เรื่องราวมันเกิดขึ้น ช่วงที่คุณภากรกับเพื่อนยังเป็นนักศึกษาในมหาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งในย่านหัวหมาก หากเอ่ยชื่อไปใคร ๆ ก็รู้จัก คุณภากรมีเพื่อนสนิทสองคนชื่อ บาส กับ นะโม เป็นคนจังหวัดเดียวกัน มารู้จักมักคุ้นตอนเรียนเลยได้พักอยู่หอพักเดียวกัน ด้วยภาระค่าใช้จ่ายที่มีทำให้ต้องกระเหม็ดกระแหม่ รวมทั้งต้องหาทำงานระหว่างเรียน จะได้ลดค่าใช้จ่ายจากทางบ้าน ภายหลังจากวิ่งช่วยกันหางานอยู่พักใหญ่ ภากรได้งานเป็นเด็กเสิร์ฟในร้านอาหารแห่งหนึ่งย่านพัฒนาการ นะโมได้งานร้านสะดวกซื้อ เหลือแต่บอสที่ยังรองาน วันหนึ่งก็ได้รับการติดต่อมาจากสถานจัดหางาน ให้ไปพบกับตัวแทนผู้ว่าจ้างเพื่อสัมภาษณ์งาน
ชายวัยกลางคนแต่งตัวภูมิฐานมาตั้งโต๊ะรอสัมภาษณ์งานด้วยตัวเอง ชื่อนาย อเนก เป็นทนายความและคนสนิทของคุณนายทองสุขเจ้าของเรือนไทยโบราณ งานที่รับสมัคร คือคนดูแลเรือนไทยและรับเพียงหนึ่งคน คุณสมบัติจะต้องมีความรู้ในเรื่องงานช่างไม้ จะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ ด้านสวัสดิการที่พักกับอาหารให้ บอสสนใจงานนี้เพราะเคยทำงานสร้างบ้านทรงไทยมาก่อน ภากรกับนะโมรีบยุให้สมัครเลย ในเมื่อบอสมีความสามารถทางด้านนี้อยู่แล้ว ทั้งสองคนหวังเพียงจะขออาศัยบ้านพักด้วย เรื่องงานของทั้งสองคนไม่มีสวัสดิการที่พักให้
ค่าตอบแทนคนดูแลเรือนไทยที่แจ้งไว้ค่อนข้างสูงทีเดียว ทำให้มีคนกรูกันไปยื่นใบสมัครกับทนายอเนก ต้องต่อคิวยาวรอสัมภาษณ์กับตรวจเอกสารไปด้วย ผู้สมัครคนแล้วคนเล่า คุณอเนกมีสีหน้าบ่งบอกถึงความไม่ได้ดั่งใจ แม้ว่าจะมีคนหนึ่งมีประสบการณ์อาชีพช่างไม้โดยตรงมานานปี พอมองดูสภาพแล้วน่าจะติดเหล้า ร่างกายทรุดโทรมจึงไม่รับไว้ พอถึงคิวบอส ภากรกับนะโมได้มาสมัครยังติดตามมาลุ้นด้วย ทนายอเนกใช้สายตาเพ่งดูให้ถ้วนถี่ ได้กวักมือเรียกภากรมาสัมภาษณ์แม้ว่าจะไม่ได้ตกลงใจมาสมัครงานนี้แต่แรก ทำเอาเด็กหนุ่มยิ้มแหย ๆ ด้วยไม่คาดคิดมาก่อน
ชายวัยกลางคนมีความพึงพอใจกับรายละเอียดโครงหน้า และรูปร่างว่าใช่คนที่เขากำลังต้องการตัวอย่างแน่นอน ใบสมัครถูกยัดใส่กระเป๋าเอกสาร โดยไม่คิดเปิดดูด้วยซ้ำ
“ตกลง ผมรับพ่อหนุ่มเข้าทำงาน”
“เออ... คือ คือผมไม่ได้มาสมัครงาน เพื่อนผมต่างหากมาสมัครครับ” ภากรเปิดปากพูดอย่างกริ่งเกรง
“ไม่เป็นไร ผมตกลงรับเข้าทำงานทั้งสามคนเลย เริ่มงานวันพรุ่งนี้เลย ไหวไหมพ่อหนุ่ม”
ชายหนุ่มมีท่าทีประดักประเดิด ด้วยไม่คาดคิดจะได้งานทำง่ายถึงเพียงนี้ แม้รู้สึกยินดีแต่อีกใจก็รู้สึกคลางแคลง
“ตะ แต่ว่า... ผมยังเรียนอยู่นะครับ เรียนเฉพาะช่วงเช้า ช่วงบ่ายทำงานได้ครับ ตอนนี้รับงานเป็นเด็กเสิร์ฟ”
ทนายอเนกกลับมีท่าทีผ่อนคลาย พอจัดประเป๋าเสร็จเลยหันมาสนใจกับคนหนุ่มตรงหน้า
