รับคำท้าฯ
ตอนที่ 56
ปฏิการยกมือตบหลังร่างสั่นเทาในอ้อมแขนเบา ๆ น้ำตาของเธอไหลซึมจนเสื้อของเขาเปียกชื้น จนรู้สึกหนาวไปถึงขั้วหัวใจ เขาเงยหน้ามองเพดานให้น้ำตาลไหลกลับเข้าไปข้างไหน สองแขนกอดเธอไว้แน่นขึ้นอีกให้เธอรับรู้ว่า เขายังอยู่ตรงนี้ อยู่กับเธอเสมอ... ครู่หนึ่งปริมาเริ่มมีสติรู้ตัว และรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น จึงขยับตัวถอยออกมา
เขาจับมือเธอขึ้นมากุมไว้เบา ๆ
“นะปริม ไปทานข้าวกันนะ ปรามจะได้ดีใจ ปริมจะได้มีแรงด้วย เดี๋ยวไม่สบายไปอีกคนจะทำไงล่ะ” เขาขอร้องเธออีกครั้ง เฝ้ารอคอยคำตอบที่เธอจะตอบตกลงไปทานข้าวกับเขาอย่างใจจดใจจ่อ
ปริมาพยักหน้าช้า ๆ พลางยกมือป้ายน้ำตาข้างแก้ม มองหน้าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ทั้งสีหน้า แววตา น้ำเสียง ทุกสัมผัสของผู้ชายคนนี้ เต็มไปด้วยความห่วงใยเธอ นอกจากพี่ปรามแล้ว เขาทำให้เธอรู้สึกว่า เป็นอีกคนหนึ่งที่เป็นห่วงเธอกว่าใคร
ทุกคำพูดของเขาแต่ละคำทำให้เธอได้คิด และจนด้วยเหตุผลที่จะโต้แย้งใด ๆ เธอจะต้องเชื่อมั่นว่าพี่ชายของเธอจะต้องปลอดภัย จะต้องไม่ยอมหมดหวัง จะต้องมีกำลังใจ ตั้งใจว่าต่อไปนี้จะดูแลตัวเอง เพื่อรอวันที่พี่ชายของเธอจะฟื้นขึ้นมาอย่างแน่นอน จะทำหน้าที่ของตัวเองที่ควรทำให้ดีที่สุด
ใช่แล้ว!! ที่เธอมัวทุกข์อยู่นี้ มัวเศร้าโศกอยู่นี้ มันเป็นแค่การคิดไปเองเท่านั้น เหตุการณ์ที่เธอคิดมันอาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้ เธอมัวทุกข์อยู่กับความคิดของตัวเองที่มัวคิดไปเองทั้งนั้น มันไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นเลย การคิดแบบนี้มีแต่ทำให้ตัวเองหมดหวังหมดอาลัยตายอยากอย่างที่เขาว่าจริง ๆ
“ปริม ช่วงนี้ฉันขอไปรับไปส่งปริมนะ ได้มั้ย”
ปริมามองหน้าหนุ่มหน้าหวาน
“ขอบคุณนายมากนะ ฉันรู้…ที่ผ่านมา ฉันทำให้นายเป็นห่วง นายก็มีงาน ไหนจะเรื่องเรียน ไหนจะกิจกรรมของชมรม นายมีเรื่องที่ต้องทำมากอยู่แล้ว อย่าลำบากเลยนะ ฉันสัญญาว่าจะดูแลตัวเอง ไม่ทำให้นายต้องเป็นห่วงอีก”
“ปริมต้องทำให้ฉันเห็นก่อนว่า ปริมเข้มแข็ง ดูแลตัวเองได้ ทำให้ฉันมั่นใจก่อน แต่ตอนนี้ฉันยังไม่เชื่อ ต้องขอเวลาพิสูจน์ก่อนนะ ช่วงนี้ขอไปรับไปส่งก่อนละกัน โอเคนะ” เขาแกล้งทำหน้าเครียด พูดเชิงบังคับอยู่ในที แต่แอบอมยิ้มอยู่ในใจ การที่จะได้สิทธิ์ไปรับไปส่งเธอนั้นมันไม่ใช่ใครจะได้สิทธิ์นี้มาง่าย ๆ เวลานี้เขาต้องรีบคว้าไว้ก่อน
