สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 3
อยากตอบคำถามมากค่ะ เพราะเราก็ลาออกจากงาน แต่...ไม่รู้จริงๆ ว่าจำเป็นต้องมาเล่าปัญหาให้คนในนี้ฟังไหม ขอตอบตามความรู้สึกแล้วกันค่ะว่า ถ้าเมื่อไหร่ที่มีใครที่มีอิทธิพลหรือมีผลต่อจิตใจเรา มาทำให้เรารู้สึกว่า เราเหมือนคนไม่มีค่า เราก็ไม่รู้ว่าจะต้องอยู่ต่อไปเพื่ออะไร สำคัญแค่ใจเราเลยจริงๆ ค่ะ
ความคิดเห็นที่ 2
ปี 58 เพื่อนร่วมงาน มาบังคับให้ผมต้องไปเตะบอลกับเพื่อนร่วมงานหลังเลิกงาน ทั้งที่ผมไม่ชอบเล่นฟุตบอล อ้างว่า "อยู่ประเทศไทยต้องชอบเล่นฟุตบอล ถ้าไม่เล่นก็ไปอยู่ประเทศอื่น" ถือว่าผมไม่เชื่อฟังเพื่อนร่วมงาน
ตอนนั้น ผมชอบขี่จักรยานทางไกลมาก มีสมัครเข้าร่วมแข่งขันหลายรายการในช่วงวันหยุด แล้วฝึกซ้อมหลังเลิกงาน พวกเพื่อนร่วมงานรวมถึงหัวหน้าก็สั่งให้ถอนตัวจากการแข่งขันทุกรายการ เพื่อไปเตะบอลกับพวกเขา โดยอ้างว่า "หวังดี"
หลังจากนั้นพวกมันก็จ้องจับผิด หาเรื่องด่าว่า เล่นงานผมตลอด
ฟางเส้นสุดท้ายคือ การประเมินผลงานประจำปี หรือ KPI หัวหน้าให้คะแนนการประเมินกับผมเป็น เกรด D ส่งผลให้ไม่ได้รับการปรับขึ้นเงินเดือน โดยระบุในเอกสารการประเมินว่า "มีปัญหาเรื่องการใช้ชีวิตร่วมกับเพื่อนร่วมงาน และ ไม่ให้ความร่วมมือกับนโยบายของบริษัท"
ตอนไปงานเลี้ยงปีใหม่ของบริษัท ระหว่างก้าวออกจากสถานที่จัดงาน ก็มีการหันไปมองพวกคนที่ยังสนุกกันอยู่แล้วพูดว่า "ขอบคุณนะ สำหรับงานเลี้ยงปีใหม่ครั้งสุดท้ายกับบริษัทนี้"
พอขึ้นปีใหม่ ก็หางานใหม่เลย เมื่อได้ก็ลาออกทันที 6 เดือนต่อมา ผมไปงานเลี้ยงส่งอดีตเพื่อนร่วมงานที่ผมเคารพมาก เป็นคนสอนงานผมจนผมทำงานได้ แต่พอไปถึงประโยคแรกที่อดีตหัวหน้าพูดใส่ผมคือ "แกต้องลดการขี่จักรยาน แล้วหันมาหัดเตะบอลให้เป็น ต้องเข้าเตะบอลกับคนอื่นตามที่ต่างๆ มากขึ้นนะ ไม่งั้นจะเข้ากับคนอื่นไม่ได้ แล้วไม่ก้าวหน้าในการทำงาน" พอได้ยินแบบนี้ แทบจะลุกกลับบ้านเลยครับ แต่เพื่อนร่วมงานที่เลี้ยงส่งถือเป็นคนที่ผมเคารพมาก ผมจึงฝืนอยู่ต่อ
จากที่ก่อนหน้านี้ ผมเป็นคนที่ดูฟุตบอลบ้าง เพื่อความสนุก สามารถดู พูดคุยกับคนอื่นเกี่ยวกับฟุตบอลได้ แต่หลังเหตุการณ์นี้ ผมกลายเป็นคนที่เกลียดฟุตบอลเลย ไม่ได้ดูฟุตบอลมานานมากแล้ว ปี 60 ไปกินเลี้ยงกับเพื่อนสมัยเรียน แล้วร้านนั้นเปิดฟุตบอลคู่ใหญ่ พวกผู้ชายก็ไปรุมดูกัน แต่ผมยังอยู่คุยกับพวกผู้หญิง หันหลังให้จอทีวี ไม่สนใจเลย