“งานแบบนั้นจะได้เงินเท่าไหร่กันเซียว มาทำงานดูแลบ้านเรือนไทยโบราณของคุณนายทองสุขดีกว่า คุณนายใจป้ำให้เดือนละสองหมื่น งานง่าย ๆ ขอแค่มีคนปัดกวาดเช็ดถู คอยตัดหญ้าในสวนก็พอ และงานไม่ได้ทำทุกวัน เวลาว่างอยากไปไหนก็ไป แต่กลางคืนต้องกลับมานอนเฝ้า คอยเปิดไฟให้คนนอกรู้ว่ามีคนอยู่ก็พอ แถวนั้นขโมยมันเยอะ ถ้าได้คนหนุ่มหน่วยก้านดี ๆ มาเฝ้า ขโมยขะโจรมันจะได้เกรง”
เหตุผลของคุณอเนกน้ำหนักไปทางหาคนมาเฝ้าดูแลทรัพย์สินมากกว่าช่างไม้ตามที่ระบุในใบสมัคร ภากรว่าจะออกปากถามอีก ติดที่เพื่อนขัดไว้ และใช้สายตาห้าม งานดูแลบ้านได้เงินเดือนสองหมื่นจะหาที่ไหนได้อีก เป็นอันว่า ภากร นะโม บอส ได้งานเป็นคนดูแลบ้านของคุณยายทองสุขมาอย่างงง ๆ งานเก่าที่ภากรกับนะโมทำอยู่ต้องยกเลิกกะทันหัน
ในวันรุ่งขึ้นคุณอเนกได้นัดมารับไปส่ง ทางเข้าไปบ้านเรือนไทยค่อนข้างซับซ้อนด้วยในละแวกนั้นเป็นบ้านสวน ลึกจากถนนหลวงไปกว่าสองกิโลเมตร พอไปถึงปากซอยก็หักรถจะย้อนกลับ บอกส่งเพียงแค่นี้ก่อน คุณนายโทรมาตามให้ไปรับที่สนามบิน ขอให้คุณภากรกับเพื่อนเดินเข้าไปกันเอง แถวนี้จะมีวินมอเตอร์ไซด์ให้รอเรียกไปส่ง เข้าไปถึงแล้วให้พักบ้านพักคนงานซึ่งตั้งแยกต่างหากจากเรือนไทย พอค่ำให้เปิดไฟเป็นอันจบพักผ่อนได้ ถ้าพบลุงอินอย่าได้ตกใจไป แกเป็นคนเก่าแก่ของคุณนาย ทุกวันจะนำเครื่องเซ่นมาไหว้ศาลพระภูมิเจ้าที่ อย่าไปสุงสิงด้วย แกมาแล้วก็กลับ
ภากรกับเพื่อนได้แต่รับฟังแต่ก็ไม่กล้าถามอะไรมาก พอคุณอเนกสั่งความจบก็บึ่งรถจากไป สามสหายจึงหอบหิ้วสัมภาระเดินเข้าไปในซอย ระหว่างที่เดินได้มองสำรวจไปด้วย
สองฟากเป็นบ้านสวนสลับกับป่าละเมาะ ร่มรื่นจนวังเวง บ้านแต่ละหลังมีใบไม้หล่นลงมาทับถมไหนจะวัชพืชบ่งบอกว่าเป็นบ้านร้าง บ้านที่เคยเป็นร้านสะดวกซื้อ ตู้แช่กระจกแตกยับจากวัยรุ่นมือบอนมาทุบทำลาย นะโมชี้ชวนให้เพื่อนดู บางหลังสภาพดีมาก ขึ้นป้ายขายด่วน ติดราคาไว้ถูกอย่างเหลือเชื่อ ภากรรู้สึกขนลุกเหมือนเข้ามาในหมูบ้านร้าง มีไฟกิ่งบริเวณทางแยกเท่านั้น หากเป็นกลางคืนจะเปลี่ยวมาก
ภากรยังนึกเบาใจที่เห็นวินมอเตอร์ไซด์ขับผ่านมา ได้ขอเบอร์โทรศัพท์ติดต่อไว้เผื่อเรียกให้มารับไปส่งปากทาง พี่วินร่างใหญ่ใจดีหยุดจอดรถมาพูดคุยด้วย บอกให้รอก่อนจะเรียกวินมาช่วยรับ เห็นว่ามีสัมภาระมากันมาก พอรู้ว่าทั้งสามคนจะมาเป็นคนดูแลบ้านของคุณนายทองสุข สีหน้าที่ยิ้มแย้มของพี่วินได้เปลี่ยนไปทันที ภากรเหมือนคิดไปเอง ดวงตาคู่นั้นมันมีแววพรั่นพรึง น้ำเสียงสั่นและเบาค่อย ถามย้ำมาอีกว่าแน่ใจนะจะไปทำงานที่บ้านหลังนั้น
“พวกน้อง ๆ คิดผิดคิดใหม่ได้นะ”
“พี่มีอะไรจะบอกพวกผม บอกได้เลยนะ” บาสเป็นคนพูดจาโผงผาง รู้สึกไม่ชอบใจท่าทีอ้ำอึ้งของอีกฝ่าย
“น้อง ๆ ไปดูก่อนละกัน มันอาจไม่มีอะไรก็ได้” พี่วินตอบแบบปัด ๆ ก่อนถีบคันสตาร์ทบิดคันเร่ง
“เฮ้ย พี่เขาก็บอกแล้วไงไม่มีอะไร พวกแกจะทำหน้าเหมือนกลัวอะไรวะ เงินเดือนเขาก็ให้ออกแพง” บาสพูดปนหวัเราะหวังปลุกกำลังใจเพื่อน
