ฝากไข่ ฝากสเปิร์ม ทางเลือกสำหรับใคร?
ด้วยสภาพสังคมและเศรษฐกิจในปัจจุบัน ส่งผลให้คนยุคใหม่แต่งงานช้าลง ทำให้แม้จะอยากมีลูก แต่หลายคู่ก็ต้องเผชิญกับภาวะการมีบุตรยากมากขึ้น
ภาวะการมีบุตรยากนั้น หมายถึง การที่คู่สมรสมีเพศสัมพันธ์ตามปกติสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง โดยที่ไม่ได้คุมกำเนิด แต่ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ภายใน 1 ปี ซึ่งในประเทศไทยมีประมาณ 10-12% นอกจากโอกาสการตั้งครรภ์ที่น้อยลงแล้ว การตั้งครรภ์ของคุณแม่ที่อายุมากกว่า 35 ปี ยังเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดความผิดปกติในเด็กมากขึ้น เนื่องจากคุณภาพของไข่ที่ตกต่ำลง
แต่ปัจจุบันมีเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ช่วยให้ผู้หญิงสามารถฝากไข่ได้ 😀 ดังนั้น แม้จะแต่งงานตอนที่อายุมาก แต่ก็ยังสามารถมีบุตรได้ ส่วนขั้นตอนของการฝากไข่ การเตรียมความพร้อมและผลกระทบของการฝากไข่จะมีอะไรบ้าง ตามพี่หมอไปดูได้เลยครับ
การฝากไข่สำหรับผู้หญิง
คือการนำเซลล์สืบพันธุ์ของผู้หญิงที่เรียกว่าเซลล์ไข่ที่มีความสมบูรณ์ แข็งแรง และมีคุณภาพดีไปแช่แข็งในอุณหภูมิต่ำกว่า -190 องศาเซลเซียส การฝากไข่จะช่วยลดความเสี่ยงความผิดปกติของโครโมโซม ซึ่งเมื่อนำไข่ออกมาละลาย คุณภาพไข่จะยังคงเท่าเดิมเหมือนตอนเก็บ ทั้งนี้สามารถเก็บไข่ได้ครั้งละมากกว่า 1 ฟอง เพื่อเลือกไข่ที่มีคุณภาพดีที่สุดมาทำการปฏิสนธิ
การฝากไข่เหมาะกับใคร 👩
✅ ผู้หญิงที่อายุน้อยกว่า 35 ปี ที่วางแผนจะมีบุตรเมื่อพร้อม
✅ ผู้หญิงที่เป็นโรครุนแรง และต้องใช้ยาในปริมาณมาก หรือรับเคมีบำบัด ซึ่งจะมีผลกับไข่ ดังนั้น การเก็บไข่ไว้ก่อนจะช่วยให้ไข่ไม่ได้รับผลกระทบจากยาและกระบวนการที่ใช้รักษา
✅ ผู้หญิงที่แต่งงานมีลูกแล้ว หรือต้องการมีลูกอีกเมื่ออายุมากขึ้น
การเตรียมความพร้อมก่อนฝากไข่
ก่อนฝากไข่ ควรเตรียมร่างกายให้พร้อมและเข้ารับการตรวจร่างกาย เพื่อดูความผิดปกติของอวัยวะสืบพันธุ์ เช่น รังไข่ มดลูก และตรวจหาโรคติดเชื้อต่างๆ เช่น เอดส์ ซิฟิลิส ไวรัสตับอักเสบบี และตรวจฮอร์โมนให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
ขั้นตอนการฝากไข่
เมื่อร่างกายพร้อมแล้ว แพทย์จะทำการฉีดยากระตุ้นไข่ทุกวัน โดยเฉลี่ย 9-11 วัน จากนั้นติดตามผลและตรวจดูขนาดของถุงน้ำของรังไข่ด้วยการอัลตร้าซาวน์และเจาะเลือด จนถึงขั้นตอนการเก็บไข่ในระยะเวลาก่อนไข่ตก กระบวนการดูดไข่ต้องวางยาสลบ ซึ่งต้องนอนที่โรงพยาบาลเพื่อให้น้ำเกลือ รวมถึงงดน้ำ งดอาหาร ประมาณ 8 ชม. หลังจากวางยาสลบ ขั้นตอนการเก็บไข่จะใช้เวลาเพียง 20-30 นาที และรอสังเกตอาการประมาณ 2 ชม. ก็สามารถกลับบ้านได้
