ผมเคยอ่านเรื่องการปั่นจักรยานกลับบ้านของพี่คนหนึ่งจากพันทิปนี่ล่ะครับ จำชื่อกระทู้ไม่ได้แล้ว แต่จำได้ว่าเป็นการปั่นกลับบ้านหลังจากเรียนจบ ก็เลยเป็นเรื่องหนึ่งที่ผมเก็บไว้ในลิสต์สิ่งที่อยากทำ แต่พอตัวเองจบมาก็ยังทำไม่ได้ครับ ต้องทำงานหาเลี้ยงตัวเองก่อนแล้ว
โอกาสมาถึงเมื่อชีวิตดำเนินมาถึงช่วงเปลี่ยนผ่านงาน และเป็นช่วงใกล้ๆ สงกรานต์พอดี จึงเป็นช่วงที่ผมจะมีเวลาว่างพอที่จะได้ลองทำสิ่งที่เก็บไว้ในใจซะที ทว่าก็มีเงื่อนไขที่เพิ่มเข้ามา เมื่อที่บ้านต่างนัดแนะกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่าเดี๋ยวจะขับรถไปเที่ยวกัน ทำให้ผมมีเวลาเพียงแค่ 2 วันเท่านั้นสำหรับการปั่นจักรยานจากกรุงเทพฯ กลับไปให้ถึงบ้านที่พิษณุโลก
ณ ตอนนั้น ผมใช้จักรยานเดินทางอยู่แล้ว แต่ก็เพียงแค่ปั่นไปทำงานและไปแค่ที่ใกล้ๆ เท่านั้น ยังไม่เคยปั่นทางไกลแบบข้ามหลายจังหวัดมาก่อน แต่ถ้าจะให้รอโอกาสอื่นแล้วค่อยทำก็ไม่รู้จะต้องรอไปถึงเมื่อไหร่ แม้จะมีเวลาแค่ 2 วัน แต่ผมก็คิดว่าก็น่าจะเป็นไปได้ เพราะจากที่เคยนั่งรถไปมากรุงเทพฯ - พิษณุโลก ก็มีแต่ทางราบเรียบ ไม่ได้มีทางขึ้นเขาอะไร ผมจึงยังคงเลือกที่จะทำตามแผนเดิมต่อไป แต่ก็เพราะมีเวลาจำกัดนั้นแหละครับ เส้นทางที่ผมใช้จึงต้องสั้นที่สุด ไม่มีเวลาให้แวะเรื่อยเฉื่อย ไม่สามารถเลี่ยงไปทางรองได้ นั่นก็คือต้องปั่นไปทางถนนหลักสายเอเชีย
แล้ววันเดินทางจริงก็มาถึง แต่ก่อนจะไป มีงานสำคัญที่ผมตัดสินใจที่จะไปร่วมก่อน ด้วยว่ามีพี่ที่เคยทำงานด้วยกันกำลังจะเข้ารับการผ่าตัด กลุ่มเพื่อนๆ พี่ๆ จึงช่วยกันจัดงานเพื่อรวบรวมทุนสำหรับพี่คนนั้นและครอบครัว เพราะหลังจากผ่าตัดก็ยังต้องมีช่วงพักฟื้นรักษาตัวอีก งานจัดที่สถาบันปรีดี พนมยงศ์ในซอยทองหล่อ ผมกะว่าพองานเลิกตอนเที่ยงก็จะเริ่มออกปั่นกลับบ้านเลย แต่ฟ้าฝนก็แกล้งกันอย่างนี้เสมอ เล่นตกลงมาตอนงานเลิกพอดีเลย และลากยาวไปถึงบ่ายสองถึงเริ่มซา แต่ก็ยังไม่หยุดสนิท แต่ถ้าช้าไปกว่านี้คงไม่ดีแน่ ผมจึงตัดสินใจออกปั่นไปแม้ฝนจะยังลงมาเบาๆ