พี่โทนก่อนไป ยังหันมายื่นกระดาษมีเบอร์โทรศัพท์สำหรับติดต่อ
“พี่ชื่อโทนนะ ถ้ามีอะไรก็โทรตามละกัน ดึกดื่นก็โทรได้ แล้วพวกพี่จะรีบมารับ”
พี่วินพูดทิ้งท้ายก่อนจากไป ภากรเป็นคนช่างคิด มันเหมือนมีอะไรที่พูดออกมาไม่หมด บาสเป็นคนง่าย ๆ หัวเราะกับสีหน้าคิดมากของเพื่อน ในเมื่อได้งานทำ มีที่ให้อยู่ที่กินแล้วจะต้องการอะไรอีก ถึงอยู่ซอยลึกไปหน่อย แต่มีวินให้เรียกใช้แม้แต่กลางคืน แล้วทั้งสามคนก็เดินแบกเป้มุ่งหน้าต่อไปใจหนึ่งอยากเดินดูสิ่งแวดล้อมใหม่ จนเห็นชายคาเรือนไทยหลังใหญ่แวดล้อมด้วยแมกไม้เขียวขจี ฝูงนกส่งเสียงประสานแหลมดังมาจากพุ่มใบต้นโพธิ์พุ่มหนาแน่นใบเขียวดก พอมีคนเดินผ่านพวกมันบินหวือไปทั้งฝูง มันคือนกเอี้ยง
ภากรยิ้มได้แถวนี้ให้ความรู้สึกเหมือนบ้านนอกที่เคยอยู่อาศัย มีบ้านหลังหนึ่งเป็นบ้านกึ่งปูนกึ่งไม้ กลางเก่ากลางใหม่ มีรั้วรอบขอบชิดติดเหล็กดัดรอบบ้าน ก่อนถึงบ้านหลังนั้นมีต้นกระท้อนสูงใหญ่กำลังออกผลดก ผิวของมันเหลืองสุกเหมือนผิวพระจันทร์ มีผลหนึ่งตกลงมาพอดีลงบนพงหญ้า บาสคว้าเอามาถูกับขากางเกง กะเอาไปจิ้มกินกับพริกเกลือ มีลุงคนหนึ่งใส่เสื้อหม้อฮ่อมนั่งกินเหล้าบนม้าหินอ่อนหน้าบ้าน แกเอ่ยเสียงดุแม้ไม่ได้หันหน้ามา
“ไอ้หนุ่ม อย่าริอ่านมือไว หยิบฉวยของเขา”
บาสกระตุกยิ้มก่อนยักไหล่
“ตาลุง... พูดกับใครวะ เองรู้มั้ยไอ้กร”
ลุงคนนั้นหันหน้ามา เหนือริมฝีปากมีหนวดมันยั้งขึ้นข้างหนึ่งด้วยนึกหยันคนมาใหม่
“ชิชะ! ข้าพูดกับเอ็งนั่นแหละ จะไปไหนมาไหนไม่รู้จักสำรวม ระวังจะมีเรื่องเดือดร้อนตามมา”
ชายมีอายุค่อนไปทางอาวุโสคนนี้ ท่าทางห้าวเอาเรื่องอยู่ แม้สูงวัยเส้นผมมีหงอก บาสเป็นคนเลือดร้อนจะปรี่เข้าไปถามต่อหน้าจะเอายังไง ติดที่นะโมขวางหน้าไว้ แม้ไม่รู้มันเกิดอะไรขึ้น แต่ใจไม่อยากมีเรื่องกับเจ้าถิ่น
“ขอโทษด้วยนะลุง เพื่อนผมมันใจร้อน ถ้ามีอะไรขัดใจฉันขอแทนมันละกัน”
“เฮอะ ๆ ไอ้เจ้าคนนี้มันฉลาดพูด ทันคน สมกับเป็นนักศึกษา เออวะไม่ถือสาก็ได้” แกกระดกเหล้าเป๊กก่อนหยิบมะขามเปียกใส่ปากดับความขมฉุน ผ้าขาวม้าเคียนเอวเอามาเช็ดปาก “ข้าไปละโว้ย ยังไงคืนนี้พวกเอ็งพอเปิดไฟในสวนเสร็จแล้ว ให้เก็บตัวในห้องพักละกัน จะขี้จะเยี่ยวมีห้องน้ำในตัว อย่าริออกมาเดินข้างนอกละกัน จะได้อยู่กันไปนาน ๆ ”
แกเดินผ่านหน้าคนหนุ่ม เอากระดาษแผ่นหนึ่งยัดใส่มือภากร แล้วขึ้นควบจักรยานปั่นจากไป ทิ้งไว้แต่ความงงงัน
“อ้าว! ลุง คิดจะพูดก็พูด คิดจะไปก็ไป” บาสปากระท้อนลงพื้นถนนอย่างหัวเสีย
พอดีมีหญิงสาวสวมชุดพยาบาลหน้าตาน่ารักเดินออกมาดู เห็นชายหนุ่มหิ้วสัมภาระยืนอยู่หน้าบ้าน เธอรีบตรงเข้ามาทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ช่างแตกต่างจากลงคนแรก