หญิงสาวรู้สึกอับอายขายหน้าเขาเหลือเกิน ที่เอาแต่อ่อนแอ ขี้แยให้เขาเห็น สาวมั่นอย่างเธอยังถูกเขากอดไว้ก่อนหน้านี้อีก รู้สึกตำหนิตัวเองอย่างแรง ที่ไม่เข้มแข็งและไม่เอาไหนเสียเลย
ยัยตัวแสบขยับมือออกจากการกุมไว้ของชายหนุ่ม แต่ถูกเขายึดมือไว้ไม่ยอมคืนให้
“ว่าไงล่ะ” เขารอเธออนุญาต ราวกับว่าถ้าไม่ตอบตกลงจะไม่ยอมปล่อยมือของเธอ
“ก็ได้!! ยุ่งกับชีวิตฉันจังเลย!!” เธอแกล้งบ่นอย่างรำคาญเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกเขินอายที่อยู่ ๆ ก็ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ไม่อาจปฏิเสธความรู้สึกของตัวเองได้เลยว่าตลอดเวลาที่ได้อยู่ใกล้ผู้ชายคนนี้ เธอรู้สึกดี อบอุ่น และสบายใจ ที่สำคัญสายตาของชายหนุ่มที่สบตากับเธอเวลานี้นั้นหวานมาก
ปริมาหลบสายตาของอีกฝ่าย รีบกระชากมือตัวเองคืนมาแล้วเดินหนีไป ก่อนที่เขาจะจับความรู้สึกที่แท้จริงของเธอได้ เดินเลี่ยงไปที่เตียงผู้ป่วยกลางห้อง แล้วกระซิบบอกพี่ชายเบา ๆ
“พี่ปราม…ปริมไปกินข้าวก่อนนะคะ แล้วจะมาเยี่ยมใหม่ คราวหน้าพี่ห้ามนอนหลับแบบอีกนี้นะ ต้องตื่นขึ้นมาพูดคุยกับปริมด้วย ไม่งั้นปริมไม่ยอมด้วยล่ะ”
ปฏิการยิ้มออกอย่างโล่งอกโล่งใจ ที่เห็นเธอดูร่าเริงขึ้น และหวังว่าเธอจะดีขึ้นเรื่อย ๆ ความเป็นห่วงกังวลใจค่อย ๆ เลือนหายไปบางส่วน เขาเองก็อยากให้เพื่อนรักฟื้นขึ้นมาเร็ว ๆ เหลือเกิน แต่ไม่กล้าแสดงความเป็นห่วงกังวลออกมา กลัวว่าจะทำให้น้องสาวเพื่อนรู้สึกแย่มากไปกว่านี้ เขาต้องเข้มแข็งเพื่อเป็นหลัก เป็นที่พึ่ง เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจให้เธอ
*****************
ใต้ร่มไม้หน้าชมรมดนตรี แดดยามสายสะท้อนเงาต้นไม้ใหญ่ทาบลงบนพื้นคอนกรีต ลมพัดเย็นสบาย กระดาษสีขาวยับย่นเล็กน้อยสิบกว่าแผ่นอยู่ในมือชายหนุ่มไหวเล็กน้อย กลางหน้ากระดาษเขียนว่า รายชื่อผู้เข้ารอบในการแข่งขันวงดนตรียอดเยี่ยม ปฏิการพลิกดูรายละเอียดแต่ละหน้าอย่างคร่าว ๆ ก่อนจะปล่อยจิตใจดิ่งจมลงกับเหตุการณ์วันก่อนที่เขาต้องคิดถึงแล้วคิดถึงอีก และไม่รู้สึกเบื่อที่จะคิดถึงเลย…แม้เหตุการณ์นั้นจะผ่านมานานหลายวันแล้วก็ตาม
ปริมาหันมามองทันที ที่เขาเปิดประตูเข้ามาในห้องผู้ป่วย ก่อนจะลุกขึ้นเดินมาหาเขาด้วยรอยยิ้มสดใสของคนมีความสุขเหลือเกิน ประกายสายตาไม่มีความกังวลหม่นหมองฉายอยู่อีกแล้ว รอยยิ้มของเธอทำให้เขาพอจะเดาออกว่า เพราะอะไร?
