้อถุงยังชีพ
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_830108/
 
ปชน.ปราศรัยเลือกตั้งนายก อบจ.เชียงใหม่ ชู“ยุติรัฐราชการรวมศูนย์ ทวงคืนอำนาจสู่ท้องถิ่น” นโยบายเรือธงพรรค “ชัยธวัช”สงสัยใช้งบซื้อถุงยังชีพช่วยน้ำท่วม ขอโอกาสสร้างเปลี่ยนแปลง
 
พรรคประชาชน จัดเวทีปราศรัยหาเสียงเลือกตั้ง อบจ.เชียงใหม่ ที่จะมีการเลือกตั้ง ในวันเสาร์ที่ 1 ก.พ. โดยพรรคประชาชน ส่ง นายพันธุ์อาจ ชัยรัตน์ เบอร์ 1 เป็นผู้สมัครนายก อบจ. พร้อมด้วยผู้สมัคร ส.อบจ. จำนวน 41 คน บรรยากาศเวทีปราศรัยเป็นไปอย่างคึกคัก มี สส.เชียงใหม่ พรรคประชาชน แกนนำพรรคและผู้ช่วยหาเสียงขึ้นเวทีคับคั่ง นำโดย นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรค, นายชัยธวัช ตุลาธน,นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ นายปิยบุตร แสงกนกกุล
 
นายปิยบุตร กล่าวว่า ถ้าไม่พูดเรื่องการกระจายอำนาจ เหมือนมาไม่ถึงเชียงใหม่ ที่ผ่านมานักการเมืองหลายพรรคเอาเรื่องการกระจายอำนาจไปโฆษณาหาเสียง ถึงเวลาตัวเองมีอำนาจ กลับไม่กระจาย รวมอำนาจมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ จึงเป็นที่มาที่เราใช้นโยบายกระจายอำนาจ “ยุติรัฐราชการรวมศูนย์ ทวงคืนอำนาจสู่ท้องถิ่น” เป็นนโยบายเรือธงตั้งแต่อนาคตใหม่ ก้าวไกล ประชาชน
 
ไม่มีประเทศไหนที่บอกว่ากระจายอำนาจแล้วนายกรัฐมนตรีลงมาสั่งการนายก อบจ. ถ้าต้องการให้การเมืองท้องถิ่นเติบโตอย่างยั่งยืน เป็นไปตามหลักการ สิ่งที่ถูกต้องคือนายกฯ ทำหน้าที่สนับสนุนการกระจายอำนาจ ด้วยการแก้กฎหมายที่ทำให้การกระจายอำนาจมันติดล็อกอยู่ จัดการระเบียบกระทรวงมหาดไทยที่ทำให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจซ้อนกับนายก อบจ. ถ้า อบจ. มีงบประมาณน้อย ต้องไปทำตามกฎหมายจัดสรรรายได้ให้ อบจ. มีมากขึ้นถึง 35% เสียที ทุกวันนี้ผ่านไปกี่ปีก็ไม่ทำ งวดที่แล้วเป็นรัฐบาลเสียงข้างมากเด็ดขาดแต่ไปทำผู้ว่า CEO ซึ่งมาจากการแต่งตั้งของมหาดไทย
 
ดังนั้น วิธีคิดเรื่องการกระจายอำนาจของเรากับเขาไม่เหมือนกันอย่างสิ้นเชิง พี่น้องคนเชียงใหม่ที่สนับสนุนแนวทางการกระจายอำนาจ ให้ อบจ.เชียงใหม่ มีงาน มีเงิน มีคนเพื่อจัดทำบริการให้คนเชียงใหม่ ถ้าชอบแบบนี้สถานเดียวคือต้องเลือก พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ เป็นนายก อบจ.เชียงใหม่ เลือกผู้สมัคร ส.อบจ. ของพรรคประชาชนทั้ง 41 คน ส่งสัญญาณเปลี่ยนการเมืองท้องถิ่นให้เป็นแบบใหม่ เปลี่ยนวิธีคิดเรื่องการกระจายอำนาจกลับมาสู่เส้นทางที่ถูกต้อง
 
ด้านนายชัยธวัช กล่าวถึงเอกสารที่ได้รับจากพลเมืองดี เกี่ยวกับโครงการซื้อถุงยังชีพช่วยเหลือผู้ประสบภัยของ อบจ.เชียงใหม่ ที่แจกให้ประชาชนในช่วงน้ำท่วมใหญ่เดือนตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา โดยระบุว่าโครงการนี้ อบจ.เชียงใหม่ จัดซื้อด้วยวิธีเฉพาะเจาะจง ซึ่งเข้าใจได้ในสถานการณ์ที่ต้องทำให้ทันท่วงทีกับความเดือดร้อนของประชาชน จากเอกสารที่เห็นจัดซื้ออย่างน้อย 4 ครั้งจากเอกชน 3 เจ้า รวมมูลค่า 19,765,000 บาท
 