“พวกพี่ ๆ จะมาทำงานเป็นคนดูแลบ้าน ของคุณนายทองสุขใช่ไหมจ๊ะ” ไมตรีแรกของคนละแวกนี้โดยเฉพาะเป็นหญิงสาวด้วยทำเอาหนุ่ม ๆ ยิ้มหน้าบาน
“ใช่แล้วครับน้องสาว เป็นคนที่นี่ใช่ไหม แล้วรู้ได้ไงเรามาทำงานบ้านของคุณนาย” นะโมฉีกยิ้มก่อนตอบ แววตาท่าทางแสดงออกถึงความกรุ้มกริ่ม
“ฉันชื่อ เขมนันท์ เรียกสั้น ๆ ว่าเขมก็ได้ ฉันได้ยินมาจากลุงอิน คนที่นั่งกินเหล้าตรงม้าหินอ่อนเมื่อตะกี้ ฉันดีใจนะจะมีเพื่อนมาอยู่เพิ่ม แถวนี้มันมีบ้านไม่กี่หลัง แถมยังเป็นบ้านไม่มีคนอยู่ด้วย พวกคนรวยซื้อเอาไว้ แต่ไม่มาอยู่” ท้ายเสียงของเธอมีความอึดอัดใจ แม้ใบหน้าเปื้อนยิ้มจากที่ได้พบมิตรใหม่
“อะอ้าว ตาลุงคนตะกี้ คนของคุณนายทองสุข ทำไมไม่ยักบอก”
แล้วนะโมก็แนะนำชื่อของตัวเอง ตามด้วยบาส คนสุดท้ายดูจะนิ่งจนเพื่อนต้องสะกิดคือภากร พยาบาลเขมแก้มนูนมีลักยิ้ม คนนี้หน้าตาดีสุดในกลุ่ม ธรรมดาคนหล่อมักเชิด ๆ หยิ่ง ๆ แต่นิสัยจริง ๆ ของภากรเป็นคนซื่อ ค่อนไปทางทึ่ม ตอนไปมหาลัย มีหญิงมาติดพันหลายคนแต่เลือกปฏิเสธ เลือกจะตั้งหน้าตั้งตาเรียนมากกว่าด้วยเชื่อฟังคำสอนของพ่อแม่ ครู่ต่อมาก็มีหญิงวัยกลางคนสีหน้าท่าทางดุออกมาตาม เขมต้องกลับเข้าไปดูแลคุณยายคำแพง ซึ่งก็เห็นนอนอยู่บนเตียง แกเป็นผู้ป่วยติดเตียง
การแต่งตัวของผู้หญิงวัยกลางคนดูดี ใส่ทองหยอง นะโมเดาเอาว่าเป็นเจ้าของบ้าน แต่ผิดคาดเพราะเป็นน้าของเขม ชื่อน้าลำดวน ทำหน้าที่แม่บ้าน สองน้าหลานดูแลบ้านนี้ พอสังเกตรูปร่างหน้าน้ากับหลานก็ละม้ายกันอยู่
“พ่อหนุ่ม มาอยู่ใหม่ก็ให้ฟังคนเก่าแก่ด้วยนะ ฉันหมายถึงลุงอิน แกมีนิสัยพูดจาไม่เข้าหูคน แต่ก็มากด้วยน้ำใจถ้าพ่อหนุ่มรู้จักเข้าหา จะช่วยได้เยอะ”
“ได้ครับ น้าลำดวน”
น้าลำดวนเอาน้ำดื่มมาให้ นั่งพูดคุยกันตรงม้าหินอ่อนหน้าบ้าน ตัวเดิมที่ลุงอินเคยนั่ง
“แล้วชื่ออะไรบ้างล่ะ”
“ผมนะโมครับ แล้วนี่ไอ้กร อีกคนไอ้บาส”
ภากรรู้สึกหนักใจเรื่องขอลุงอิน เกรงทำให้แกไม่พอใจ
“ว่าแต่ลุงอินไปทางไหนแล้ว รึว่าเข้าไปในบ้านเรือนไทยแล้วครับ”
หญิงมีอายุครางอืม ๆ ในลำคอตอบรับ สายตาก็มองหลังคาอุโบสถที่โผล่ขึ้นมาเหนือยอดไม้ของบ้านสวน
“คงกลับเข้าวัดไปแล้ว เห็นบอกแวะมาเปิดประตูรั้วบ้านคุณนายรอคนงานมาใหม่มานี่แหละ กุญแจเข้าบ้านก็ฝากไว้กับน้าทั้งหมด น้ากับเขมถึงได้รู้ก่อนไงมีคนงานมาอยู่ใหม่ ถึงรั้วบ้านไม่ติดกัน แต่แถวนี้มันเปลี่ยว บ้านนี้แต่ผู้หญิง คุณนพดลกับคุณคำหอม เจ้าของบ้านอาทิตย์หนึ่งถึงจะแวะมาดูบ้านแม่ ยายคำแพงรักบ้านนี้มากไม่ยอมย้าย กว่าจะกลับก็มีคนอาศัยปกติแกจะอยู่ช่วยงานในวัด ทำได้หมดทั้งมัคนายก ทั้งสัปเหร่อเผาผี แต่จะแวะมาดูแลบ้านคุณนายวันละครั้ง นี่ฉันเตือนไว้ก่อนนะถ้าอยากทำงานที่นี่นาน ๆ ไม่อยู่ ๆ ก็หายไปเลยเหมือนคนก่อน ๆ ก็ให้ฟังลุงอินเข้าไว้
“ว่าแต่พอบอกพวกผมได้ไหม บ้านหลังนี้มีประวัติรึเปล่า”
