สวัสดีค่ะ ก่อนอื่นขอแนะนำตัวคร่าวๆก่อนนะคะ ขอใช้นามสมมุติให้เพื่อนๆเรียกก็แล้วกันค่ะ
เราชื่อ แพรวค่ะ อายุ22ปี เรียนจบแค่ชั้นมอ6 สายศิลป์ภาษา อังกฤษ-ญี่ปุ่น แต่ที่ไม่ได้เรียนต่อมหาลัยเพราะพ่อแม่ไม่มีตังส่งเรียนค่ะ พ่อป่วยเป็นโรคไตเลยคิดว่าออกมาช่วยหาเงินคงจะดีกว่า เราทำงานตั้งแต่อายุ17ค่ะ งานแรกที่ทำคือ พาร์ทไทม์เสิร์ฟอาหารในโรงแรม5ดาว ตอนนั้นเพื่อนฝากเข้าให้ ได้เงินวันละ500บาท เป็นงานที่เหนื่อยมากๆ แต่คุ้มค่าค่ะเพราะเราแทบไม่ได้ใช้ตัง กินฟรีอยู่ฟรีที่โรงแรม
งานที่สองจนถึงปัจจุบันก็ยังเป็นงานเสิร์ฟค่ะ ร้านแรกอยู่ที่ร้านอาหารปิ้งย่างบุฟเฟต์ชื่อดัง เงินเดือนเริ่ม9000 เซอร์วิสชาร์จ 500บาท กับทิป หักประกันสังคม500บาทนะคะ เราทำงานที่นั่นประมาณ 8เดือน ได้โบนัส3000บาทพร้อมกับปรับเงินเดือนเป็น9500 พอครบ1ปีเราก็ขอลาออก เพราะทำงานหนักมากเกินไป จากที่เสิร์ฟอยู่ได้กลายเป็นคนยกเตา เราเป็นผู้หญิงร่างใหญ่ค่ะ อวบๆ แข็งแรง ผู้จัดการเคยเห็นว่าเราทำได้ก็ใช้เราทำเกือบสองอาทิตย์เพราะคนเตาไม่อยู่ เข้ารพ.ค่ะ และบอกว่าจะจ้างเราเพิ่มวันละ100บาท เราต้องมาเปิดเตา-ปิดเตา อยู่หน้าเตาร้อนๆ ถ้าไม่ทำก็ไม่มีใครทำค่ะ ขัดตะแกรงที่ดำๆมีคราบจนใสเหมือนใหม่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยในฐานะเด็กผู้หญิงอายุ17ปี ต้องใช้แรงจำนวนมาก และอยู่ในห้องเตาร้อนๆ สุดท้ายเงินที่บอกจะจ้างเราเพิ่ม เราไม่ได้ค่ะ วันไหนขายได้ทะลุเป้าเหนื่อยมากๆ ผู้จัดการเลี้ยงน้ำค่ะ ดีใจมากรีบไปซื้อ สรุปแคะเงินทิปในกล่องทิปมาซื้อให้แบ่งกันทั้งร้าน เราไม่โอเคมากๆ เลยลาออกค่ะ
ร้านที่สองเป็นร้านอาหารญี่ปุ่น เงินเดือนเริ่มต้อน 11000บาท ค่าข้าววันละ 60 บาท ไม่มีทิป ยูนิฟอร์มเสียเงินเอง ชุดกิมโมโน 1100บาท แบ่งจ่ายได้ ทิปไม่มีเพราะบริษัทแจ้งว่าหน้าสาขาทำของเสียหายเป็นจำนวนมาก เลยต้องหักจากทิป เราเข้ามาใหม่ยังงงว่าทำไมถึงหักเรา ทำไมถึงไม่หักเป็นรายคนที่ทำของเสียหาย ทุกวันนี้ยังไม่ได้คำตอบค่ะ จนลาออกแล้ว เราทำครบสามเดือนผ่านโปรเงินเดือนปรับเป็น 12000บาท หักประกันสังคม อยากได้ชุดยูนิฟอร์มเพิ่มก็หักเพิ่มค่ะ เราชอบงานที่ร้านนี้มาก ทำแล้วมีความสุขค่ะ เพื่อนร่วมงานดีทั้งในเวลางานและนอกเวลางาน เราเป็นแคชเชียร์ประจำร้าน ในช่วงโควิด บริษัทไม่ซับพอร์ตพนักงานเท่าที่ควร