หลังจากนั้น แพทย์จะทำการคัดเลือกไข่จากน้ำที่ดูดออกมาจากถุงรังไข่ แล้วรีบนำไปแช่แข็งด้วยกระบวนการลดอุณหภูมิอย่างรวดเร็ว (Vitrification) ในอุณหภูมิ -18 องศาเซลเซียส ภายใน 1 ชม. หลังดูดไข่ออกมา จากนั้นจึงย้ายไปแช่ในถังบบรจุไนโตรเจนเหลวซึ่งมีอุณหภูมิอยู่ที่ -190 องศาเซลเซียส ซึ่งไข่ที่แช่แข็งสามารถเก็บได้นานกว่า 50 ปี และยังคงคุณภาพเหมือนเดิม โดยสามารถเก็บไข่ได้สูงสุดถึง 25 ฟองในครั้งเดียว
ผลกระทบหลังการเก็บไข่
นอกจากบาดแผลจากเข็มที่แทงเข้าร่างกายเพื่อเก็บไข่ที่มีขนาดเล็กมาก คนไข้อาจมีเลือดออกในรังไข่ ซึ่งจะส่งผลให้ปวดท้องประมาณ 1-2 วัน โดยไม่มีอาการรุนแรงใดๆ
ดังนั้น หลังเก็บไข่จึงควรพักผ่อน งดการใช้แรงและการเดิน โดยประจำเดือนจะกลับมาปกติอีกครั้งหลังเก็บไข่ประมาณ 14 วัน ทั้งนี้ หากเก็บไข่ได้จำนวนมากจากการกระตุ้นไข่ อาจส่งผลให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงขึ้นมากกว่าปกติ ทำให้มีอาการคัดเต้านม บวมน้ำ ขาบวม น้ำหนักขึ้น น้ำท่วมปอด ไตวาย หัวใจวาย ซึ่งหากมีอาการผิดปกติดังกล่าว ควรรีบไปพบแพทย์ทันที อย่างไรก็ตาม ผลข้างเคียงนี้จะเกิดขึ้นก่อนช่วงมีประจำเดือน เมื่อประจำเดือนกลับมาปกติ อาการต่างๆ จะหายไป เนื่องจากระดับของฮอร์โมนกลับเป็นปกติ
ขั้นตอนการนำไข่ที่ฝากมาใช้
การนำไข่ที่แช่แข็งมาเข้าสู่กระบวนการทำเด็กหลอดแก้ว (Intra Cytoplasmic Sperm Injection : ICSI) ตามกฎหมายไทยกำหนดว่า ต้องเป็นคู่สมรสที่แต่งงานและจดทะเบียนสมรสกันเท่านั้น โดยเมื่อละลายไข่ในอุณหภูมิปกติแล้ว จะนำไปปฏิสนธิกับอสุจิของคู่สมรสภายใน 2 ชม. หลังจากนั้น 5 วันจึงย้ายตัวอ่อนเข้าสู่โพรงมดลูก ซึ่งโดยปกติแล้วขั้นตอนนี้จะใช้เวลาประมาณ 30 นาที
สำหรับผู้ชายก็สามารถฝากสเปิร์มได้เช่นกันนะครับ เพราะถึงแม้ผู้ชายจะไม่มีปัญหาเรื่องการมีบุตรยากเหมือนผู้หญิง เนื่องจากสามารถผลิตอสุจิได้ตลอดชีวิต แต่เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายก็จะผลิตอสุจิได้น้อยลง ดังนั้น ถ้าต้องการวางแผนการมีบุตรล่วงหน้า การฝากสเปิร์มก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจเช่นกัน ส่วนขั้นตอนและรายละเอียดจะมีอะไรบ้าง พี่หมอมีมาฝากกันด้วยครับ
การฝากสเปิร์มสำหรับผู้ชาย