“การ…พี่ปรามฟื้นแล้วล่ะ!!” เธอบอกเขาด้วยน้ำเสียงดีใจสุดขีด พลางจับมือเขาบีบไว้แน่นอย่างลืมตัว ราวกับเก็บสะสมความรู้สึกดีใจเอาไว้อย่างมากมาย เพื่อรอที่จะบอกกล่าวกับเขาให้รับรู้
“จริงหรอ!!” หนุ่มผมยาวทำหน้าตาตื่นเต้นไม่แพ้กัน แล้วพากันเดินเร็ว ๆ ไปยังเตียงคนไข้ที่อยู่กลางห้อง เขารู้สึกโล่งจิตโล่งใจ เหมือนยกภูเขาหนักอึ้งออกจากอก เหมือนโซ่ตรวนแห่งความกังวลใจถูกปลดออกแล้ว
ต่างคนต่างหันมายิ้มให้กันอย่างดีอกดีใจ เพื่อส่งผ่านความรู้สึกดีดีให้แก่กันและกัน
“พ่อมาตรวจแล้ว บอกว่าสมองไม่มีอะไรกระทบกระเทือนด้วยล่ะ ฉันดีใจที่สุดเลย”
“เห็นมั้ย บอกแล้วว่าปรามจะไม่เป็นอะไร” เขามองเธอยิ้มอย่างมีความสุข ไม่ได้เห็นเธอยิ้มอย่างเต็มยิ้ม ยิ้มออกมาจากหัวใจที่มีความสุขแบบนี้นานแล้ว…นานเหลือเกิน…
เขาอยากขอบคุณเธอที่ให้ความเป็นกันเอง ให้ความสนิทสนม เชื่อใจ ไว้ใจกับเขาขนาดนี้ มองมือของเธอที่จับมือของเขาเอาไว้แน่น อยากให้เราต่างรู้สึกดีดีแบบนี้ต่อกันตลอดไป
มีสิ่งหนึ่งแวบขึ้นมาในจิตใจ และสิ่งนั้นเองบอกกับเขาอย่างมั่นใจและแน่ใจที่สุดว่า เขาค้นพบหัวใจของตัวเองแล้ว และคน ๆ นี้เองที่เขาอยากดูแลเธอตลอดชีวิต ตลอดช่วงเวลาที่เขายังมีลมหายใจอยู่
เขาชอบเธอจริงหรือ? หรือแค่เพียงต้องการเอาชนะเธอเท่านั้น? คำถามที่เธอเคยถามเขาให้กลับไปคิดทบทวนดูให้ดี
ตอนนี้เขารู้คำตอบของคำถามนี้ เขาตอบคำถามนี้ได้แล้ว มีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นในจิตใจ เขารู้ว่า… เขาไม่ได้ชอบเธอแล้วขณะนี้ แต่…เป็นความรู้สึกที่มีมากกว่านั้น…
‘ฉันรักเธอ…ปริมา...’