คือใครที่ไม่สามารถคีย์ออเดอร์ได้ต้องพักงาน และวันหยุดนขัตฤกษ์ไม่สามารถใช้เป็นวันหยุดชดเชยวันหลังได้ ไม่สามารถใช้พักร้อนได้ และไม่จ่ายเงินเดือน ในช่วงพักงาน ในช่วงนั้นคือใครที่มีพักร้อนค้างไว้ ทนอยู่ไม่ได้ก็ออกค่ะ พักร้อนที่ควรจะได้หยุดบริษัทไม่จ่ายคืน ค่าข้าวหักไม่จ่ายค่ะ เหลือแค่12000เปล่าๆ และหักประกันสังคมเรา เพราะเราได้ทำงาน เราเป็นตำแหน่งแคชเชียร์ จะมีค่าประกันเครื่องอยู่แล้วเดือนละ300 สรุปช่วงโควิคทำงานแทบไม่เหลือใช้ เราก็เข้าใจบริษัท แต่พอเปิดร้านได้ ก็ยังไม่สามารถใช้พักร้อนหรือเอ็กตร้าวันหยุดได้ และค่าข้าวก็ยังไม่จ่ายคืนค่ะ เราทนทำไปเพราะกลัวออกแล้วจะไม่มีงาน สรุปแล้วถูกเลื่อนขั้นเป็นซุปเปอร์ไวเซอร์ ที่ปรับเพราะไม่มีคนแล้วค่ะในบริษัท เขาลาออกหมด เราเปลี่ยนยูนิฟอร์มอีก เสียเงินอีกค่ะ จ่ายเอง เงินเดือนเท่าเดิมสามเดือนไม่ขึ้นให้ แต่หน้าที่มากกว่าเดิม3เท่า ความรับผิดชอบเยอะขึ้นมากเป็นเท่าตัว และต้องไปช่วยหลายสาขา ที่สำคัญเบิกค่ารถไม่ได้ค่ะ งงมาก ปกติต้องถ่ายมิตเตอร์ เบิกนะคะ สมัยที่ผู้บริหารแรกๆอยู่ แต่พอหลังๆช่วงโควิต ให้เบิกตามกิโลเมตร กิโลละเท่าไหร่เราจำไม่ได้ แต่เราต้องเดินทางจากปิ่นเกล้า ไปอนุเสาววีย์ ราคาประมาณ 200บาท แต่เบิกได้140 ประมาณนี้เลยค่ะ แล้วให้ไปเกือบทุกวัน งงมากว่ากูจะเอาไร-คะ ตอนนั้นทำงานอยู่ที่ร้าน อยู่ๆโดนสั่งให้ไปช่วยสาขาอื่น ตอนนั้นร้องไห้หนักมาก ตัดสินใจลาออกเลยค่ะ และขอทางฝ่ายทำเงินเดือน ว่าขอใช้เอ็กตร้าและพักร้อนก่อนออกให้หมด ทำได้นับดูก็ประมาณ 1ปี6เดือน
สุดท้ายที่ทำงานปัจจุบัน เป็นร้านอาหารสไตล์ยุโรปค่ะ เราเข้ามาเริ่มใหม่เป็นพนักงานเสิร์ฟเพราะไม่อยากรับผิดชอบอะไรใดๆอีกต่อไป เงินเดือน10000 บาท ค่าข้าววันละ60 และทิปรวม กับเซอร์วิสชารจ์ ร้านนี้ดูเหมือนจะได้เงินเดือนรวมๆมากกว่าร้านอื่นๆที่เราเคยทำมาเลยค่ะ ตอนแรกกดดันมาก เพราะเราไม่เคยทำมาก่อน หัวเดียวกระเทียมลีบ และไม่เก่งภาษาอังกฤษมากๆ ไม่รู้เกี่ยวกับพาสต้าว่ามีเส้นอะไรบ้างหรือแม้กระทั่งระดับความสุกของเนื้อ เราต้องเริ่มเรียนรู้ใหม่ทั้งหมด ยอมรับว่าที่นี้แรกๆซับพอร์ตพนักงานดีมาก ทำงานกดดันบ้าง จู้จี้จุกจิกเยอะมากๆ เพราะไม่มีแม่บ้าน ต้องคอยทำเองทั้งหมด โควิดรอบสองบริษัทให้มาทำงานทุกคน มีข้าวเลี้ยงไม่หักเงินสักบาท หักแค่เซอร์วิสชาร์จเพราะมีบริการแค่เดลิเวอรี่เท่านั้น