การนำสเปิร์มจากน้ำอสุจิของผู้ชายไปแช่แข็งใช้กระบวนการเดียวกับการแช่แข็งไข่ของผู้หญิง เพียงแต่มีขั้นตอนที่ง่ายกว่า โดยเมื่อได้อสุจิจากผู้ชาย แพทย์จะนำไปคัดเลือกสเปิร์มใส่หลอด ซึ่งสามารถเก็บได้ครั้งละมากกว่าล้านตัว แล้วนำไปแช่แข็งในกระบวนการลดอุณหภูมิอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงนำไปเก็บในอุณหภูมิ -190 องศาเซลเซียส
การฝากสเปิร์มเหมาะกับใคร 👨
✅ ผู้ชายที่วางแผนจะมีบุตรเมื่อพร้อม แม้ผู้ชายจะสามารถผลิตสเปิร์มได้ตลอดชีวิต แต่เมื่ออายุมากขึ้น การสร้างสเปิร์มจะลดน้อยลง รวมถึงความแข็งแรงของสเปิร์มก็จะน้อยลงเช่นเดียวกัน
✅ ผู้ชายที่วางแผนจะทำหมัน หากเก็บสเปิร์มไว้ก่อนทำหมัน ในอนาคตเมื่อต้องการมีบุตรก็ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดแก้หมัน โดยสามารถใช้สเปิร์มที่เก็บไว้มาปฏิสนธิกับไข่ของคู่สมรสได้ทันที
✅ ผู้ชายที่เป็นโรคที่ต้องใช้ยา หรือรังสีในการรักษาโรค ซึ่งอาจส่งผลต่อความแข็งแรงของสเปิร์ม
การเตรียมความพร้อมก่อนฝากสเปิร์ม
ควรดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง และไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาโรคติดเชื้อต่างๆ เช่น เอดส์ ซิฟิลิส ไวรัสตับอักเสบบี เมื่อถึงวันนัด แพทย์จะให้หลั่งอสุจิออกมาตามธรรมชาติด้วยวิธีสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง จากนั้นจึงเก็บน้ำอสุจิที่มีสเปิร์มไว้ในหลอด แล้วนำเข้าสู่กระบวนการแช่แข็ง
เมื่อต้องการมีบุตร แพทย์จะนำสเปิร์มมาละลายในอุณหภูมิห้อง เลือกสเปิร์มตัวที่มีความแข็งแรงและคุณภาพดี นำไปผสมกับไข่ของคู่สมรส เพื่อเข้าสู่กระบวนการทำเด็กหลอดแก้วต่อไป (ซึ่งขณะนั้นคู่แต่งงานต้องจดทะเบียนสมรสแล้ว)
การแช่แข็งสเปิร์มสามารถคงคุณภาพได้เท่ากับวันที่นำออกมาจากร่างกาย และสามารถเก็บได้นานกว่า 50 ปี หรือจนกว่าผู้เก็บสเปิร์มจะต้องการนำมาใช้เพื่อมีบุตร
ข้อจำกัดที่ไม่สามารถฝากไข่หรือสเปิร์มได้
การฝากไข่หรือสเปิร์มจะมีข้อจำกัดในผู้หญิงหรือผู้ชายที่มีปัญหาโครโมโซมผิดปกติ และผู้ที่มีโรคถ่ายทอดทางพันธุกรรมต่างๆ เช่น ดาวน์ซินโดรม รวมถึงผู้ที่เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
การฝากไข่ ฝากสเปิร์ม เป็นทางเลือกที่ดีในการแก้ปัญหาการมีบุตรยากหรือผู้ที่วางแผนเอาไว้ว่าอยากมีลูกเมื่อพร้อม เพราะสามารถทำได้ในขณะที่ร่างกายของเรายังแข็งแรง สมบูรณ์ แต่อาจจะไม่พร้อมในด้านอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่า ถ้าเราฝากไข่ ฝากสเปิร์มไว้แล้ว เราจะสามารถมีลูกได้ 100% นะครับ เพราะการฝากไข่ ฝากสเปิร์มต้องทำควบคู่ไปกับการทำเด็กหลอดแก้ว ซึ่งก็มีความเสี่ยงที่จะไม่ประสบความสำเร็จในการตั้งครรภ์เช่นกัน 👨👩👧 👨👩👧
ฝากไข่ ฝากสเปิร์ม ทางเลือกสำหรับใคร?