เขาได้แต่แอบบอกเธออยู่ในใจ เหตุการณ์ที่ผ่านมาสอนเขาว่าเขาควรจะเงียบมากกว่าที่จะต้องบอกความรู้สึก ความต้องการข้างในให้เธอรับรู้ แค่ได้รักเธอแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
เขาไม่รู้ว่าความรักของคนอื่นคืออะไร แต่รู้ว่าความรักของเขาคือ การที่ได้เห็นคนที่เขารักมีความสุข ยิ้มได้ หัวเราะได้ อยากทำให้คนที่เขารักมีความสุข อยากทำให้เฉย ๆ อยากทำให้จริง ๆ แค่อยากทำให้ ไม่คิดว่าต้องได้รับอะไรตอบแทน แค่รู้สึกว่าอยากทำให้รู้สึกดีเท่านั้นเอง
เหมือนเธอจะรู้และสัมผัสความรู้สึกของเขาได้ สายตาของเขาที่มองมาสร้างความหวั่นไหวในหัวใจของเธอไม่น้อยเลย ไม่มีคำพูดใด ๆ แต่รู้สึกเหมือนสายตาของเขาบอกหลายสิ่งหลายอย่างที่มากมายกว่าคำพูด ปริมาหลบสายตาชายหนุ่ม พยายามเก๊กหน้าเรียบเฉย ทำไม่รู้ไม่ชี้ พยายามทำหน้าตาให้ปกติที่สุด รีบถอนมือตัวเองกลับไป แต่ถูกชายหนุ่มรั้งเอาไว้
“นี่!! รู้นะว่าคิดอะไรอยู่” เธอแกล้งทำเสียงเอาเรื่องกลบเกลื่อนความรู้สึกเขินอายที่ปะทุขึ้นมาอีกแล้ว ไม่รู้ทำไมต้องรู้สึกอย่างนี้ด้วยนะ แต่ไม่อาจปกปิดความรู้สึกดังกล่าวได้มิด
“รู้อะไร ไหนลองบอกมาซิ ถ้ารู้ผิดล่ะก้อ…ต้องถูกลงโทษนะ” เขาอมยิ้มยื่นหน้าเข้ามาใกล้แกล้งถาม สายตามองปฏิกิริยาของเธอตลอดเวลา เวลานี้เธอดูน่ารักเหลือเกิน
“ไม่รู้แล้ว ตอนนี้คิดไม่ออก ไปห้องน้ำก่อนนะ” เธอรีบผลุนผลันเดินหนีเข้าห้องน้ำไปหน้าตาเฉย
**********************
รับคำท้า(หัวใจ)ยัยตัวแสบ ตอนที่ 56 ตายล่ะ! แบบนี้! เขาก็รู้ความในใจสิ!
ตอนที่ 56
ปฏิการยกมือตบหลังร่างสั่นเทาในอ้อมแขนเบา ๆ น้ำตาของเธอไหลซึมจนเสื้อของเขาเปียกชื้น จนรู้สึกหนาวไปถึงขั้วหัวใจ เขาเงยหน้ามองเพดานให้น้ำตาลไหลกลับเข้าไปข้างไหน สองแขนกอดเธอไว้แน่นขึ้นอีกให้เธอรับรู้ว่า เขายังอยู่ตรงนี้ อยู่กับเธอเสมอ... ครู่หนึ่งปริมาเริ่มมีสติรู้ตัว และรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น จึงขยับตัวถอยออกมา
เขาจับมือเธอขึ้นมากุมไว้เบา ๆ
“นะปริม ไปทานข้าวกันนะ ปรามจะได้ดีใจ ปริมจะได้มีแรงด้วย เดี๋ยวไม่สบายไปอีกคนจะทำไงล่ะ” เขาขอร้องเธออีกครั้ง เฝ้ารอคอยคำตอบที่เธอจะตอบตกลงไปทานข้าวกับเขาอย่างใจจดใจจ่อ
ปริมาพยักหน้าช้า ๆ พลางยกมือป้ายน้ำตาข้างแก้ม มองหน้าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ทั้งสีหน้า แววตา น้ำเสียง ทุกสัมผัสของผู้ชายคนนี้ เต็มไปด้วยความห่วงใยเธอ นอกจากพี่ปรามแล้ว เขาทำให้เธอรู้สึกว่า เป็นอีกคนหนึ่งที่เป็นห่วงเธอกว่าใคร
ทุกคำพูดของเขาแต่ละคำทำให้เธอได้คิด และจนด้วยเหตุผลที่จะโต้แย้งใด ๆ เธอจะต้องเชื่อมั่นว่าพี่ชายของเธอจะต้องปลอดภัย จะต้องไม่ยอมหมดหวัง จะต้องมีกำลังใจ ตั้งใจว่าต่อไปนี้จะดูแลตัวเอง เพื่อรอวันที่พี่ชายของเธอจะฟื้นขึ้นมาอย่างแน่นอน จะทำหน้าที่ของตัวเองที่ควรทำให้ดีที่สุด
ใช่แล้ว!! ที่เธอมัวทุกข์อยู่นี้ มัวเศร้าโศกอยู่นี้ มันเป็นแค่การคิดไปเองเท่านั้น เหตุการณ์ที่เธอคิดมันอาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้ เธอมัวทุกข์อยู่กับความคิดของตัวเองที่มัวคิดไปเองทั้งนั้น มันไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นเลย การคิดแบบนี้มีแต่ทำให้ตัวเองหมดหวังหมดอาลัยตายอยากอย่างที่เขาว่าจริง ๆ
“ปริม ช่วงนี้ฉันขอไปรับไปส่งปริมนะ ได้มั้ย”
ปริมามองหน้าหนุ่มหน้าหวาน
“ขอบคุณนายมากนะ ฉันรู้…ที่ผ่านมา ฉันทำให้นายเป็นห่วง นายก็มีงาน ไหนจะเรื่องเรียน ไหนจะกิจกรรมของชมรม นายมีเรื่องที่ต้องทำมากอยู่แล้ว อย่าลำบากเลยนะ ฉันสัญญาว่าจะดูแลตัวเอง ไม่ทำให้นายต้องเป็นห่วงอีก”
“ปริมต้องทำให้ฉันเห็นก่อนว่า ปริมเข้มแข็ง ดูแลตัวเองได้ ทำให้ฉันมั่นใจก่อน แต่ตอนนี้ฉันยังไม่เชื่อ ต้องขอเวลาพิสูจน์ก่อนนะ ช่วงนี้ขอไปรับไปส่งก่อนละกัน โอเคนะ” เขาแกล้งทำหน้าเครียด พูดเชิงบังคับอยู่ในที แต่แอบอมยิ้มอยู่ในใจ การที่จะได้สิทธิ์ไปรับไปส่งเธอนั้นมันไม่ใช่ใครจะได้สิทธิ์นี้มาง่าย ๆ เวลานี้เขาต้องรีบคว้าไว้ก่อน
หญิงสาวรู้สึกอับอายขายหน้าเขาเหลือเกิน ที่เอาแต่อ่อนแอ ขี้แยให้เขาเห็น สาวมั่นอย่างเธอยังถูกเขากอดไว้ก่อนหน้านี้อีก รู้สึกตำหนิตัวเองอย่างแรง ที่ไม่เข้มแข็งและไม่เอาไหนเสียเลย
ยัยตัวแสบขยับมือออกจากการกุมไว้ของชายหนุ่ม แต่ถูกเขายึดมือไว้ไม่ยอมคืนให้
“ว่าไงล่ะ” เขารอเธออนุญาต ราวกับว่าถ้าไม่ตอบตกลงจะไม่ยอมปล่อยมือของเธอ
“ก็ได้!! ยุ่งกับชีวิตฉันจังเลย!!” เธอแกล้งบ่นอย่างรำคาญเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกเขินอายที่อยู่ ๆ ก็ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ไม่อาจปฏิเสธความรู้สึกของตัวเองได้เลยว่าตลอดเวลาที่ได้อยู่ใกล้ผู้ชายคนนี้ เธอรู้สึกดี อบอุ่น และสบายใจ ที่สำคัญสายตาของชายหนุ่มที่สบตากับเธอเวลานี้นั้นหวานมาก