ปีใหม่มีเลี้ยงประจำปี ทำงานครบปีมีโบนัส 5000บาท แค่ค่าครองชีพแถวที่ทำงานสูงมาก ก๋วยเตี๋ยวพิเศษยังไม่อิ่มเลย ค่าครองชีพขึ้นตามถิ่นฐานนะคะประเทศไทย ราคาแพงมากค่ะ เงินเดือนก็พอใช้บ้างไม่พอใช้บ้าง จนกระทั่งพ่อเราป่วยหนัก เราย้ายมาทำที่นี่พ่อก็เลิกทำงานค่ะ เพราะแกทำไม่ไหว เมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา พ่อเราเสียค่ะเพราะติดเชื้อในกระแสเลือด งานศพบริษัทก็ช่วยค่ะมีดอกไม้พร้อมกับเงิน5000บาท ค่ะ ที่เล่ามาเหมือนมีความสุขดีแล้ว แต่ไม่ค่ะ เราไม่มีเวลาชีวิตเป็นของตัวเอง หลังจากที่พ่อตาย เราได้เห็นอะไรหลายๆอย่างย้อนกลับมา ทำงานที่อื่นที่ผ่านมา เราทำงานแค่8ชั่วโมง มีกะเช้ากะเย็น เบรก2ชั่วโมงค่ะ ผลัดกันวันไหนเลิกไว้ได้กินข้าวกับที่บ้าน เลิกดึกก็ไม่เป็นไรเพราะรอวันผลัดเช้าได้ แต่ที่ทำงานปัจจุบัน เราเข้างาน10.30น. เบรก13.00-15.00น. เลิกงาน22.00น. เข้างานเลิกงานพร้อมกันทุกคน ทำแบบนี้ทุกวันวนลูป ลางานยาก เพราะเกรงใจเพื่อนร่วมงาน หัวหน้างานค่อนข้างไร้เหตุผลเวลาลางาน หากเราบอกไปธุระ ก็จะใช้คำถามว่าธุระอะไร? พอบอกเหตุผลที่จะลา ก็ชอบพูดว่าแกไม่ทำแบบนี้ล่ะ จะได้ไม่ต้องลา ไม่ทำแบบนี้ล่ะ จะได้ไม่ต้องลา ฉันไม่อยากให้คนหยุดซ้อนกันสามคน อะไรประมาณนี้ค่ะ 108เหตุผลแล้วแต่สถานการณ์ ไม่มีเวลาชีวิตเป็นของตัวเองเพราะต้องทำงานทุกวัน หยุดแค่วันเดียวในหนึ่งอาทิตย์ และเฉพาะจันทร์-ศุกร์เท่านั้น หากหยุดเสาร์หรืออาทิตย์ หักเงินทุกกรณี เรารู้สึกไม่แฟร์ตรงที่ เราลาไปงานศพญาติที่ต่างจังหวัด เผาวันเสาร์ เราหยุดวันพฤหัสปกติอยู่แล้ว เลยขอลาศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ เหลือลากิจ3วัน แต่ไม่สามารถใช้ลากิจได้ เพราะหัวหน้างานไม่พูดช่วย และบริษัทไม่ช่วยให้เป็นลากิจ เราจะรู้อนาคตมั้ยคะ ว่าใครจะตายวันไหนต้องมาลาล้วงหน้า สรุปเดือนนั้นหักไปเกือบ2000บาท และลาป่วยทุกกรณีจะต้องมีใบรับรองแพทย์ อันนี้เราไม่รู้ว่าบริษัทอื่นๆเป็นยังไง แต่บริษัทเก่าที่เราเคยทำไม่มีใบรับรองแพทย์ก็สามารถลาได้ หากไม่เกิน30วันต่อปี อันนี้อาจจะขึ้นอยู่กับหัวหน้างานด้วยรึเปล่าเราไม่แน่ใจ สุดท้ายเราทำงานที่นี่รู้สึกเหมือนตัวเองไร้ค่า เพราะเจ้านายเลือกลูกค้า และพูดว่าลูกค้าคือคนที่มาให้เงินเรา เราเข้าใจ แต่ในบางเรื่องที่พนักงานไม่ได้ผิด ลูกค้าวีน เจ้านายจะตำหนิพนักงานเสมอโดยไม่ฟังเหตุผล สุดท้ายก็จะไม่มีใครกล้าพูดอะไรเพราะจะโดนหาว่าเถียง และช่วงนี้เจ้านายจะค่อนข้างเยอะด้วยค่ะ ด่า จับผิดเล็กๆน้อยๆ ทุกคนนะคะ ไม่ใช่แค่เรา