สิ่งที่ผมนำติดตัวไปด้วยก็ตามในภาพเลยครับ จักรยานพับคู่ใจที่ใช้เดินทางประจำวัน กระเป๋าสัมภาระ 1 ใบสะพายหลัง และอีก 1 ใบคาดเอว สิ่งสำคัญอีกอย่างที่พกไปก็คือ สูบลมครับ เตรียมไปพร้อมอุปกรณ์ปะเปลี่ยนเผื่อยางรั่ว หวังตลอดว่าจะไม่ต้องได้ใช้(แม้สุดท้ายจะได้ใช้)
เหตุการณ์ระทึกแรกเกิดขึ้นเมื่อตอนไปถึงแถวๆ รังสิต ปั่นไปจู่ๆ ก็รู้สึกว่ามันไม่ Smooth เหมือนมีอะไรนูนติดอยู่ที่ล้อ พอจอดเช็คดูก็เจอต้นตอของปัญหา คือยางนอกเป็นรูขาดเห็นถึงยางใน ปัญหาเป็นที่ยางนอกผมจึงไม่สามารถแก้ไขด้วยตัวเองได้ จึงจูงรถไปถามหาร้านจักรยาน แต่เดินได้ไม่ทันไรก็เกิดเสียง "ปุ้ง" ดังสนั่น ยางในที่นูนๆ นั้นสุดท้ายก็เกิดระเบิดขึ้นมา ความโชคดีก็คือว่าแค่ข้ามสะพานไปก็มีร้านซ่อมมอไซค์ที่รับซ่อมจักรยานด้วย และโชคดีไปอีกที่ร้านมียางนอกไซส์ 20 นิ้วตรงกับรถของผม และนั่นก็ทำให้ผมสามารถเดินทางต่อไปได้
แม้จะมีอุปสรรคเล็กๆ น้อยๆ ตั้งแต่เริ่มแรก แต่หลังจากที่เปลี่ยนยางเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างก็ดำเนินไปตามปกติ จนมาถึงอีก Stage ก็คือ การต้องปั่นตอนกลางคืน ผมเตรียมใจมาแล้วว่ายังไงก็ต้องมีปั่นกลางคืนแน่นอน ยิ่งวันนี้ล่าช้าไปเพราะฝนกับยางรั่วอีก ไฟท้ายคือสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ จุดที่ดูจะต้องระวังเป็นพิเศษจะอยู่แถวๆ อยุธยา เพราะจะมีสะพานข้ามคลองที่ไหล่ทางถูกบีบลง อุปสรรคสุดท้ายของวันมาในรูปแบบตะคริว คงเป็นเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ออกปั่นทางไกล ทำให้ผมเกร็งกว่าปกติและออกแรงกดบันไดไปเกินกว่าที่ควร พอเริ่มรู้สึกว่าตะคริวกำลังก่อตัว ผมจึงผ่อนคลายขาฝั่งขวาให้ออกแรงน้อยลง แล้วอาศัยฝั่งซ้ายที่ยังปกติเป็นข้างที่ออกแรงส่งให้ล้อหมุนต่อไป ผมกะว่าคงจะพักแถวๆ อ่างทอง แต่เมื่อค้นหาที่พักริมทางแล้วไม่มีอยู่เลย ทำให้สุดท้ายก็เลยต้องปั่นมาถึงสิงห์บุรี ถึงได้เจอโรงแรมริมถนนสายเอเชียตอนประมาณตี 1 กว่าๆ แล้วการปั่นวันแรกก็จบลง
ตื่นเช้ามาในวันที่ 2 ซึ่งก็คือวันสุดท้ายของการเดินทางที่เหลืออยู่ ผมต้องผ่านสิงห์บุรี ชัยนาท อุทัยธานี(นิดๆ) นครสวรรค์ พิจิตร จึงจะถึงพิษณุโลก ทุกอย่างดูเหมือนจะเริ่มต้นได้ดี อาการตะคริวเมื่อวานก็หายไปหมดหลังจากที่นอนหลับไปเต็มที่แล้ว ผมออกเดินทางแต่เช้าเพราะตระหนักว่ายังเหลือระยะทางอีกกว่า 200 กม.ที่ต้องปั่นไป