น้าแกหัวเราะเสียงทุ้ม เยือกเย็น สุขุมพอ ๆ กับลุงอิน “บ้านหลังไหนก็มีประวัติทั้งนั้นแหละ ถ้าจะถามเรื่องเคยมีคนตายมั้ย น้าบอกได้เลยว่ามี ดังคำสอนของพระพุทธองค์สอนนาง กีสาโคตรมี ให้ไปหาเมล็ดพันธุ์ผักกาดจากบ้านที่ไม่มีคนตาย แล้วจะชุบชีวิตลูกชายที่ตายไปแล้วให้ นางหาเท่าไหร่ ๆ ก็ไม่เจอ สุดท้ายนางกีสาโคตรมีก็เห็นสัจจธรรมของชีวิต”
บ้านสวนสยอง บทแนะนำ
ชายวัยกลางคนแต่งตัวภูมิฐานมาตั้งโต๊ะรอสัมภาษณ์งานด้วยตัวเอง ชื่อนาย อเนก เป็นทนายความและคนสนิทของคุณนายทองสุขเจ้าของเรือนไทยโบราณ งานที่รับสมัคร คือคนดูแลเรือนไทยและรับเพียงหนึ่งคน คุณสมบัติจะต้องมีความรู้ในเรื่องงานช่างไม้ จะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ ด้านสวัสดิการที่พักกับอาหารให้ บอสสนใจงานนี้เพราะเคยทำงานสร้างบ้านทรงไทยมาก่อน ภากรกับนะโมรีบยุให้สมัครเลย ในเมื่อบอสมีความสามารถทางด้านนี้อยู่แล้ว ทั้งสองคนหวังเพียงจะขออาศัยบ้านพักด้วย เรื่องงานของทั้งสองคนไม่มีสวัสดิการที่พักให้
ค่าตอบแทนคนดูแลเรือนไทยที่แจ้งไว้ค่อนข้างสูงทีเดียว ทำให้มีคนกรูกันไปยื่นใบสมัครกับทนายอเนก ต้องต่อคิวยาวรอสัมภาษณ์กับตรวจเอกสารไปด้วย ผู้สมัครคนแล้วคนเล่า คุณอเนกมีสีหน้าบ่งบอกถึงความไม่ได้ดั่งใจ แม้ว่าจะมีคนหนึ่งมีประสบการณ์อาชีพช่างไม้โดยตรงมานานปี พอมองดูสภาพแล้วน่าจะติดเหล้า ร่างกายทรุดโทรมจึงไม่รับไว้ พอถึงคิวบอส ภากรกับนะโมได้มาสมัครยังติดตามมาลุ้นด้วย ทนายอเนกใช้สายตาเพ่งดูให้ถ้วนถี่ ได้กวักมือเรียกภากรมาสัมภาษณ์แม้ว่าจะไม่ได้ตกลงใจมาสมัครงานนี้แต่แรก ทำเอาเด็กหนุ่มยิ้มแหย ๆ ด้วยไม่คาดคิดมาก่อน
ชายวัยกลางคนมีความพึงพอใจกับรายละเอียดโครงหน้า และรูปร่างว่าใช่คนที่เขากำลังต้องการตัวอย่างแน่นอน ใบสมัครถูกยัดใส่กระเป๋าเอกสาร โดยไม่คิดเปิดดูด้วยซ้ำ
“ตกลง ผมรับพ่อหนุ่มเข้าทำงาน”
“เออ... คือ คือผมไม่ได้มาสมัครงาน เพื่อนผมต่างหากมาสมัครครับ” ภากรเปิดปากพูดอย่างกริ่งเกรง
“ไม่เป็นไร ผมตกลงรับเข้าทำงานทั้งสามคนเลย เริ่มงานวันพรุ่งนี้เลย ไหวไหมพ่อหนุ่ม”
ชายหนุ่มมีท่าทีประดักประเดิด ด้วยไม่คาดคิดจะได้งานทำง่ายถึงเพียงนี้ แม้รู้สึกยินดีแต่อีกใจก็รู้สึกคลางแคลง
“ตะ แต่ว่า... ผมยังเรียนอยู่นะครับ เรียนเฉพาะช่วงเช้า ช่วงบ่ายทำงานได้ครับ ตอนนี้รับงานเป็นเด็กเสิร์ฟ”
ทนายอเนกกลับมีท่าทีผ่อนคลาย พอจัดประเป๋าเสร็จเลยหันมาสนใจกับคนหนุ่มตรงหน้า
“งานแบบนั้นจะได้เงินเท่าไหร่กันเซียว มาทำงานดูแลบ้านเรือนไทยโบราณของคุณนายทองสุขดีกว่า คุณนายใจป้ำให้เดือนละสองหมื่น งานง่าย ๆ ขอแค่มีคนปัดกวาดเช็ดถู คอยตัดหญ้าในสวนก็พอ และงานไม่ได้ทำทุกวัน เวลาว่างอยากไปไหนก็ไป แต่กลางคืนต้องกลับมานอนเฝ้า คอยเปิดไฟให้คนนอกรู้ว่ามีคนอยู่ก็พอ แถวนั้นขโมยมันเยอะ ถ้าได้คนหนุ่มหน่วยก้านดี ๆ มาเฝ้า ขโมยขะโจรมันจะได้เกรง”