เราไม่มีเวลาชีวิตเป็นของตัวเองเลย เพราะทำงานเลิกดึกทุกวันลูกค้าลุกช้า5ทุ่มเที่ยงคืนไม่มีโอที ตอนนี้เราทำมาปีกว่าเกือบสองปีกับที่ทำงานปัจจุบัน ทำงานหนักมากยกของยกจานหนักๆ รวมถึงโต๊ะและเก้าอี้ด้วยนะคะที่ยก เราเหนื่อยท้อจนพูดไม่ออก ปวดหลังมากๆ แต่ไม่อยากให้แม่เป็นห่วง เราอยากลาออกมากค่ะ อยากไปทำงานโรงงานก็กลัวไม่รอดเพราะเราไม่ชอบทำอะไรเดิมๆหมายถึงจดจ่อกับอะไรซ้ำๆ มันทำให้เราต้องมองเวลาตลอดค่ะ แต่ก็อยากลองดูเพราะเห็นว่าโบนัสเยอะกัน จะไปทำร้านอาหารอื่นก็กลัวจะเจอแบบเดิมๆอีก กลัวจะหมดไฟมาก ตอนนี้ท้อมากค่ะ เหลือกันแค่สองคนแม่ลูก จะลาออกก็ต้องคิดหน้าคิดหลังดีๆ เราจะทำยังได้ดีคะ อยากได้ความเห็นจากเพื่อนๆว่าจะทำยังไงดี ออกไปทำโรงงานหรือร้านอาหารร้านอื่น หรือทนต่อไปกับร้านนี้ เหตุผลหลักๆคือไม่มีเวลาเป็นของตัวเองเลยค่ะ ทำยังไงดีคะ อยากร้องไห้มากๆ หน่วงไปหมดเลย ทั้งเรื่องพ่อทั้งเรื่องงาน
อยากลาออก แต่ไม่รู้จะไปทำอะไรดี ช่วยแลกเปลี่ยนทีค่ะ
เราชื่อ แพรวค่ะ อายุ22ปี เรียนจบแค่ชั้นมอ6 สายศิลป์ภาษา อังกฤษ-ญี่ปุ่น แต่ที่ไม่ได้เรียนต่อมหาลัยเพราะพ่อแม่ไม่มีตังส่งเรียนค่ะ พ่อป่วยเป็นโรคไตเลยคิดว่าออกมาช่วยหาเงินคงจะดีกว่า เราทำงานตั้งแต่อายุ17ค่ะ งานแรกที่ทำคือ พาร์ทไทม์เสิร์ฟอาหารในโรงแรม5ดาว ตอนนั้นเพื่อนฝากเข้าให้ ได้เงินวันละ500บาท เป็นงานที่เหนื่อยมากๆ แต่คุ้มค่าค่ะเพราะเราแทบไม่ได้ใช้ตัง กินฟรีอยู่ฟรีที่โรงแรม
งานที่สองจนถึงปัจจุบันก็ยังเป็นงานเสิร์ฟค่ะ ร้านแรกอยู่ที่ร้านอาหารปิ้งย่างบุฟเฟต์ชื่อดัง เงินเดือนเริ่ม9000 เซอร์วิสชาร์จ 500บาท กับทิป หักประกันสังคม500บาทนะคะ เราทำงานที่นั่นประมาณ 8เดือน ได้โบนัส3000บาทพร้อมกับปรับเงินเดือนเป็น9500 พอครบ1ปีเราก็ขอลาออก เพราะทำงานหนักมากเกินไป จากที่เสิร์ฟอยู่ได้กลายเป็นคนยกเตา เราเป็นผู้หญิงร่างใหญ่ค่ะ อวบๆ แข็งแรง ผู้จัดการเคยเห็นว่าเราทำได้ก็ใช้เราทำเกือบสองอาทิตย์เพราะคนเตาไม่อยู่ เข้ารพ.