อย่างไรก็ตาม พบข้อน่าสงสัยหลายอย่าง เช่น ราคาของข้าวสารในถุงยังชีพสูงกว่าราคากลาง, บริษัท ท.การโยธา ที่ทำรับเหมาวัสดุก่อสร้างมาตลอด อยู่ๆ ก็มาขายถุงยังชีพให้ อบจ., ที่อยู่ของบริษัท ท.การโยธา เคยเป็นที่อยู่ของอีกบริษัทชื่อ ส.การโยธา ซึ่งต่อมาพบว่าเป็นบริษัทในเครือ ส.กรุ๊ป ที่มีกิจการหลายบริษัท มีนาง พ. เป็นกรรมการบริษัทและเป็นภรรยาของอดีตเลขานายก อบจ. เชียงใหม่ คนที่ผ่านมา
 
ตนไม่ได้กล่าวหาใคร เพียงเล่าให้พี่น้องชาวเชียงใหม่ประกอบการพิจารณา ให้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นกับการใช้งบประมาณของ อบจ.เชียงใหม่ ดังนั้น 1 ก.พ.เป็นอีกหนึ่งโอกาสในการเปลี่ยนแปลง เขาบอกว่าการเมืองท้องถิ่นเปลี่ยนยาก เปลี่ยนไม่ได้ถ้าไม่มีกำลังภายใน ไม่มีเงินทอง ไม่มีเครือข่ายอุปถัมภ์เส้นสาย พรรคประชาชน ไม่มีทางประสบความสำเร็จในการเลือกตั้ง อบจ. ครั้งนี้ แต่ตนไม่เชื่อ ตนเชื่อในประชาชน เวลานี้ชั่วโมงนี้พี่น้องชาวเชียงใหม่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงไปด้วยกันแล้ว


 
คนกรุงอ่วม! ฝุ่น PM 2.5 เริ่มมีผลต่อสุขภาพ
https://siamrath.co.th/n/594977

เมื่อวันที่ 19 ม.ค.68   ศูนย์ข้อมูลคุณภาพอากาศกรุงเทพมหานคร ขอรายงานสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) ในกรุงเทพมหานคร เวลา 07:00 น.  ค่าเฉลี่ยของกรุงเทพมหานคร 46.8 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.)
5 อันดับ ของค่าฝุ่นPM2.5 เขตสูงสุดในกรุงเทพมหานคร
1 เขตหนองแขม 56.9 มคก./ลบ.ม.
2 เขตภาษีเจริญ 56.4 มคก./ลบ.ม.
3 เขตธนบุรี 54.1 มคก./ลบ.ม.
4 เขตลาดกระบัง 53.7 มคก./ลบ.ม.
5 เขตพระโขนง 53.4 มคก./ลบ.ม.
 
กรุงเทพเหนือ  39.6 - 53.1 มคก./ลบ.ม.  ภาพรวม : อยู่ในเกณฑ์เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ
กรุงเทพตะวันออก  44 - 53.7 มคก./ลบ.ม. ภาพรวม : อยู่ในเกณฑ์เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ
กรุงเทพกลาง  37.9 - 47 มคก./ลบ.ม.  ภาพรวม : อยู่ในเกณฑ์เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ
กรุงเทพใต้  40.2 - 53.5 มคก./ลบ.ม. ภาพรวม : อยู่ในเกณฑ์เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ
กรุงธนเหนือ  44.5 - 54.1 มคก./ลบ.ม.  ภาพรวม : อยู่ในเกณฑ์เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ
กรุงธนใต้  45.3 - 56.9 มคก./ลบ.ม.  ภาพรวม : อยู่ในเกณฑ์เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ
 
ฝุ่นละอองมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น  ภาพรวม : คุณภาพอากาศอยู่ในเกณฑ์เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ
ข้อแนะนำสุขภาพ:  คุณภาพอากาศระดับสีส้ม: เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ
ประชาชนทั่วไป : ใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเอง เช่น หน้ากากป้องกัน PM2.5 ทุกครั้งที่ออกนอกอาคาร  จำกัดระยะเวลาในการทำกิจกรรมหรือการออกกำลังกายกลางแจ้งที่ใช้แรงมาก
 
ควรสังเกตอาการผิดปกติ เช่น ไอ หายใจลำบาก ระคายเคืองตา
ประชาชนกลุ่มเสี่ยง : ใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเอง เช่น หน้ากากป้องกัน PM2.5 ทุกครั้งที่ออกนอกอาคาร
เลี่ยงการทำกิจกรรมหรือการออกกำลังกายกลางแจ้งที่ใช้แรงมาก ให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ หากมีอาการผิดปกติให้รีบไปพบแพทย์
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่