ด้วยสภาพสังคมและเศรษฐกิจในปัจจุบัน ส่งผลให้คนยุคใหม่แต่งงานช้าลง ทำให้แม้จะอยากมีลูก แต่หลายคู่ก็ต้องเผชิญกับภาวะการมีบุตรยากมากขึ้น
ภาวะการมีบุตรยากนั้น หมายถึง การที่คู่สมรสมีเพศสัมพันธ์ตามปกติสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง โดยที่ไม่ได้คุมกำเนิด แต่ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ภายใน 1 ปี ซึ่งในประเทศไทยมีประมาณ 10-12% นอกจากโอกาสการตั้งครรภ์ที่น้อยลงแล้ว การตั้งครรภ์ของคุณแม่ที่อายุมากกว่า 35 ปี ยังเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดความผิดปกติในเด็กมากขึ้น เนื่องจากคุณภาพของไข่ที่ตกต่ำลง
แต่ปัจจุบันมีเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ช่วยให้ผู้หญิงสามารถฝากไข่ได้ 😀 ดังนั้น แม้จะแต่งงานตอนที่อายุมาก แต่ก็ยังสามารถมีบุตรได้ ส่วนขั้นตอนของการฝากไข่ การเตรียมความพร้อมและผลกระทบของการฝากไข่จะมีอะไรบ้าง ตามพี่หมอไปดูได้เลยครับ
การฝากไข่สำหรับผู้หญิง
คือการนำเซลล์สืบพันธุ์ของผู้หญิงที่เรียกว่าเซลล์ไข่ที่มีความสมบูรณ์ แข็งแรง และมีคุณภาพดีไปแช่แข็งในอุณหภูมิต่ำกว่า -190 องศาเซลเซียส การฝากไข่จะช่วยลดความเสี่ยงความผิดปกติของโครโมโซม ซึ่งเมื่อนำไข่ออกมาละลาย คุณภาพไข่จะยังคงเท่าเดิมเหมือนตอนเก็บ ทั้งนี้สามารถเก็บไข่ได้ครั้งละมากกว่า 1 ฟอง เพื่อเลือกไข่ที่มีคุณภาพดีที่สุดมาทำการปฏิสนธิ
การฝากไข่เหมาะกับใคร 👩
✅ ผู้หญิงที่อายุน้อยกว่า 35 ปี ที่วางแผนจะมีบุตรเมื่อพร้อม
✅ ผู้หญิงที่เป็นโรครุนแรง และต้องใช้ยาในปริมาณมาก หรือรับเคมีบำบัด ซึ่งจะมีผลกับไข่ ดังนั้น การเก็บไข่ไว้ก่อนจะช่วยให้ไข่ไม่ได้รับผลกระทบจากยาและกระบวนการที่ใช้รักษา
✅ ผู้หญิงที่แต่งงานมีลูกแล้ว หรือต้องการมีลูกอีกเมื่ออายุมากขึ้น
การเตรียมความพร้อมก่อนฝากไข่
ก่อนฝากไข่ ควรเตรียมร่างกายให้พร้อมและเข้ารับการตรวจร่างกาย เพื่อดูความผิดปกติของอวัยวะสืบพันธุ์ เช่น รังไข่ มดลูก และตรวจหาโรคติดเชื้อต่างๆ เช่น เอดส์ ซิฟิลิส ไวรัสตับอักเสบบี และตรวจฮอร์โมนให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
ขั้นตอนการฝากไข่
เมื่อร่างกายพร้อมแล้ว แพทย์จะทำการฉีดยากระตุ้นไข่ทุกวัน โดยเฉลี่ย 9-11 วัน จากนั้นติดตามผลและตรวจดูขนาดของถุงน้ำของรังไข่ด้วยการอัลตร้าซาวน์และเจาะเลือด จนถึงขั้นตอนการเก็บไข่ในระยะเวลาก่อนไข่ตก กระบวนการดูดไข่ต้องวางยาสลบ ซึ่งต้องนอนที่โรงพยาบาลเพื่อให้น้ำเกลือ รวมถึงงดน้ำ งดอาหาร ประมาณ 8 ชม. หลังจากวางยาสลบ ขั้นตอนการเก็บไข่จะใช้เวลาเพียง 20-30 นาที และรอสังเกตอาการประมาณ 2 ชม. ก็สามารถกลับบ้านได้
