ภาพหญิงสาวที่เป็นสัญลักษณ์ฝ่ายซ้าย

.
.
.


Marina Ginestà มีชื่อเสียงโด่งดังมาก
จากการถ่ายภาพของ  Juan Guzmán
ขณะที่เธออยู่บนหลังคาของ  Hotel Colón
ใน Barcelona ระหว่างเดือนกรกฏาคม 1936
ขณะที่กองทัพฝ่ายซ้ายยึดครองใน Barcelona
(ภาพจาก AI สร้างสีเลียนแบบธรรมชาติ)
โรงแรม Colón ถูกรื้อทิ้งหลังสิ้นสุด
สงครามกลางเมืองในสเปน
และทุกวันนี้ที่นี่คือ อาคารธนาคาร
Banco Español de Crédito

Marina Ginestà ติดอาวุธและเป็นนักข่าว
ในช่วงเวลานั้น จึงถือปืนไรเฟิล ปืนของเธอคือ
M1916 Spanish Mauser
ผลิตโดย Oviedo คลังแสงที่มีชื่อเสียงในสเปน

เธอเกิดที่ Toulouse วันที่  29 มกราคม 1919
ในครอบครัวชาวยิวชนชั้นแรงงาน
นิยมฝ่ายซ้ายที่อพยพจากสเปน
ย้ายมาทำมาหากินอยู่ที่ฝรั่งเศส
พ่อแม่ของเธอเป็นช่างตัดเสื้อ
Empar Coloma Chalmeta จาก Valencia กับ
Bruno Ginestà Manubens จาก Manresa
เธอย้ายกลับไปอยู่ที่  Barcelona กับพ่อแม่
ตอนเธออายุได้ 11 ปี เลยรู้สองภาษาเป็นอย่างดี

เธอเป็นสมาชิกยุวชนพรรคสังคมนิยม
Juventudes Socialistas Unificadas
องค์กรเยาวชนที่ขึ้นโดยตรงกับ
Partido Comunista de España
(PCE, Communist Party of Spain)
ในช่วงสงครามกลางเมืองแตกหัก
เธอทำหน้าที่เป็นนักข่าวและผู้ช่วยนักแปล
ให้กับ  Mikhail Koltsov ชาวรัสเซีย
นักข่าวของหนังสือพิมพ์  Soviet  Pravda

ในช่วงแรก ๆ
แม้เธอจะไม่ชื่นชอบกับพวกคอมมิวนิสต์
รู้สึกไม่แยแสกับแนวทางพวกนิยม Stalin
ทั้งที่เธอยังคงเป็นพวกกลุ่มติดอาวุธ
ตลอดช่วงที่เหลือของสงครามกลางเมืองสเปน
และยังย้ายไปอยู่กลุ่มอื่น ๆ ในเวลานั้น
เช่น P.O.M. ผู้ต่อต้านสตาลิน
(ซึ่งนักเขียนชื่อดัง George Orwell
เคยเป็นสมาชิกอยู่  ผู้แต่งหนังสือ
Animal Farm ที่ด่าสตาลิน
เป็นหมูเผด็จการในท้องเรื่องฟาร์มสัตว์
และย้ายไปอยู่ในกลุ่มอนาธิปไตย C.N.T.
ก่อนสิ้นสุดสงครามกลางเมืองสเปน

ต่อมา 
เธอได้รับบาดเจ็บจึงอพยพไปยัง Montpellier
หลังจากที่ฝรั่งเศสถูกนายซีเยอรมันยึดครอง
เธอก็อพยพไปยัง Dominican Republic 
ซึ่งเธอได้แต่งงานกับนักการเมืองที่นั่น

ในปี 1946
เธอถูกบังคับให้ออกจากประเทศนี้
จนเธอต้องย้ายไปอยู่ที่ Venezuela 
เพราะการกดขี่ข่มเหงโดยเผด็จการ
Rafael Trujillo คนสั่งการเรื่องนี้


