รับคำท้า(หัวใจ)ยัยตัวแสบ ตอนที่ 56 ตายล่ะ! แบบนี้! เขาก็รู้ความในใจสิ!

รับคำท้าฯ
ตอนที่ 56  
 
ปฏิการยกมือตบหลังร่างสั่นเทาในอ้อมแขนเบา ๆ  น้ำตาของเธอไหลซึมจนเสื้อของเขาเปียกชื้น จนรู้สึกหนาวไปถึงขั้วหัวใจ  เขาเงยหน้ามองเพดานให้น้ำตาลไหลกลับเข้าไปข้างไหน  สองแขนกอดเธอไว้แน่นขึ้นอีกให้เธอรับรู้ว่า เขายังอยู่ตรงนี้  อยู่กับเธอเสมอ... ครู่หนึ่งปริมาเริ่มมีสติรู้ตัว  และรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น  จึงขยับตัวถอยออกมา  

เขาจับมือเธอขึ้นมากุมไว้เบา ๆ
“นะปริม  ไปทานข้าวกันนะ  ปรามจะได้ดีใจ  ปริมจะได้มีแรงด้วย  เดี๋ยวไม่สบายไปอีกคนจะทำไงล่ะ”  เขาขอร้องเธออีกครั้ง  เฝ้ารอคอยคำตอบที่เธอจะตอบตกลงไปทานข้าวกับเขาอย่างใจจดใจจ่อ

ปริมาพยักหน้าช้า ๆ  พลางยกมือป้ายน้ำตาข้างแก้ม  มองหน้าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า  ทั้งสีหน้า  แววตา  น้ำเสียง  ทุกสัมผัสของผู้ชายคนนี้  เต็มไปด้วยความห่วงใยเธอ  นอกจากพี่ปรามแล้ว  เขาทำให้เธอรู้สึกว่า  เป็นอีกคนหนึ่งที่เป็นห่วงเธอกว่าใคร   

ทุกคำพูดของเขาแต่ละคำทำให้เธอได้คิด  และจนด้วยเหตุผลที่จะโต้แย้งใด ๆ    เธอจะต้องเชื่อมั่นว่าพี่ชายของเธอจะต้องปลอดภัย  จะต้องไม่ยอมหมดหวัง   จะต้องมีกำลังใจ  ตั้งใจว่าต่อไปนี้จะดูแลตัวเอง  เพื่อรอวันที่พี่ชายของเธอจะฟื้นขึ้นมาอย่างแน่นอน   จะทำหน้าที่ของตัวเองที่ควรทำให้ดีที่สุด  
ใช่แล้ว!!  ที่เธอมัวทุกข์อยู่นี้  มัวเศร้าโศกอยู่นี้  มันเป็นแค่การคิดไปเองเท่านั้น   เหตุการณ์ที่เธอคิดมันอาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้  เธอมัวทุกข์อยู่กับความคิดของตัวเองที่มัวคิดไปเองทั้งนั้น   มันไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นเลย  การคิดแบบนี้มีแต่ทำให้ตัวเองหมดหวังหมดอาลัยตายอยากอย่างที่เขาว่าจริง ๆ

“ปริม  ช่วงนี้ฉันขอไปรับไปส่งปริมนะ ได้มั้ย”  

ปริมามองหน้าหนุ่มหน้าหวาน
“ขอบคุณนายมากนะ   ฉันรู้…ที่ผ่านมา  ฉันทำให้นายเป็นห่วง  นายก็มีงาน  ไหนจะเรื่องเรียน  ไหนจะกิจกรรมของชมรม  นายมีเรื่องที่ต้องทำมากอยู่แล้ว  อย่าลำบากเลยนะ  ฉันสัญญาว่าจะดูแลตัวเอง  ไม่ทำให้นายต้องเป็นห่วงอีก”

 “ปริมต้องทำให้ฉันเห็นก่อนว่า  ปริมเข้มแข็ง  ดูแลตัวเองได้  ทำให้ฉันมั่นใจก่อน  แต่ตอนนี้ฉันยังไม่เชื่อ ต้องขอเวลาพิสูจน์ก่อนนะ   ช่วงนี้ขอไปรับไปส่งก่อนละกัน  โอเคนะ”  เขาแกล้งทำหน้าเครียด  พูดเชิงบังคับอยู่ในที  แต่แอบอมยิ้มอยู่ในใจ  การที่จะได้สิทธิ์ไปรับไปส่งเธอนั้นมันไม่ใช่ใครจะได้สิทธิ์นี้มาง่าย ๆ เวลานี้เขาต้องรีบคว้าไว้ก่อน

หญิงสาวรู้สึกอับอายขายหน้าเขาเหลือเกิน  ที่เอาแต่อ่อนแอ  ขี้แยให้เขาเห็น  สาวมั่นอย่างเธอยังถูกเขากอดไว้ก่อนหน้านี้อีก  รู้สึกตำหนิตัวเองอย่างแรง  ที่ไม่เข้มแข็งและไม่เอาไหนเสียเลย