หลังจากนั้น แพทย์จะทำการคัดเลือกไข่จากน้ำที่ดูดออกมาจากถุงรังไข่ แล้วรีบนำไปแช่แข็งด้วยกระบวนการลดอุณหภูมิอย่างรวดเร็ว (Vitrification) ในอุณหภูมิ -18 องศาเซลเซียส ภายใน 1 ชม. หลังดูดไข่ออกมา จากนั้นจึงย้ายไปแช่ในถังบบรจุไนโตรเจนเหลวซึ่งมีอุณหภูมิอยู่ที่ -190 องศาเซลเซียส ซึ่งไข่ที่แช่แข็งสามารถเก็บได้นานกว่า 50 ปี และยังคงคุณภาพเหมือนเดิม โดยสามารถเก็บไข่ได้สูงสุดถึง 25 ฟองในครั้งเดียว
ผลกระทบหลังการเก็บไข่
นอกจากบาดแผลจากเข็มที่แทงเข้าร่างกายเพื่อเก็บไข่ที่มีขนาดเล็กมาก คนไข้อาจมีเลือดออกในรังไข่ ซึ่งจะส่งผลให้ปวดท้องประมาณ 1-2 วัน โดยไม่มีอาการรุนแรงใดๆ
ดังนั้น หลังเก็บไข่จึงควรพักผ่อน งดการใช้แรงและการเดิน โดยประจำเดือนจะกลับมาปกติอีกครั้งหลังเก็บไข่ประมาณ 14 วัน ทั้งนี้ หากเก็บไข่ได้จำนวนมากจากการกระตุ้นไข่ อาจส่งผลให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงขึ้นมากกว่าปกติ ทำให้มีอาการคัดเต้านม บวมน้ำ ขาบวม น้ำหนักขึ้น น้ำท่วมปอด ไตวาย หัวใจวาย ซึ่งหากมีอาการผิดปกติดังกล่าว ควรรีบไปพบแพทย์ทันที อย่างไรก็ตาม ผลข้างเคียงนี้จะเกิดขึ้นก่อนช่วงมีประจำเดือน เมื่อประจำเดือนกลับมาปกติ อาการต่างๆ จะหายไป เนื่องจากระดับของฮอร์โมนกลับเป็นปกติ
ขั้นตอนการนำไข่ที่ฝากมาใช้
การนำไข่ที่แช่แข็งมาเข้าสู่กระบวนการทำเด็กหลอดแก้ว (Intra Cytoplasmic Sperm Injection : ICSI) ตามกฎหมายไทยกำหนดว่า ต้องเป็นคู่สมรสที่แต่งงานและจดทะเบียนสมรสกันเท่านั้น โดยเมื่อละลายไข่ในอุณหภูมิปกติแล้ว จะนำไปปฏิสนธิกับอสุจิของคู่สมรสภายใน 2 ชม. หลังจากนั้น 5 วันจึงย้ายตัวอ่อนเข้าสู่โพรงมดลูก ซึ่งโดยปกติแล้วขั้นตอนนี้จะใช้เวลาประมาณ 30 นาที
สำหรับผู้ชายก็สามารถฝากสเปิร์มได้เช่นกันนะครับ เพราะถึงแม้ผู้ชายจะไม่มีปัญหาเรื่องการมีบุตรยากเหมือนผู้หญิง เนื่องจากสามารถผลิตอสุจิได้ตลอดชีวิต แต่เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายก็จะผลิตอสุจิได้น้อยลง ดังนั้น ถ้าต้องการวางแผนการมีบุตรล่วงหน้า การฝากสเปิร์มก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจเช่นกัน ส่วนขั้นตอนและรายละเอียดจะมีอะไรบ้าง พี่หมอมีมาฝากกันด้วยครับ
การฝากสเปิร์มสำหรับผู้ชาย