ในปี 1949 เธอหย่ากับสามี
แล้วย้ายกลับไปอยู่ที่ฝรั่งเศส

ในปี 1952
เธอแต่งงานกับนักการทูตชาวเบลเยียม
แล้วย้ายกลับไปอยู่ที่ Barcelona

ในปี 1978
เธอย้ายกลับมาอยู่ที่ปารีส์ 

เธอไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับภาพถ่ายนี้
จนกระทั่งถึงปี 2006
แม้ว่าภาพสัญลักษณ์สตรีฝ่ายซ้ายนี้
จะถูกพิมพ์และเผยแพร่ไปทุกหนทุกแห่ง
โดยทำหน้าที่เป็นปกสำหรับหนังสือ
Thirteen Red Roses โดย Carlos Fonseca
และที่ร่วมกับช่างภาพอีกหลายสิบคนในหนังสือ
Unpublished images of the Civil War (2002)
ภาพที่ยังไม่ได้เผยแพร่ของสงครามกลางเมือง

เธอถูกระบุชื่อโดย Garcia Bilbao
ผู้ซึ่งอ่านบันทึกความทรงจำจดหมายโต้ตอบ
ของ Mikhail Koltsov ชาวรัสเซีย
นักข่าวหนังสือพิมพ์โซเวียต Pravda 
ซึ่งหญิงสาวคนนี้ปรากฏในอีกภาพหนึ่ง

Garcia Bilbao พบว่าชื่อ Jinesta Marina
ซึ่ง Guzman ระบุในคำอธิบายภาพ ไม่ใช่ชื่อนั
จริง ๆ คนในภาพนี้คือ Marina Ginesta
อดีตผู้ลี้ภัยที่อาศัยอยู่ในปารีส
ที่ทำหน้าที่เป็นนักแปลภาษาฝรั่งเศส

Marina Ginestà หญิงสาวผู้โด่งดัง
ในสงครามกลางเมืองสเปน
เสียชีวิตเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2014
ในกรุงปารีส ตอนอายุ 94 ปี

เธอสารภาพว่า
เธอยังจำศพที่เธอเห็นครั้งแรกได้
แม่ลูกสองคนที่ตายในอ้อมแขนของเธอ
เมื่อ 70 ปีก่อนเป็นความจำฝังใจ

" พวกเขาบอกว่าภาพถ่ายของฉันดูดีมีเสน่ห์
ซึ่งเป็นไปได้เพราะพวกเราหมกมุ่นอยู่กับ
เวทย์มนต์ของการปฏิวัติชนชั้นกรรมาชีพ "

ดูเหมือนว่าไฟสังคมนิยมของเธอ
จะค่อย ๆ เสื่อมลง/มอดลงตามอายุของเธอ
เหมือน ๆ กับคนหนุ่มสาวฝ่ายซ้ายรุ่นนั้น
ที่เคยภักดีต่อลัทธิสังคมนิยมในยุคนั้น
เธอเปลี่ยนไปนิยมระบอบประชาธิปไตย
แบบตะวันตก ที่มีรัฐธรรมนูญในระบบรัฐสภา

เธอเคยลูกขึ้นมาต่อสู้กับ
ลัทธินาซีเยอรมันอยู่ในแนวรบซ้าย-ขวา
ซึ่งต่อมากลายเป็นแนวรบระหว่าง
ลัทธิเผด็จการ(นาซีเยอรมัน) กับ สตาลิน
นายพลฟรังโก มีนาซีเยอรมันเป็นท่อน้ำเลี้ยง
ฝ่ายซ้ายหลายกลุ่ม มีสตาลินเป็นท่อน้ำเลี้ยง
ซึ่งเธอเคยลิ้มลองผ่านการต่อสู้ในสนามรบ
ใน Barcelona กับ ผู้บังคับการตำรวจที่นั่น
.


รียบเรียง/ที่มา


https://bit.ly/38gQi9t
https://bit.ly/395SlgN
https://bit.ly/3EDpNaa
https://bit.ly/3xOZvR4
.
.

.


.
Marina Ginestà กับน้องชายในปี 1936
.


.