ยัยตัวแสบขยับมือออกจากการกุมไว้ของชายหนุ่ม   แต่ถูกเขายึดมือไว้ไม่ยอมคืนให้

“ว่าไงล่ะ”  เขารอเธออนุญาต  ราวกับว่าถ้าไม่ตอบตกลงจะไม่ยอมปล่อยมือของเธอ

“ก็ได้!!  ยุ่งกับชีวิตฉันจังเลย!!”  เธอแกล้งบ่นอย่างรำคาญเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกเขินอายที่อยู่ ๆ ก็ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้  ไม่อาจปฏิเสธความรู้สึกของตัวเองได้เลยว่าตลอดเวลาที่ได้อยู่ใกล้ผู้ชายคนนี้  เธอรู้สึกดี  อบอุ่น  และสบายใจ  ที่สำคัญสายตาของชายหนุ่มที่สบตากับเธอเวลานี้นั้นหวานมาก

ปริมาหลบสายตาของอีกฝ่าย  รีบกระชากมือตัวเองคืนมาแล้วเดินหนีไป  ก่อนที่เขาจะจับความรู้สึกที่แท้จริงของเธอได้   เดินเลี่ยงไปที่เตียงผู้ป่วยกลางห้อง  แล้วกระซิบบอกพี่ชายเบา ๆ

“พี่ปราม…ปริมไปกินข้าวก่อนนะคะ  แล้วจะมาเยี่ยมใหม่  คราวหน้าพี่ห้ามนอนหลับแบบอีกนี้นะ  ต้องตื่นขึ้นมาพูดคุยกับปริมด้วย   ไม่งั้นปริมไม่ยอมด้วยล่ะ”

ปฏิการยิ้มออกอย่างโล่งอกโล่งใจ  ที่เห็นเธอดูร่าเริงขึ้น  และหวังว่าเธอจะดีขึ้นเรื่อย ๆ  ความเป็นห่วงกังวลใจค่อย ๆ  เลือนหายไปบางส่วน  เขาเองก็อยากให้เพื่อนรักฟื้นขึ้นมาเร็ว ๆ เหลือเกิน  แต่ไม่กล้าแสดงความเป็นห่วงกังวลออกมา  กลัวว่าจะทำให้น้องสาวเพื่อนรู้สึกแย่มากไปกว่านี้  เขาต้องเข้มแข็งเพื่อเป็นหลัก  เป็นที่พึ่ง  เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจให้เธอ
 
*****************
 
ใต้ร่มไม้หน้าชมรมดนตรี  แดดยามสายสะท้อนเงาต้นไม้ใหญ่ทาบลงบนพื้นคอนกรีต   ลมพัดเย็นสบาย  กระดาษสีขาวยับย่นเล็กน้อยสิบกว่าแผ่นอยู่ในมือชายหนุ่มไหวเล็กน้อย  กลางหน้ากระดาษเขียนว่า  รายชื่อผู้เข้ารอบในการแข่งขันวงดนตรียอดเยี่ยม  ปฏิการพลิกดูรายละเอียดแต่ละหน้าอย่างคร่าว ๆ    ก่อนจะปล่อยจิตใจดิ่งจมลงกับเหตุการณ์วันก่อนที่เขาต้องคิดถึงแล้วคิดถึงอีก และไม่รู้สึกเบื่อที่จะคิดถึงเลย…แม้เหตุการณ์นั้นจะผ่านมานานหลายวันแล้วก็ตาม

ปริมาหันมามองทันที  ที่เขาเปิดประตูเข้ามาในห้องผู้ป่วย  ก่อนจะลุกขึ้นเดินมาหาเขาด้วยรอยยิ้มสดใสของคนมีความสุขเหลือเกิน  ประกายสายตาไม่มีความกังวลหม่นหมองฉายอยู่อีกแล้ว   รอยยิ้มของเธอทำให้เขาพอจะเดาออกว่า  เพราะอะไร?

“การ…พี่ปรามฟื้นแล้วล่ะ!!”  เธอบอกเขาด้วยน้ำเสียงดีใจสุดขีด   พลางจับมือเขาบีบไว้แน่นอย่างลืมตัว   ราวกับเก็บสะสมความรู้สึกดีใจเอาไว้อย่างมากมาย  เพื่อรอที่จะบอกกล่าวกับเขาให้รับรู้

“จริงหรอ!!”  หนุ่มผมยาวทำหน้าตาตื่นเต้นไม่แพ้กัน   แล้วพากันเดินเร็ว ๆ ไปยังเตียงคนไข้ที่อยู่กลางห้อง  เขารู้สึกโล่งจิตโล่งใจ  เหมือนยกภูเขาหนักอึ้งออกจากอก  เหมือนโซ่ตรวนแห่งความกังวลใจถูกปลดออกแล้ว