การนำสเปิร์มจากน้ำอสุจิของผู้ชายไปแช่แข็งใช้กระบวนการเดียวกับการแช่แข็งไข่ของผู้หญิง เพียงแต่มีขั้นตอนที่ง่ายกว่า โดยเมื่อได้อสุจิจากผู้ชาย แพทย์จะนำไปคัดเลือกสเปิร์มใส่หลอด ซึ่งสามารถเก็บได้ครั้งละมากกว่าล้านตัว แล้วนำไปแช่แข็งในกระบวนการลดอุณหภูมิอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงนำไปเก็บในอุณหภูมิ -190 องศาเซลเซียส
การฝากสเปิร์มเหมาะกับใคร 👨
✅ ผู้ชายที่วางแผนจะมีบุตรเมื่อพร้อม แม้ผู้ชายจะสามารถผลิตสเปิร์มได้ตลอดชีวิต แต่เมื่ออายุมากขึ้น การสร้างสเปิร์มจะลดน้อยลง รวมถึงความแข็งแรงของสเปิร์มก็จะน้อยลงเช่นเดียวกัน
✅ ผู้ชายที่วางแผนจะทำหมัน หากเก็บสเปิร์มไว้ก่อนทำหมัน ในอนาคตเมื่อต้องการมีบุตรก็ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดแก้หมัน โดยสามารถใช้สเปิร์มที่เก็บไว้มาปฏิสนธิกับไข่ของคู่สมรสได้ทันที
✅ ผู้ชายที่เป็นโรคที่ต้องใช้ยา หรือรังสีในการรักษาโรค ซึ่งอาจส่งผลต่อความแข็งแรงของสเปิร์ม
การเตรียมความพร้อมก่อนฝากสเปิร์ม
ควรดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง และไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาโรคติดเชื้อต่างๆ เช่น เอดส์ ซิฟิลิส ไวรัสตับอักเสบบี เมื่อถึงวันนัด แพทย์จะให้หลั่งอสุจิออกมาตามธรรมชาติด้วยวิธีสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง จากนั้นจึงเก็บน้ำอสุจิที่มีสเปิร์มไว้ในหลอด แล้วนำเข้าสู่กระบวนการแช่แข็ง
เมื่อต้องการมีบุตร แพทย์จะนำสเปิร์มมาละลายในอุณหภูมิห้อง เลือกสเปิร์มตัวที่มีความแข็งแรงและคุณภาพดี นำไปผสมกับไข่ของคู่สมรส เพื่อเข้าสู่กระบวนการทำเด็กหลอดแก้วต่อไป (ซึ่งขณะนั้นคู่แต่งงานต้องจดทะเบียนสมรสแล้ว)
การแช่แข็งสเปิร์มสามารถคงคุณภาพได้เท่ากับวันที่นำออกมาจากร่างกาย และสามารถเก็บได้นานกว่า 50 ปี หรือจนกว่าผู้เก็บสเปิร์มจะต้องการนำมาใช้เพื่อมีบุตร
ข้อจำกัดที่ไม่สามารถฝากไข่หรือสเปิร์มได้
การฝากไข่หรือสเปิร์มจะมีข้อจำกัดในผู้หญิงหรือผู้ชายที่มีปัญหาโครโมโซมผิดปกติ และผู้ที่มีโรคถ่ายทอดทางพันธุกรรมต่างๆ เช่น ดาวน์ซินโดรม รวมถึงผู้ที่เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
การฝากไข่ ฝากสเปิร์ม เป็นทางเลือกที่ดีในการแก้ปัญหาการมีบุตรยากหรือผู้ที่วางแผนเอาไว้ว่าอยากมีลูกเมื่อพร้อม เพราะสามารถทำได้ในขณะที่ร่างกายของเรายังแข็งแรง สมบูรณ์ แต่อาจจะไม่พร้อมในด้านอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่า ถ้าเราฝากไข่ ฝากสเปิร์มไว้แล้ว เราจะสามารถมีลูกได้ 100% นะครับ เพราะการฝากไข่ ฝากสเปิร์มต้องทำควบคู่ไปกับการทำเด็กหลอดแก้ว ซึ่งก็มีความเสี่ยงที่จะไม่ประสบความสำเร็จในการตั้งครรภ์เช่นกัน 👨👩👧 👨👩👧