.
Marina ในแนวหน้า  Bujalaroz 
กับนักข่าว  Koltsov ในปี 1936
.


.
Marina ในปี 1957  ที่ The Hague
Photo courtesy of Manuel Periáñez
.


.
Manuel Periáñez บุตรชาย Marina
ใน Barcelona ในปี 2016
Courtesy of M. Periáñez
.


.
เธอกับภาพในอดีค
.


.
หนังสือ 13 ดอกไม้แดง
.
.


เรื่องเล่าไร้สาระ

ในเมืองไทย หลัง 6 ตุลาคม 2519
ที่มีการฆ่ากันในเมืองที่มหาวิทยาลัยธรรมศาตร์
มีคนตายที่นั่นร่วมร้อยคน ติดคุกสองพันกว่าคน
นิสิตนักศึกษาประชาชนที่นิยมฝ่ายซ้าย
กลัวจะถูกตามฆ่า ตามทำร้าย จับติดคุก
จึงได้หลบหนีเข้าป่าร่วมกับพรรคคอมมี่ไทย
เป็นนักรบปลดแอกประชาชนแห่งประเทศไทย
ทำการสู้รบระหว่างคนในชาติ
เพราะต่างความเชื่อ/ลัทธิอุดมการณ์

จน พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์
ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีในปี 2521
ได้เริ่มต้นการสมานฉันท์
ออกพระราชบัญญัตินิรโทรกรรมสุดซอย
ทั้งฝ่ายขวาที่ฆ่าคนในวันนั้นทุก ๆ คน
ฝ่ายซ้ายที่ติดคุกข้อหาเป็นแกนนำ 6 ตค.2519
แบบทุกคนพ้นโทษทางแพ่งทางอาญา
จัดว่าเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกทึ่ทำเรื่องนี้
แล้วเลี้ยงข้าวแกงแกงเขียวหวานใส่บรั่นดี
ให้กับนักโทษในคดี 6 ตุลาคม ทุกคน
พร้อมบอกให้ทำใจ จบเรื่องนี้ ลืมเรื่องนี้ ไปซะ

ต่อมา ท่านลาออกในเดือนมีนาคม 2523
ป๋าเปรม ติณสูลานนท์ รับช่วงดำเนินการต่อ
ตามนโยบายการเมืองนำหน้าการทหาร
ด้วยคำสั่ง 66/23 ให้ฝ่ายซ้ายทุกคนรายงานตัว
ไม่ถือว่ามีความผิดใด ๆ ในคดีแพ่งคดีอาญา
ไม่มีการจับกุมคุมขังในเรือนจำใด ๆ
แตกต่างกับทหารในสนามรบมอบตัว
หรือยอมจำนนต้องติดคุกในเรือนจำทหารก่อน

เสกสรรค์ ประเสริฐกุล จิรนันท์  พิตรปรีชา
ภูมิธรรม เวชยชัย จตุรนต์ ฉายแสง
กับฝ่ายซ้ายหลายคนที่ดังในวงการเมืองทุกวันนี้
ก็ได้ประโยชน์จากคำสั่งป๋าเปรม 66/23
ที่ให้ทุกคนสามารถกลับเข้าเรียนต่อ
ในระดับมหาวิทยาลัย ไม่ถือว่าถูก Retired
หลายคนกลับมาเรียนต่อจนจบตรี-เอก
มารับราชการ ทำงานเอกชนจนทุกวันนี้
บางคนก็เป็นนักการเมือง นายทุนน้อย พระภิกษุ
นายทุนชาติ ข้าราชการ พ่อค้า กรรมกร ชาวนา
ตามโชคชะตาวาสนา/ความสามารถแต่ละคน

ในปี 2527
พรรคคอมมิวนิสต์ไทยล่มสลายลง
เพราะขัดแย้งกันภายในอย่างรุนแรง
คนสุดท้ายที่เป็นแกนนำของพรรค พคท.
ที่ไม่ยอมยุติแนวคิดอุดมการณ์คอมฯ
คือ นายธง แจ่มศรี (เพิ่งมตะ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่