ปริมาหลบสายตาของอีกฝ่าย รีบกระชากมือตัวเองคืนมาแล้วเดินหนีไป ก่อนที่เขาจะจับความรู้สึกที่แท้จริงของเธอได้ เดินเลี่ยงไปที่เตียงผู้ป่วยกลางห้อง แล้วกระซิบบอกพี่ชายเบา ๆ
“พี่ปราม…ปริมไปกินข้าวก่อนนะคะ แล้วจะมาเยี่ยมใหม่ คราวหน้าพี่ห้ามนอนหลับแบบอีกนี้นะ ต้องตื่นขึ้นมาพูดคุยกับปริมด้วย ไม่งั้นปริมไม่ยอมด้วยล่ะ”
ปฏิการยิ้มออกอย่างโล่งอกโล่งใจ ที่เห็นเธอดูร่าเริงขึ้น และหวังว่าเธอจะดีขึ้นเรื่อย ๆ ความเป็นห่วงกังวลใจค่อย ๆ เลือนหายไปบางส่วน เขาเองก็อยากให้เพื่อนรักฟื้นขึ้นมาเร็ว ๆ เหลือเกิน แต่ไม่กล้าแสดงความเป็นห่วงกังวลออกมา กลัวว่าจะทำให้น้องสาวเพื่อนรู้สึกแย่มากไปกว่านี้ เขาต้องเข้มแข็งเพื่อเป็นหลัก เป็นที่พึ่ง เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจให้เธอ
*****************
ใต้ร่มไม้หน้าชมรมดนตรี แดดยามสายสะท้อนเงาต้นไม้ใหญ่ทาบลงบนพื้นคอนกรีต ลมพัดเย็นสบาย กระดาษสีขาวยับย่นเล็กน้อยสิบกว่าแผ่นอยู่ในมือชายหนุ่มไหวเล็กน้อย กลางหน้ากระดาษเขียนว่า รายชื่อผู้เข้ารอบในการแข่งขันวงดนตรียอดเยี่ยม ปฏิการพลิกดูรายละเอียดแต่ละหน้าอย่างคร่าว ๆ ก่อนจะปล่อยจิตใจดิ่งจมลงกับเหตุการณ์วันก่อนที่เขาต้องคิดถึงแล้วคิดถึงอีก และไม่รู้สึกเบื่อที่จะคิดถึงเลย…แม้เหตุการณ์นั้นจะผ่านมานานหลายวันแล้วก็ตาม
ปริมาหันมามองทันที ที่เขาเปิดประตูเข้ามาในห้องผู้ป่วย ก่อนจะลุกขึ้นเดินมาหาเขาด้วยรอยยิ้มสดใสของคนมีความสุขเหลือเกิน ประกายสายตาไม่มีความกังวลหม่นหมองฉายอยู่อีกแล้ว รอยยิ้มของเธอทำให้เขาพอจะเดาออกว่า เพราะอะไร?
“การ…พี่ปรามฟื้นแล้วล่ะ!!” เธอบอกเขาด้วยน้ำเสียงดีใจสุดขีด พลางจับมือเขาบีบไว้แน่นอย่างลืมตัว ราวกับเก็บสะสมความรู้สึกดีใจเอาไว้อย่างมากมาย เพื่อรอที่จะบอกกล่าวกับเขาให้รับรู้
“จริงหรอ!!” หนุ่มผมยาวทำหน้าตาตื่นเต้นไม่แพ้กัน แล้วพากันเดินเร็ว ๆ ไปยังเตียงคนไข้ที่อยู่กลางห้อง เขารู้สึกโล่งจิตโล่งใจ เหมือนยกภูเขาหนักอึ้งออกจากอก เหมือนโซ่ตรวนแห่งความกังวลใจถูกปลดออกแล้ว
ต่างคนต่างหันมายิ้มให้กันอย่างดีอกดีใจ เพื่อส่งผ่านความรู้สึกดีดีให้แก่กันและกัน
“พ่อมาตรวจแล้ว บอกว่าสมองไม่มีอะไรกระทบกระเทือนด้วยล่ะ ฉันดีใจที่สุดเลย”