เหตุผลของคุณอเนกน้ำหนักไปทางหาคนมาเฝ้าดูแลทรัพย์สินมากกว่าช่างไม้ตามที่ระบุในใบสมัคร ภากรว่าจะออกปากถามอีก ติดที่เพื่อนขัดไว้ และใช้สายตาห้าม งานดูแลบ้านได้เงินเดือนสองหมื่นจะหาที่ไหนได้อีก เป็นอันว่า ภากร นะโม บอส ได้งานเป็นคนดูแลบ้านของคุณยายทองสุขมาอย่างงง ๆ งานเก่าที่ภากรกับนะโมทำอยู่ต้องยกเลิกกะทันหัน
ในวันรุ่งขึ้นคุณอเนกได้นัดมารับไปส่ง ทางเข้าไปบ้านเรือนไทยค่อนข้างซับซ้อนด้วยในละแวกนั้นเป็นบ้านสวน ลึกจากถนนหลวงไปกว่าสองกิโลเมตร พอไปถึงปากซอยก็หักรถจะย้อนกลับ บอกส่งเพียงแค่นี้ก่อน คุณนายโทรมาตามให้ไปรับที่สนามบิน ขอให้คุณภากรกับเพื่อนเดินเข้าไปกันเอง แถวนี้จะมีวินมอเตอร์ไซด์ให้รอเรียกไปส่ง เข้าไปถึงแล้วให้พักบ้านพักคนงานซึ่งตั้งแยกต่างหากจากเรือนไทย พอค่ำให้เปิดไฟเป็นอันจบพักผ่อนได้ ถ้าพบลุงอินอย่าได้ตกใจไป แกเป็นคนเก่าแก่ของคุณนาย ทุกวันจะนำเครื่องเซ่นมาไหว้ศาลพระภูมิเจ้าที่ อย่าไปสุงสิงด้วย แกมาแล้วก็กลับ
ภากรกับเพื่อนได้แต่รับฟังแต่ก็ไม่กล้าถามอะไรมาก พอคุณอเนกสั่งความจบก็บึ่งรถจากไป สามสหายจึงหอบหิ้วสัมภาระเดินเข้าไปในซอย ระหว่างที่เดินได้มองสำรวจไปด้วย
สองฟากเป็นบ้านสวนสลับกับป่าละเมาะ ร่มรื่นจนวังเวง บ้านแต่ละหลังมีใบไม้หล่นลงมาทับถมไหนจะวัชพืชบ่งบอกว่าเป็นบ้านร้าง บ้านที่เคยเป็นร้านสะดวกซื้อ ตู้แช่กระจกแตกยับจากวัยรุ่นมือบอนมาทุบทำลาย นะโมชี้ชวนให้เพื่อนดู บางหลังสภาพดีมาก ขึ้นป้ายขายด่วน ติดราคาไว้ถูกอย่างเหลือเชื่อ ภากรรู้สึกขนลุกเหมือนเข้ามาในหมูบ้านร้าง มีไฟกิ่งบริเวณทางแยกเท่านั้น หากเป็นกลางคืนจะเปลี่ยวมาก
ภากรยังนึกเบาใจที่เห็นวินมอเตอร์ไซด์ขับผ่านมา ได้ขอเบอร์โทรศัพท์ติดต่อไว้เผื่อเรียกให้มารับไปส่งปากทาง พี่วินร่างใหญ่ใจดีหยุดจอดรถมาพูดคุยด้วย บอกให้รอก่อนจะเรียกวินมาช่วยรับ เห็นว่ามีสัมภาระมากันมาก พอรู้ว่าทั้งสามคนจะมาเป็นคนดูแลบ้านของคุณนายทองสุข สีหน้าที่ยิ้มแย้มของพี่วินได้เปลี่ยนไปทันที ภากรเหมือนคิดไปเอง ดวงตาคู่นั้นมันมีแววพรั่นพรึง น้ำเสียงสั่นและเบาค่อย ถามย้ำมาอีกว่าแน่ใจนะจะไปทำงานที่บ้านหลังนั้น
“พวกน้อง ๆ คิดผิดคิดใหม่ได้นะ”
“พี่มีอะไรจะบอกพวกผม บอกได้เลยนะ” บาสเป็นคนพูดจาโผงผาง รู้สึกไม่ชอบใจท่าทีอ้ำอึ้งของอีกฝ่าย
“น้อง ๆ ไปดูก่อนละกัน มันอาจไม่มีอะไรก็ได้” พี่วินตอบแบบปัด ๆ ก่อนถีบคันสตาร์ทบิดคันเร่ง
“เฮ้ย พี่เขาก็บอกแล้วไงไม่มีอะไร พวกแกจะทำหน้าเหมือนกลัวอะไรวะ เงินเดือนเขาก็ให้ออกแพง” บาสพูดปนหวัเราะหวังปลุกกำลังใจเพื่อน
พี่โทนก่อนไป ยังหันมายื่นกระดาษมีเบอร์โทรศัพท์สำหรับติดต่อ
“พี่ชื่อโทนนะ ถ้ามีอะไรก็โทรตามละกัน ดึกดื่นก็โทรได้ แล้วพวกพี่จะรีบมารับ”