ต่างคนต่างหันมายิ้มให้กันอย่างดีอกดีใจ   เพื่อส่งผ่านความรู้สึกดีดีให้แก่กันและกัน

“พ่อมาตรวจแล้ว  บอกว่าสมองไม่มีอะไรกระทบกระเทือนด้วยล่ะ  ฉันดีใจที่สุดเลย”

“เห็นมั้ย  บอกแล้วว่าปรามจะไม่เป็นอะไร”  เขามองเธอยิ้มอย่างมีความสุข  ไม่ได้เห็นเธอยิ้มอย่างเต็มยิ้ม  ยิ้มออกมาจากหัวใจที่มีความสุขแบบนี้นานแล้ว…นานเหลือเกิน…

เขาอยากขอบคุณเธอที่ให้ความเป็นกันเอง  ให้ความสนิทสนม  เชื่อใจ  ไว้ใจกับเขาขนาดนี้ มองมือของเธอที่จับมือของเขาเอาไว้แน่น  อยากให้เราต่างรู้สึกดีดีแบบนี้ต่อกันตลอดไป

มีสิ่งหนึ่งแวบขึ้นมาในจิตใจ  และสิ่งนั้นเองบอกกับเขาอย่างมั่นใจและแน่ใจที่สุดว่า  เขาค้นพบหัวใจของตัวเองแล้ว  และคน ๆ นี้เองที่เขาอยากดูแลเธอตลอดชีวิต  ตลอดช่วงเวลาที่เขายังมีลมหายใจอยู่  

เขาชอบเธอจริงหรือ?  หรือแค่เพียงต้องการเอาชนะเธอเท่านั้น?  คำถามที่เธอเคยถามเขาให้กลับไปคิดทบทวนดูให้ดี

ตอนนี้เขารู้คำตอบของคำถามนี้  เขาตอบคำถามนี้ได้แล้ว   มีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นในจิตใจ  เขารู้ว่า… เขาไม่ได้ชอบเธอแล้วขณะนี้  แต่…เป็นความรู้สึกที่มีมากกว่านั้น…

‘ฉันรักเธอ…ปริมา...’   

เขาได้แต่แอบบอกเธออยู่ในใจ   เหตุการณ์ที่ผ่านมาสอนเขาว่าเขาควรจะเงียบมากกว่าที่จะต้องบอกความรู้สึก  ความต้องการข้างในให้เธอรับรู้   แค่ได้รักเธอแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

เขาไม่รู้ว่าความรักของคนอื่นคืออะไร  แต่รู้ว่าความรักของเขาคือ  การที่ได้เห็นคนที่เขารักมีความสุข  ยิ้มได้  หัวเราะได้   อยากทำให้คนที่เขารักมีความสุข  อยากทำให้เฉย ๆ  อยากทำให้จริง ๆ แค่อยากทำให้  ไม่คิดว่าต้องได้รับอะไรตอบแทน  แค่รู้สึกว่าอยากทำให้รู้สึกดีเท่านั้นเอง

เหมือนเธอจะรู้และสัมผัสความรู้สึกของเขาได้  สายตาของเขาที่มองมาสร้างความหวั่นไหวในหัวใจของเธอไม่น้อยเลย   ไม่มีคำพูดใด ๆ   แต่รู้สึกเหมือนสายตาของเขาบอกหลายสิ่งหลายอย่างที่มากมายกว่าคำพูด    ปริมาหลบสายตาชายหนุ่ม   พยายามเก๊กหน้าเรียบเฉย  ทำไม่รู้ไม่ชี้   พยายามทำหน้าตาให้ปกติที่สุด  รีบถอนมือตัวเองกลับไป  แต่ถูกชายหนุ่มรั้งเอาไว้

“นี่!!  รู้นะว่าคิดอะไรอยู่”  เธอแกล้งทำเสียงเอาเรื่องกลบเกลื่อนความรู้สึกเขินอายที่ปะทุขึ้นมาอีกแล้ว  ไม่รู้ทำไมต้องรู้สึกอย่างนี้ด้วยนะ  แต่ไม่อาจปกปิดความรู้สึกดังกล่าวได้มิด

“รู้อะไร  ไหนลองบอกมาซิ  ถ้ารู้ผิดล่ะก้อ…ต้องถูกลงโทษนะ”   เขาอมยิ้มยื่นหน้าเข้ามาใกล้แกล้งถาม  สายตามองปฏิกิริยาของเธอตลอดเวลา  เวลานี้เธอดูน่ารักเหลือเกิน

“ไม่รู้แล้ว  ตอนนี้คิดไม่ออก  ไปห้องน้ำก่อนนะ”  เธอรีบผลุนผลันเดินหนีเข้าห้องน้ำไปหน้าตาเฉย
 
**********************
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่