จากที่เคยกลับจากทำงาน ก็เปิดดูฟุตบอลไทยลีก เพื่อผ่อนคลายหลังเลิกงาน แบบเปิดเสียงตีคู่กับบ้านข้างๆ แต่หลังเหตุการณ์นี้ เมื่อกลับถึงบ้าน ก็เอาแผ่นดีวีดีการ์ตูนมาเปิดดู แทนโดยไม่สนใจฟุตบอลเลย
ต้องบอกว่า เหตุการณ์นี้เปลี่ยนชีวิตจริงๆ
ตอนนั้น ผมชอบขี่จักรยานทางไกลมาก มีสมัครเข้าร่วมแข่งขันหลายรายการในช่วงวันหยุด แล้วฝึกซ้อมหลังเลิกงาน พวกเพื่อนร่วมงานรวมถึงหัวหน้าก็สั่งให้ถอนตัวจากการแข่งขันทุกรายการ เพื่อไปเตะบอลกับพวกเขา โดยอ้างว่า "หวังดี"
หลังจากนั้นพวกมันก็จ้องจับผิด หาเรื่องด่าว่า เล่นงานผมตลอด
ฟางเส้นสุดท้ายคือ การประเมินผลงานประจำปี หรือ KPI หัวหน้าให้คะแนนการประเมินกับผมเป็น เกรด D ส่งผลให้ไม่ได้รับการปรับขึ้นเงินเดือน โดยระบุในเอกสารการประเมินว่า "มีปัญหาเรื่องการใช้ชีวิตร่วมกับเพื่อนร่วมงาน และ ไม่ให้ความร่วมมือกับนโยบายของบริษัท"
ตอนไปงานเลี้ยงปีใหม่ของบริษัท ระหว่างก้าวออกจากสถานที่จัดงาน ก็มีการหันไปมองพวกคนที่ยังสนุกกันอยู่แล้วพูดว่า "ขอบคุณนะ สำหรับงานเลี้ยงปีใหม่ครั้งสุดท้ายกับบริษัทนี้"
พอขึ้นปีใหม่ ก็หางานใหม่เลย เมื่อได้ก็ลาออกทันที 6 เดือนต่อมา ผมไปงานเลี้ยงส่งอดีตเพื่อนร่วมงานที่ผมเคารพมาก เป็นคนสอนงานผมจนผมทำงานได้ แต่พอไปถึงประโยคแรกที่อดีตหัวหน้าพูดใส่ผมคือ "แกต้องลดการขี่จักรยาน แล้วหันมาหัดเตะบอลให้เป็น ต้องเข้าเตะบอลกับคนอื่นตามที่ต่างๆ มากขึ้นนะ ไม่งั้นจะเข้ากับคนอื่นไม่ได้ แล้วไม่ก้าวหน้าในการทำงาน" พอได้ยินแบบนี้ แทบจะลุกกลับบ้านเลยครับ แต่เพื่อนร่วมงานที่เลี้ยงส่งถือเป็นคนที่ผมเคารพมาก ผมจึงฝืนอยู่ต่อ
จากที่ก่อนหน้านี้ ผมเป็นคนที่ดูฟุตบอลบ้าง เพื่อความสนุก สามารถดู พูดคุยกับคนอื่นเกี่ยวกับฟุตบอลได้ แต่หลังเหตุการณ์นี้ ผมกลายเป็นคนที่เกลียดฟุตบอลเลย ไม่ได้ดูฟุตบอลมานานมากแล้ว ปี 60 ไปกินเลี้ยงกับเพื่อนสมัยเรียน แล้วร้านนั้นเปิดฟุตบอลคู่ใหญ่ พวกผู้ชายก็ไปรุมดูกัน แต่ผมยังอยู่คุยกับพวกผู้หญิง หันหลังให้จอทีวี ไม่สนใจเลย
จากที่เคยกลับจากทำงาน ก็เปิดดูฟุตบอลไทยลีก เพื่อผ่อนคลายหลังเลิกงาน แบบเปิดเสียงตีคู่กับบ้านข้างๆ แต่หลังเหตุการณ์นี้ เมื่อกลับถึงบ้าน ก็เอาแผ่นดีวีดีการ์ตูนมาเปิดดู แทนโดยไม่สนใจฟุตบอลเลย
ต้องบอกว่า เหตุการณ์นี้เปลี่ยนชีวิตจริงๆ
แสดงความคิดเห็น
อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ฟางเส้นสุดท้ายขาดโดยทำให้คุณต้องหางานใหม่หรือลาออกจากงาน
เอาแบบว่า เป็นอุทาหรณ์ เลยนะครับ เกี่ยวกับชีวิตการทำงานที่ลืมไม่ลงเลย .... นะครับ....