พี่วินพูดทิ้งท้ายก่อนจากไป ภากรเป็นคนช่างคิด มันเหมือนมีอะไรที่พูดออกมาไม่หมด บาสเป็นคนง่าย ๆ หัวเราะกับสีหน้าคิดมากของเพื่อน ในเมื่อได้งานทำ มีที่ให้อยู่ที่กินแล้วจะต้องการอะไรอีก ถึงอยู่ซอยลึกไปหน่อย แต่มีวินให้เรียกใช้แม้แต่กลางคืน แล้วทั้งสามคนก็เดินแบกเป้มุ่งหน้าต่อไปใจหนึ่งอยากเดินดูสิ่งแวดล้อมใหม่ จนเห็นชายคาเรือนไทยหลังใหญ่แวดล้อมด้วยแมกไม้เขียวขจี ฝูงนกส่งเสียงประสานแหลมดังมาจากพุ่มใบต้นโพธิ์พุ่มหนาแน่นใบเขียวดก พอมีคนเดินผ่านพวกมันบินหวือไปทั้งฝูง มันคือนกเอี้ยง
ภากรยิ้มได้แถวนี้ให้ความรู้สึกเหมือนบ้านนอกที่เคยอยู่อาศัย มีบ้านหลังหนึ่งเป็นบ้านกึ่งปูนกึ่งไม้ กลางเก่ากลางใหม่ มีรั้วรอบขอบชิดติดเหล็กดัดรอบบ้าน ก่อนถึงบ้านหลังนั้นมีต้นกระท้อนสูงใหญ่กำลังออกผลดก ผิวของมันเหลืองสุกเหมือนผิวพระจันทร์ มีผลหนึ่งตกลงมาพอดีลงบนพงหญ้า บาสคว้าเอามาถูกับขากางเกง กะเอาไปจิ้มกินกับพริกเกลือ มีลุงคนหนึ่งใส่เสื้อหม้อฮ่อมนั่งกินเหล้าบนม้าหินอ่อนหน้าบ้าน แกเอ่ยเสียงดุแม้ไม่ได้หันหน้ามา
“ไอ้หนุ่ม อย่าริอ่านมือไว หยิบฉวยของเขา”
บาสกระตุกยิ้มก่อนยักไหล่
“ตาลุง... พูดกับใครวะ เองรู้มั้ยไอ้กร”
ลุงคนนั้นหันหน้ามา เหนือริมฝีปากมีหนวดมันยั้งขึ้นข้างหนึ่งด้วยนึกหยันคนมาใหม่
“ชิชะ! ข้าพูดกับเอ็งนั่นแหละ จะไปไหนมาไหนไม่รู้จักสำรวม ระวังจะมีเรื่องเดือดร้อนตามมา”
ชายมีอายุค่อนไปทางอาวุโสคนนี้ ท่าทางห้าวเอาเรื่องอยู่ แม้สูงวัยเส้นผมมีหงอก บาสเป็นคนเลือดร้อนจะปรี่เข้าไปถามต่อหน้าจะเอายังไง ติดที่นะโมขวางหน้าไว้ แม้ไม่รู้มันเกิดอะไรขึ้น แต่ใจไม่อยากมีเรื่องกับเจ้าถิ่น
“ขอโทษด้วยนะลุง เพื่อนผมมันใจร้อน ถ้ามีอะไรขัดใจฉันขอแทนมันละกัน”
“เฮอะ ๆ ไอ้เจ้าคนนี้มันฉลาดพูด ทันคน สมกับเป็นนักศึกษา เออวะไม่ถือสาก็ได้” แกกระดกเหล้าเป๊กก่อนหยิบมะขามเปียกใส่ปากดับความขมฉุน ผ้าขาวม้าเคียนเอวเอามาเช็ดปาก “ข้าไปละโว้ย ยังไงคืนนี้พวกเอ็งพอเปิดไฟในสวนเสร็จแล้ว ให้เก็บตัวในห้องพักละกัน จะขี้จะเยี่ยวมีห้องน้ำในตัว อย่าริออกมาเดินข้างนอกละกัน จะได้อยู่กันไปนาน ๆ ”
แกเดินผ่านหน้าคนหนุ่ม เอากระดาษแผ่นหนึ่งยัดใส่มือภากร แล้วขึ้นควบจักรยานปั่นจากไป ทิ้งไว้แต่ความงงงัน
“อ้าว! ลุง คิดจะพูดก็พูด คิดจะไปก็ไป” บาสปากระท้อนลงพื้นถนนอย่างหัวเสีย
พอดีมีหญิงสาวสวมชุดพยาบาลหน้าตาน่ารักเดินออกมาดู เห็นชายหนุ่มหิ้วสัมภาระยืนอยู่หน้าบ้าน เธอรีบตรงเข้ามาทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ช่างแตกต่างจากลงคนแรก
“พวกพี่ ๆ จะมาทำงานเป็นคนดูแลบ้าน ของคุณนายทองสุขใช่ไหมจ๊ะ” ไมตรีแรกของคนละแวกนี้โดยเฉพาะเป็นหญิงสาวด้วยทำเอาหนุ่ม ๆ ยิ้มหน้าบาน
“ใช่แล้วครับน้องสาว เป็นคนที่นี่ใช่ไหม แล้วรู้ได้ไงเรามาทำงานบ้านของคุณนาย” นะโมฉีกยิ้มก่อนตอบ แววตาท่าทางแสดงออกถึงความกรุ้มกริ่ม
