อยู่ๆก็คิดถึงเรื่องที่แย่ที่สุดในชีวิต
ในวันที่ครอบครัวเรามาถึงจุดเปลี่ยนโดยไม่ทันตั้งตัว เรื่องราวเกิดจากคนเห็นแก่ตัวเพียงคนเดียว
ในตอนนั้น เรากินไม่ได้นอนไม่หลับ ทำงานไม่ได้ น้ำตาไหลตลอดแต่แอบร้องไห้ในที่ทำงาน ไม่บอกใครเพราะไม่รู้จะเริ่มยังไง พอคิดถึงน้ำตาก็ไหลตลอด
สิ่งแรกที่คิด รักษาใจแม่คนแรก
ทำไงก็ได้ไม่ให้น้องหยุดเรียนกลางคัน
รับทำงานหลังเลิกงาน พาขุนพลกลับบ้าน4-5ทุ่มทุกวัน คุยกับผู้ชายคนนึงคือผู้มีพระคุณของครอบครัวเรา ในบ้างครั้งที่เราไม่ไหวช่วยเราได้ไหมคะ ช่วยเราในเรื่องเรียนของน้อง เขาตอบตกลงในทันที ไม่คิดสักนิด แต่ในช่วงเทอมแรกที่เราไม่เคยคิดเตรียมตัวไว้ก่อน
ค่าเทอมน้องก็มาในหลักหลายหมื่น
เราต้องไปหายืมเงินมา เพราะที่ผ่านมีเงินใช้สบาย และประมาทในการใช้ชีวิตมาก ไม่เคยเก็บไว้บ้างเลย แล้วการยืมค่าเทอมก็ทำให้เป็นเรื่องที่โดนต่อว่า ไปยืมเงินคนอื่นเขาอ่ะเนอะ (แต่ในวันนี้เราขอบคุณเขานะ ถ้าเขาไม่ให้ยืมวันนั้นเราคงถึงทางตัน)
จนในที่สุดคิดว่าอยู่แบบนี้ไม่ไหวแล้ว
ตัดสินใจทิ้งเรื่องราว ทิ้งพ่อที่รักทิ้งย่าที่ทั้งรักและมีบุญคุณท่วมหัว เพื่อจะเอาแม่น้องลูกและครอบครัวไว้ มาทำงานใน กทม. ระหว่างนั้นผู้มีพระคุณช่วยส่งน้องเรียนในส่วนนึง แต่เราก็พยายามของเราในส่วนนึง รวมทั้งค่าเทอมที่เราทั้งเล่นแชร์ เก็บเล็กผสมน้อยไว้
ไม่ได้ติดต่อกับพ่อและย่าเลย ได้แต่แอบเอาเบอร์แปลกๆโทรไปฟังเสียง แล้วนอนร้องไห้อยู่คนเดียว ไม่เคยถามถึงเพราะรู้อยู่แก่ใจว่าเขาลำบากมาก ขอสามีทำงานพาสไทม์เพิ่ม ขณะที่ทำงานประจำอยู่ กทม. แต่สามีบอกว่าเราต้องมีเวลากลับไปหาลูกบ้าง เขาจะเป็นคนทำงานเพิ่มเอง สัญญาว่าจะหาเงินส่งน้องให้เอง แล้วสามีกับผู้มีพระคุณก็ช่วยเราส่งน้องเรียนจนจบ
มาถึงวันนี้เราเริ่มให้เงินย่าบ้าง แม้จะยังไม่เยอะเหมือนที่ย่าเคยให้เราสุขสบายหนูขอเวลาใช้หนี้ในส่วนของค่าเทอมค่าใช้จ่ายน้อง แล้วก็ดึงตรงโน่นนิดตรงนี้หน่อยมา
และในต่อๆไป หนูจะต้องส่งให้พ่อกับย่า ได้พอมีกินมีใช้สักที รอหนูอีกนิดนะ
หนูกำลังจะทำให้ได้ในเร็ววันนี้