ช่วงสายๆ ก็มีโทรศัพท์เรียกเข้า เป็นสายจากทางบ้านโทรมา ที่ผมออกปั่นกลับบ้านครั้งนี้ ผมไม่ได้บอกกับทางบ้านไว้ก่อน ผมบอกแค่ว่าเดี๋ยวเจอกันที่บ้าน ทุกคนจึงเพิ่งจะรู้ก็ตอนที่ผมโพสต์รูปลงโซเชียลเพื่ออัพเดทว่าถึงไหนแล้ว ปรากฎว่าเลยกลายเป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะที่บ้านเป็นห่วงและอยากให้ผมขึ้นรถกลับบ้านแทน แต่สุดท้ายหลังจากที่คุยกันแล้ว ผมก็ยืนยันว่าจะขอปั่นต่อ และจะระวังตัวให้ดีที่สุด ก็เพราะเป็นการออกปั่นไกลครั้งแรกด้วย ทางบ้านก็เลยไม่คาดคิดว่าผมจะเดินทางด้วยวิธีนี้ ก็เป็นสิ่งที่ผมได้เรียนรู้กันและกันว่าควรต้องบอกกล่าวกันไว้สักนิด
ไม่มีเวลาให้พูดพร่ำทำเพลงใดๆ ผมตั้งหน้าตั้งตาปั่นตรงอย่างเดียว จนได้มาเจอกับตัว ที่คิดว่ามีแต่ทางราบตลอดการเดินทาง แต่ก่อนจะเข้าเมืองนครสวรรค์จะมีช่วงที่เป็นเนินอยู่ด้วย และกับคนที่ไม่เคยปั่นขึ้นเนินมาก่อน ก็ถือเป็นจุดที่กินแรงไปเยอะเลย ผมไปถึงนครสวรรค์จริงๆ ก็เป็นเวลาโพล้เพล้ พระอาทิตย์กำลังจะลับไปแล้ว ผมจัดอาหารมื้อสุดท้าย ก่อนจะต้องลุยปั่นตอนกลางคืนผ่านพิจิตรที่เป็นจังหวัดสุดท้าย
สิ่งที่ดีที่สุดของการปั่นท่ามกลางความมืดวันที่ 2 นี้ คือการได้ปั่นภายใต้แสงดาวที่ประดับฟ้าไปด้วยตลอดทาง มีแค่คำบอกเล่าผ่านตัวอักษรเท่านั้นนะครับ เพราะตอนนั้นที่เดินทาง ผมยังไม่รู้จักกล้องถ่ายรูปเลย ไปกับแค่โทรศัพท์เครื่องเดียว รูปที่ถ่ายได้ก็ตามที่เห็นทั้งหมดนี้
จากที่ปั่นระห่ำต่อเนื่องมาจะ 400 กม. แล้ว ความทรมานเริ่มก่อตัวขึ้นในที่สุด เมื่อผมเข้าสู่เขตอำเภอบางระกำ หรือก็คือถึงพิษณุโลกแล้ว แต่ก็ยังเหลือระยะทางอีกหลายสิบกม. กว่าจะถึงบ้าน อาการเมื่อยตูดจากการนั่งปั่นมันเป็นยังไงก็ได้รู้จักจากครั้งนี้ หยุดพักแล้วแทบไม่อยากกลับไปนั่งปั่นใหม่เลย กระเป๋าที่สะพายหลังมาตลอดก็สะพายต่อไม่ไหว ดีที่สามารถเปลี่ยนไปแขวนกับหน้ารถแล้วยังปั่นต่อได้อยู่
พอเริ่มเป็นพื้นที่ที่คุ้นเคย ผมก็เริ่มตั้งเป้านับถอยหลังให้ตัวเองเรื่อยๆ เดี๋ยวก็จะถึงม.นเรศวร แล้วก็โรงเรียนชาย ข้ามสะพานก็ถึงแม็คโคร จากนั้นก็แค่ปั่นตรงอีกหน่อย ก็จะถึงบ้านแล้ว