ค่ะ และบอกว่าจะจ้างเราเพิ่มวันละ100บาท เราต้องมาเปิดเตา-ปิดเตา อยู่หน้าเตาร้อนๆ ถ้าไม่ทำก็ไม่มีใครทำค่ะ ขัดตะแกรงที่ดำๆมีคราบจนใสเหมือนใหม่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยในฐานะเด็กผู้หญิงอายุ17ปี ต้องใช้แรงจำนวนมาก และอยู่ในห้องเตาร้อนๆ สุดท้ายเงินที่บอกจะจ้างเราเพิ่ม เราไม่ได้ค่ะ วันไหนขายได้ทะลุเป้าเหนื่อยมากๆ ผู้จัดการเลี้ยงน้ำค่ะ ดีใจมากรีบไปซื้อ สรุปแคะเงินทิปในกล่องทิปมาซื้อให้แบ่งกันทั้งร้าน เราไม่โอเคมากๆ เลยลาออกค่ะ
ร้านที่สองเป็นร้านอาหารญี่ปุ่น เงินเดือนเริ่มต้อน 11000บาท ค่าข้าววันละ 60 บาท ไม่มีทิป ยูนิฟอร์มเสียเงินเอง ชุดกิมโมโน 1100บาท แบ่งจ่ายได้ ทิปไม่มีเพราะบริษัทแจ้งว่าหน้าสาขาทำของเสียหายเป็นจำนวนมาก เลยต้องหักจากทิป เราเข้ามาใหม่ยังงงว่าทำไมถึงหักเรา ทำไมถึงไม่หักเป็นรายคนที่ทำของเสียหาย ทุกวันนี้ยังไม่ได้คำตอบค่ะ จนลาออกแล้ว เราทำครบสามเดือนผ่านโปรเงินเดือนปรับเป็น 12000บาท หักประกันสังคม อยากได้ชุดยูนิฟอร์มเพิ่มก็หักเพิ่มค่ะ เราชอบงานที่ร้านนี้มาก ทำแล้วมีความสุขค่ะ เพื่อนร่วมงานดีทั้งในเวลางานและนอกเวลางาน เราเป็นแคชเชียร์ประจำร้าน ในช่วงโควิด บริษัทไม่ซับพอร์ตพนักงานเท่าที่ควร คือใครที่ไม่สามารถคีย์ออเดอร์ได้ต้องพักงาน และวันหยุดนขัตฤกษ์ไม่สามารถใช้เป็นวันหยุดชดเชยวันหลังได้ ไม่สามารถใช้พักร้อนได้ และไม่จ่ายเงินเดือน ในช่วงพักงาน ในช่วงนั้นคือใครที่มีพักร้อนค้างไว้ ทนอยู่ไม่ได้ก็ออกค่ะ พักร้อนที่ควรจะได้หยุดบริษัทไม่จ่ายคืน ค่าข้าวหักไม่จ่ายค่ะ เหลือแค่12000เปล่าๆ และหักประกันสังคมเรา เพราะเราได้ทำงาน เราเป็นตำแหน่งแคชเชียร์ จะมีค่าประกันเครื่องอยู่แล้วเดือนละ300 สรุปช่วงโควิคทำงานแทบไม่เหลือใช้ เราก็เข้าใจบริษัท แต่พอเปิดร้านได้ ก็ยังไม่สามารถใช้พักร้อนหรือเอ็กตร้าวันหยุดได้ และค่าข้าวก็ยังไม่จ่ายคืนค่ะ เราทนทำไปเพราะกลัวออกแล้วจะไม่มีงาน สรุปแล้วถูกเลื่อนขั้นเป็นซุปเปอร์ไวเซอร์ ที่ปรับเพราะไม่มีคนแล้วค่ะในบริษัท เขาลาออกหมด เราเปลี่ยนยูนิฟอร์มอีก เสียเงินอีกค่ะ จ่ายเอง เงินเดือนเท่าเดิมสามเดือนไม่ขึ้นให้ แต่หน้าที่มากกว่าเดิม3เท่า ความรับผิดชอบเยอะขึ้นมากเป็นเท่าตัว และต้องไปช่วยหลายสาขา ที่สำคัญเบิกค่ารถไม่ได้ค่ะ งงมาก ปกติต้องถ่ายมิตเตอร์ เบิกนะคะ สมัยที่ผู้บริหารแรกๆอยู่ แต่พอหลังๆช่วงโควิต ให้เบิกตามกิโลเมตร กิโลละเท่าไหร่เราจำไม่ได้ แต่เราต้องเดินทางจากปิ่นเกล้า ไปอนุเสาววีย์ ราคาประมาณ 200บาท แต่เบิกได้140 ประมาณนี้เลยค่ะ แล้วให้ไปเกือบทุกวัน งงมากว่ากูจะเอาไร-คะ ตอนนั้นทำงานอยู่ที่ร้าน อยู่ๆโดนสั่งให้ไปช่วยสาขาอื่น ตอนนั้นร้องไห้หนักมาก ตัดสินใจลาออกเลยค่ะ และขอทางฝ่ายทำเงินเดือน ว่าขอใช้เอ็กตร้าและพักร้อนก่อนออกให้หมด ทำได้นับดูก็ประมาณ 1ปี6เดือน
สุดท้ายที่ทำงานปัจจุบัน เป็นร้านอาหารสไตล์ยุโรปค่ะ เราเข้ามาเริ่มใหม่เป็นพนักงานเสิร์ฟเพราะไม่อยากรับผิดชอบอะไรใดๆอีกต่อไป เงินเดือน10000 บาท ค่าข้าววันละ60 และทิปรวม กับเซอร์วิสชารจ์ ร้านนี้ดูเหมือนจะได้เงินเดือนรวมๆมากกว่าร้านอื่นๆที่เราเคยทำมาเลยค่ะ ตอนแรกกดดันมาก เพราะเราไม่เคยทำมาก่อน หัวเดียวกระเทียมลีบ และไม่เก่งภาษาอังกฤษมากๆ ไม่รู้เกี่ยวกับพาสต้าว่ามีเส้นอะไรบ้างหรือแม้กระทั่งระดับความสุกของเนื้อ เราต้องเริ่มเรียนรู้ใหม่ทั้งหมด ยอมรับว่าที่นี้แรกๆซับพอร์ตพนักงานดีมาก ทำงานกดดันบ้าง จู้จี้จุกจิกเยอะมากๆ เพราะไม่มีแม่บ้าน ต้องคอยทำเองทั้งหมด โควิดรอบสองบริษัทให้มาทำงานทุกคน มีข้าวเลี้ยงไม่หักเงินสักบาท หักแค่เซอร์วิสชาร์จเพราะมีบริการแค่เดลิเวอรี่เท่านั้น ปีใหม่มีเลี้ยงประจำปี ทำงานครบปีมีโบนัส 5000บาท แค่ค่าครองชีพแถวที่ทำงานสูงมาก ก๋วยเตี๋ยวพิเศษยังไม่อิ่มเลย ค่าครองชีพขึ้นตามถิ่นฐานนะคะประเทศไทย ราคาแพงมากค่ะ เงินเดือนก็พอใช้บ้างไม่พอใช้บ้าง จนกระทั่งพ่อเราป่วยหนัก เราย้ายมาทำที่นี่พ่อก็เลิกทำงานค่ะ เพราะแกทำไม่ไหว เมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา พ่อเราเสียค่ะเพราะติดเชื้อในกระแสเลือด งานศพบริษัทก็ช่วยค่ะมีดอกไม้พร้อมกับเงิน5000บาท ค่ะ ที่เล่ามาเหมือนมีความสุขดีแล้ว แต่ไม่ค่ะ เราไม่มีเวลาชีวิตเป็นของตัวเอง หลังจากที่พ่อตาย เราได้เห็นอะไรหลายๆอย่างย้อนกลับมา ทำงานที่อื่นที่ผ่านมา เราทำงานแค่8ชั่วโมง มีกะเช้ากะเย็น เบรก2ชั่วโมงค่ะ ผลัดกันวันไหนเลิกไว้ได้กินข้าวกับที่บ้าน เลิกดึกก็ไม่เป็นไรเพราะรอวันผลัดเช้าได้ แต่ที่ทำงานปัจจุบัน เราเข้างาน10.30น. เบรก13.00-15.00น. เลิกงาน22.00น. เข้างานเลิกงานพร้อมกันทุกคน ทำแบบนี้ทุกวันวนลูป ลางานยาก เพราะเกรงใจเพื่อนร่วมงาน หัวหน้างานค่อนข้างไร้เหตุผลเวลาลางาน หากเราบอกไปธุระ ก็จะใช้คำถามว่าธุระอะไร? พอบอกเหตุผลที่จะลา ก็ชอบพูดว่าแกไม่ทำแบบนี้ล่ะ จะได้ไม่ต้องลา ไม่ทำแบบนี้ล่ะ จะได้ไม่ต้องลา ฉันไม่อยากให้คนหยุดซ้อนกันสามคน อะไรประมาณนี้ค่ะ 108เหตุผลแล้วแต่สถานการณ์ ไม่มีเวลาชีวิตเป็นของตัวเองเพราะต้องทำงานทุกวัน หยุดแค่วันเดียวในหนึ่งอาทิตย์ และเฉพาะจันทร์-ศุกร์เท่านั้น หากหยุดเสาร์หรืออาทิตย์ หักเงินทุกกรณี เรารู้สึกไม่แฟร์ตรงที่ เราลาไปงานศพญาติที่ต่างจังหวัด เผาวันเสาร์ เราหยุดวันพฤหัสปกติอยู่แล้ว เลยขอลาศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ เหลือลากิจ3วัน แต่ไม่สามารถใช้ลากิจได้ เพราะหัวหน้างานไม่พูดช่วย และบริษัทไม่ช่วยให้เป็นลากิจ เราจะรู้อนาคตมั้ยคะ ว่าใครจะตายวันไหนต้องมาลาล้วงหน้า สรุปเดือนนั้นหักไปเกือบ2000บาท และลาป่วยทุกกรณีจะต้องมีใบรับรองแพทย์ อันนี้เราไม่รู้ว่าบริษัทอื่นๆเป็นยังไง แต่บริษัทเก่าที่เราเคยทำไม่มีใบรับรองแพทย์ก็สามารถลาได้ หากไม่เกิน30วันต่อปี อันนี้อาจจะขึ้นอยู่กับหัวหน้างานด้วยรึเปล่าเราไม่แน่ใจ สุดท้ายเราทำงานที่นี่รู้สึกเหมือนตัวเองไร้ค่า เพราะเจ้านายเลือกลูกค้า และพูดว่าลูกค้าคือคนที่มาให้เงินเรา เราเข้าใจ แต่ในบางเรื่องที่พนักงานไม่ได้ผิด ลูกค้าวีน เจ้านายจะตำหนิพนักงานเสมอโดยไม่ฟังเหตุผล สุดท้ายก็จะไม่มีใครกล้าพูดอะไรเพราะจะโดนหาว่าเถียง และช่วงนี้เจ้านายจะค่อนข้างเยอะด้วยค่ะ ด่า จับผิดเล็กๆน้อยๆ ทุกคนนะคะ ไม่ใช่แค่เรา
เราไม่มีเวลาชีวิตเป็นของตัวเองเลย เพราะทำงานเลิกดึกทุกวันลูกค้าลุกช้า5ทุ่มเที่ยงคืนไม่มีโอที ตอนนี้เราทำมาปีกว่าเกือบสองปีกับที่ทำงานปัจจุบัน ทำงานหนักมากยกของยกจานหนักๆ รวมถึงโต๊ะและเก้าอี้ด้วยนะคะที่ยก เราเหนื่อยท้อจนพูดไม่ออก ปวดหลังมากๆ แต่ไม่อยากให้แม่เป็นห่วง เราอยากลาออกมากค่ะ อยากไปทำงานโรงงานก็กลัวไม่รอดเพราะเราไม่ชอบทำอะไรเดิมๆหมายถึงจดจ่อกับอะไรซ้ำๆ มันทำให้เราต้องมองเวลาตลอดค่ะ แต่ก็อยากลองดูเพราะเห็นว่าโบนัสเยอะกัน จะไปทำร้านอาหารอื่นก็กลัวจะเจอแบบเดิมๆอีก กลัวจะหมดไฟมาก ตอนนี้ท้อมากค่ะ เหลือกันแค่สองคนแม่ลูก จะลาออกก็ต้องคิดหน้าคิดหลังดีๆ เราจะทำยังได้ดีคะ อยากได้ความเห็นจากเพื่อนๆว่าจะทำยังไงดี ออกไปทำโรงงานหรือร้านอาหารร้านอื่น หรือทนต่อไปกับร้านนี้ เหตุผลหลักๆคือไม่มีเวลาเป็นของตัวเองเลยค่ะ ทำยังไงดีคะ อยากร้องไห้มากๆ หน่วงไปหมดเลย ทั้งเรื่องพ่อทั้งเรื่องงาน