“เห็นมั้ย บอกแล้วว่าปรามจะไม่เป็นอะไร” เขามองเธอยิ้มอย่างมีความสุข ไม่ได้เห็นเธอยิ้มอย่างเต็มยิ้ม ยิ้มออกมาจากหัวใจที่มีความสุขแบบนี้นานแล้ว…นานเหลือเกิน…
เขาอยากขอบคุณเธอที่ให้ความเป็นกันเอง ให้ความสนิทสนม เชื่อใจ ไว้ใจกับเขาขนาดนี้ มองมือของเธอที่จับมือของเขาเอาไว้แน่น อยากให้เราต่างรู้สึกดีดีแบบนี้ต่อกันตลอดไป
มีสิ่งหนึ่งแวบขึ้นมาในจิตใจ และสิ่งนั้นเองบอกกับเขาอย่างมั่นใจและแน่ใจที่สุดว่า เขาค้นพบหัวใจของตัวเองแล้ว และคน ๆ นี้เองที่เขาอยากดูแลเธอตลอดชีวิต ตลอดช่วงเวลาที่เขายังมีลมหายใจอยู่
เขาชอบเธอจริงหรือ? หรือแค่เพียงต้องการเอาชนะเธอเท่านั้น? คำถามที่เธอเคยถามเขาให้กลับไปคิดทบทวนดูให้ดี
ตอนนี้เขารู้คำตอบของคำถามนี้ เขาตอบคำถามนี้ได้แล้ว มีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นในจิตใจ เขารู้ว่า… เขาไม่ได้ชอบเธอแล้วขณะนี้ แต่…เป็นความรู้สึกที่มีมากกว่านั้น…
‘ฉันรักเธอ…ปริมา...’
เขาได้แต่แอบบอกเธออยู่ในใจ เหตุการณ์ที่ผ่านมาสอนเขาว่าเขาควรจะเงียบมากกว่าที่จะต้องบอกความรู้สึก ความต้องการข้างในให้เธอรับรู้ แค่ได้รักเธอแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
เขาไม่รู้ว่าความรักของคนอื่นคืออะไร แต่รู้ว่าความรักของเขาคือ การที่ได้เห็นคนที่เขารักมีความสุข ยิ้มได้ หัวเราะได้ อยากทำให้คนที่เขารักมีความสุข อยากทำให้เฉย ๆ อยากทำให้จริง ๆ แค่อยากทำให้ ไม่คิดว่าต้องได้รับอะไรตอบแทน แค่รู้สึกว่าอยากทำให้รู้สึกดีเท่านั้นเอง
เหมือนเธอจะรู้และสัมผัสความรู้สึกของเขาได้ สายตาของเขาที่มองมาสร้างความหวั่นไหวในหัวใจของเธอไม่น้อยเลย ไม่มีคำพูดใด ๆ แต่รู้สึกเหมือนสายตาของเขาบอกหลายสิ่งหลายอย่างที่มากมายกว่าคำพูด ปริมาหลบสายตาชายหนุ่ม พยายามเก๊กหน้าเรียบเฉย ทำไม่รู้ไม่ชี้ พยายามทำหน้าตาให้ปกติที่สุด รีบถอนมือตัวเองกลับไป แต่ถูกชายหนุ่มรั้งเอาไว้
“นี่!! รู้นะว่าคิดอะไรอยู่” เธอแกล้งทำเสียงเอาเรื่องกลบเกลื่อนความรู้สึกเขินอายที่ปะทุขึ้นมาอีกแล้ว ไม่รู้ทำไมต้องรู้สึกอย่างนี้ด้วยนะ แต่ไม่อาจปกปิดความรู้สึกดังกล่าวได้มิด
“รู้อะไร ไหนลองบอกมาซิ ถ้ารู้ผิดล่ะก้อ…ต้องถูกลงโทษนะ” เขาอมยิ้มยื่นหน้าเข้ามาใกล้แกล้งถาม สายตามองปฏิกิริยาของเธอตลอดเวลา เวลานี้เธอดูน่ารักเหลือเกิน
“ไม่รู้แล้ว ตอนนี้คิดไม่ออก ไปห้องน้ำก่อนนะ” เธอรีบผลุนผลันเดินหนีเข้าห้องน้ำไปหน้าตาเฉย
**********************