รูปนี้ยังอุตส่าห์ยอมเมื่อยตูดไปหอนาฬิกาก่อนเข้าบ้าน
ท้ายที่สุด หลังจากที่ปั่นจักรยานจากกรุงเทพฯ มา 2 วันติด ผมก็มาหยุดอยู่หน้าบ้านตัวเองจนได้ เวลาที่ไปถึงน่าจะสักตี2 - ตี3 การปั่นจักรยานกลับบ้าน หรือก็คือการปั่นจักรยานทางไกลผ่านหลายจังหวัดครั้งแรกของผมก็จบลงเท่านี้ เป็นการเดินทางที่ทำให้ผมได้รู้ว่าการเดินทางด้วยจักรยานเป็นสิ่งที่ทำได้จริง และทำให้ผมยังคงเดินทางด้วยจักรยานต่อไป
*** หลังจากนี้ยังมีภาคต่ออีกเล็กน้อย คือการปั่นจักรยานกลับไปทำงานจากโคราช - กรุงเทพฯ ครับ อ่านต่อได้ที่ Comment ที่ 26
ส่วนปัจจุบันนี้ ก็ยังคงออกไปปั่นอยู่เรื่อยๆ ตามโอกาสครับ สามารถติดตามเรื่องราวการเดินทางและแลกเปลี่ยนประสบการณ์เพิ่มเติมกันได้ที่
ปั่นจักรยานกลับบ้าน กรุงเทพฯ - พิษณุโลก ปั่นทางไกลครั้งแรก สองวันต้องถึง
ณ ตอนนั้น ผมใช้จักรยานเดินทางอยู่แล้ว แต่ก็เพียงแค่ปั่นไปทำงานและไปแค่ที่ใกล้ๆ เท่านั้น ยังไม่เคยปั่นทางไกลแบบข้ามหลายจังหวัดมาก่อน แต่ถ้าจะให้รอโอกาสอื่นแล้วค่อยทำก็ไม่รู้จะต้องรอไปถึงเมื่อไหร่ แม้จะมีเวลาแค่ 2 วัน แต่ผมก็คิดว่าก็น่าจะเป็นไปได้ เพราะจากที่เคยนั่งรถไปมากรุงเทพฯ - พิษณุโลก ก็มีแต่ทางราบเรียบ ไม่ได้มีทางขึ้นเขาอะไร ผมจึงยังคงเลือกที่จะทำตามแผนเดิมต่อไป แต่ก็เพราะมีเวลาจำกัดนั้นแหละครับ เส้นทางที่ผมใช้จึงต้องสั้นที่สุด ไม่มีเวลาให้แวะเรื่อยเฉื่อย ไม่สามารถเลี่ยงไปทางรองได้ นั่นก็คือต้องปั่นไปทางถนนหลักสายเอเชีย
แล้ววันเดินทางจริงก็มาถึง แต่ก่อนจะไป มีงานสำคัญที่ผมตัดสินใจที่จะไปร่วมก่อน ด้วยว่ามีพี่ที่เคยทำงานด้วยกันกำลังจะเข้ารับการผ่าตัด กลุ่มเพื่อนๆ พี่ๆ จึงช่วยกันจัดงานเพื่อรวบรวมทุนสำหรับพี่คนนั้นและครอบครัว เพราะหลังจากผ่าตัดก็ยังต้องมีช่วงพักฟื้นรักษาตัวอีก งานจัดที่สถาบันปรีดี พนมยงศ์ในซอยทองหล่อ ผมกะว่าพองานเลิกตอนเที่ยงก็จะเริ่มออกปั่นกลับบ้านเลย แต่ฟ้าฝนก็แกล้งกันอย่างนี้เสมอ เล่นตกลงมาตอนงานเลิกพอดีเลย และลากยาวไปถึงบ่ายสองถึงเริ่มซา แต่ก็ยังไม่หยุดสนิท แต่ถ้าช้าไปกว่านี้คงไม่ดีแน่ ผมจึงตัดสินใจออกปั่นไปแม้ฝนจะยังลงมาเบาๆ