“ฉันชื่อ เขมนันท์ เรียกสั้น ๆ ว่าเขมก็ได้ ฉันได้ยินมาจากลุงอิน คนที่นั่งกินเหล้าตรงม้าหินอ่อนเมื่อตะกี้ ฉันดีใจนะจะมีเพื่อนมาอยู่เพิ่ม แถวนี้มันมีบ้านไม่กี่หลัง แถมยังเป็นบ้านไม่มีคนอยู่ด้วย พวกคนรวยซื้อเอาไว้ แต่ไม่มาอยู่” ท้ายเสียงของเธอมีความอึดอัดใจ แม้ใบหน้าเปื้อนยิ้มจากที่ได้พบมิตรใหม่
“อะอ้าว ตาลุงคนตะกี้ คนของคุณนายทองสุข ทำไมไม่ยักบอก”
แล้วนะโมก็แนะนำชื่อของตัวเอง ตามด้วยบาส คนสุดท้ายดูจะนิ่งจนเพื่อนต้องสะกิดคือภากร พยาบาลเขมแก้มนูนมีลักยิ้ม คนนี้หน้าตาดีสุดในกลุ่ม ธรรมดาคนหล่อมักเชิด ๆ หยิ่ง ๆ แต่นิสัยจริง ๆ ของภากรเป็นคนซื่อ ค่อนไปทางทึ่ม ตอนไปมหาลัย มีหญิงมาติดพันหลายคนแต่เลือกปฏิเสธ เลือกจะตั้งหน้าตั้งตาเรียนมากกว่าด้วยเชื่อฟังคำสอนของพ่อแม่ ครู่ต่อมาก็มีหญิงวัยกลางคนสีหน้าท่าทางดุออกมาตาม เขมต้องกลับเข้าไปดูแลคุณยายคำแพง ซึ่งก็เห็นนอนอยู่บนเตียง แกเป็นผู้ป่วยติดเตียง
การแต่งตัวของผู้หญิงวัยกลางคนดูดี ใส่ทองหยอง นะโมเดาเอาว่าเป็นเจ้าของบ้าน แต่ผิดคาดเพราะเป็นน้าของเขม ชื่อน้าลำดวน ทำหน้าที่แม่บ้าน สองน้าหลานดูแลบ้านนี้ พอสังเกตรูปร่างหน้าน้ากับหลานก็ละม้ายกันอยู่
“พ่อหนุ่ม มาอยู่ใหม่ก็ให้ฟังคนเก่าแก่ด้วยนะ ฉันหมายถึงลุงอิน แกมีนิสัยพูดจาไม่เข้าหูคน แต่ก็มากด้วยน้ำใจถ้าพ่อหนุ่มรู้จักเข้าหา จะช่วยได้เยอะ”
“ได้ครับ น้าลำดวน”
น้าลำดวนเอาน้ำดื่มมาให้ นั่งพูดคุยกันตรงม้าหินอ่อนหน้าบ้าน ตัวเดิมที่ลุงอินเคยนั่ง
“แล้วชื่ออะไรบ้างล่ะ”
“ผมนะโมครับ แล้วนี่ไอ้กร อีกคนไอ้บาส”
ภากรรู้สึกหนักใจเรื่องขอลุงอิน เกรงทำให้แกไม่พอใจ
“ว่าแต่ลุงอินไปทางไหนแล้ว รึว่าเข้าไปในบ้านเรือนไทยแล้วครับ”
หญิงมีอายุครางอืม ๆ ในลำคอตอบรับ สายตาก็มองหลังคาอุโบสถที่โผล่ขึ้นมาเหนือยอดไม้ของบ้านสวน
“คงกลับเข้าวัดไปแล้ว เห็นบอกแวะมาเปิดประตูรั้วบ้านคุณนายรอคนงานมาใหม่มานี่แหละ กุญแจเข้าบ้านก็ฝากไว้กับน้าทั้งหมด น้ากับเขมถึงได้รู้ก่อนไงมีคนงานมาอยู่ใหม่ ถึงรั้วบ้านไม่ติดกัน แต่แถวนี้มันเปลี่ยว บ้านนี้แต่ผู้หญิง คุณนพดลกับคุณคำหอม เจ้าของบ้านอาทิตย์หนึ่งถึงจะแวะมาดูบ้านแม่ ยายคำแพงรักบ้านนี้มากไม่ยอมย้าย กว่าจะกลับก็มีคนอาศัยปกติแกจะอยู่ช่วยงานในวัด ทำได้หมดทั้งมัคนายก ทั้งสัปเหร่อเผาผี แต่จะแวะมาดูแลบ้านคุณนายวันละครั้ง นี่ฉันเตือนไว้ก่อนนะถ้าอยากทำงานที่นี่นาน ๆ ไม่อยู่ ๆ ก็หายไปเลยเหมือนคนก่อน ๆ ก็ให้ฟังลุงอินเข้าไว้
“ว่าแต่พอบอกพวกผมได้ไหม บ้านหลังนี้มีประวัติรึเปล่า”
น้าแกหัวเราะเสียงทุ้ม เยือกเย็น สุขุมพอ ๆ กับลุงอิน “บ้านหลังไหนก็มีประวัติทั้งนั้นแหละ ถ้าจะถามเรื่องเคยมีคนตายมั้ย น้าบอกได้เลยว่ามี ดังคำสอนของพระพุทธองค์สอนนาง กีสาโคตรมี ให้ไปหาเมล็ดพันธุ์ผักกาดจากบ้านที่ไม่มีคนตาย แล้วจะชุบชีวิตลูกชายที่ตายไปแล้วให้ นางหาเท่าไหร่ ๆ ก็ไม่เจอ สุดท้ายนางกีสาโคตรมีก็เห็นสัจจธรรมของชีวิต”