ควรทำยังไงดี นี่คือทางที่ดีที่สุดหรือยัง
ในวันที่ครอบครัวเรามาถึงจุดเปลี่ยนโดยไม่ทันตั้งตัว เรื่องราวเกิดจากคนเห็นแก่ตัวเพียงคนเดียว
ในตอนนั้น เรากินไม่ได้นอนไม่หลับ ทำงานไม่ได้ น้ำตาไหลตลอดแต่แอบร้องไห้ในที่ทำงาน ไม่บอกใครเพราะไม่รู้จะเริ่มยังไง พอคิดถึงน้ำตาก็ไหลตลอด
สิ่งแรกที่คิด รักษาใจแม่คนแรก
ทำไงก็ได้ไม่ให้น้องหยุดเรียนกลางคัน
รับทำงานหลังเลิกงาน พาขุนพลกลับบ้าน4-5ทุ่มทุกวัน คุยกับผู้ชายคนนึงคือผู้มีพระคุณของครอบครัวเรา ในบ้างครั้งที่เราไม่ไหวช่วยเราได้ไหมคะ ช่วยเราในเรื่องเรียนของน้อง เขาตอบตกลงในทันที ไม่คิดสักนิด แต่ในช่วงเทอมแรกที่เราไม่เคยคิดเตรียมตัวไว้ก่อน
ค่าเทอมน้องก็มาในหลักหลายหมื่น
เราต้องไปหายืมเงินมา เพราะที่ผ่านมีเงินใช้สบาย และประมาทในการใช้ชีวิตมาก ไม่เคยเก็บไว้บ้างเลย แล้วการยืมค่าเทอมก็ทำให้เป็นเรื่องที่โดนต่อว่า ไปยืมเงินคนอื่นเขาอ่ะเนอะ (แต่ในวันนี้เราขอบคุณเขานะ ถ้าเขาไม่ให้ยืมวันนั้นเราคงถึงทางตัน)
จนในที่สุดคิดว่าอยู่แบบนี้ไม่ไหวแล้ว
ตัดสินใจทิ้งเรื่องราว ทิ้งพ่อที่รักทิ้งย่าที่ทั้งรักและมีบุญคุณท่วมหัว เพื่อจะเอาแม่น้องลูกและครอบครัวไว้ มาทำงานใน กทม. ระหว่างนั้นผู้มีพระคุณช่วยส่งน้องเรียนในส่วนนึง แต่เราก็พยายามของเราในส่วนนึง รวมทั้งค่าเทอมที่เราทั้งเล่นแชร์ เก็บเล็กผสมน้อยไว้
ไม่ได้ติดต่อกับพ่อและย่าเลย ได้แต่แอบเอาเบอร์แปลกๆโทรไปฟังเสียง แล้วนอนร้องไห้อยู่คนเดียว ไม่เคยถามถึงเพราะรู้อยู่แก่ใจว่าเขาลำบากมาก ขอสามีทำงานพาสไทม์เพิ่ม ขณะที่ทำงานประจำอยู่ กทม. แต่สามีบอกว่าเราต้องมีเวลากลับไปหาลูกบ้าง เขาจะเป็นคนทำงานเพิ่มเอง สัญญาว่าจะหาเงินส่งน้องให้เอง แล้วสามีกับผู้มีพระคุณก็ช่วยเราส่งน้องเรียนจนจบ
มาถึงวันนี้เราเริ่มให้เงินย่าบ้าง แม้จะยังไม่เยอะเหมือนที่ย่าเคยให้เราสุขสบายหนูขอเวลาใช้หนี้ในส่วนของค่าเทอมค่าใช้จ่ายน้อง แล้วก็ดึงตรงโน่นนิดตรงนี้หน่อยมา
และในต่อๆไป หนูจะต้องส่งให้พ่อกับย่า ได้พอมีกินมีใช้สักที รอหนูอีกนิดนะ
หนูกำลังจะทำให้ได้ในเร็ววันนี้