ในการปฏิบัติธรรม   ควร/ต้อง มีสติกำหนดรู้ ตามสภาพแห่งความเป็นจริง   ไม่ว่า สุข ทุกข์ หรือ เฉย

ในการปฏิบัติธรรม  ควร/ต้องมีสติกำหนดรู้ ตามสภาพแห่งความเป็นจริงไม่ว่า สุข ทุกข์ หรือ เฉย  
     ซึ่งไม่ใช่ว่า จะต้องทำให้รู้ เฉยๆ  หรือให้เบรออยู่ในกรอบแล้วให้เกิด รู้เพียงเฉยๆ  ก็ไม่ถูกหรือผิดพลาดแล้วตั้งแต่เริ่มการปฏิบัติธรรม เพราะไม่เกิดปัญญารู้ชัดตามความเป็นจริง

    การปฏิบัติวิปัสสนานั้น มีสติกำหนดรู้ตามความเป็นจริงไม่ว่า สุข ทุกข์ เฉย  เมื่อเกิดมีกิเลสปะทุ ลุกลาม ต้องอาศัยธรรมเหล่านี้คือ อิทธิบาท 4 (ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา) สัมมัปปธาน 4  (1.ระงับกิเลส(อกุศล)ที่เกิดอยู่ให้ลงเป็นปกติได้  2.รักษาสติสมาธิปัญญา(กุศลธรรม)ที่มีอยู่ไว้ได้ 3.ไม่ให้อกุศลที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้นได้ 4.เจริญกุศลที่ยังไม่เกิดให้เจริญขึ้นได้)    นี้แหละที่ต้องฝึกปฏิบัติหรือพิจารณาในกรรมฐานอยู่เนื่องๆ จนที่สุดอย่างยิ่งตามความเป็นจริง  พละ 5 (ศรัทธา ความเพียร สติ สมาธิ ปัญญา) ก็ค่อยๆ เจริญขึ้นไปตามลำดับจน อินทรีย์ 5 (สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์  สตรินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญิณทรีย์) ย่อมตั้งมั่นขึ้นดำรงอยู่ได้
  
      ดังนั้นการต้องตั้งป้อมว่า ต้องรู้เฉยๆ วางกรอบเบรอๆ เพื่อรู้เฉยๆ  จึงผิดตั้งแต่แรกแล้วในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ถ้าโชคดีก็แค่จะวนเวียนอยู่ในวิปัสสนาญาณเบื้องต้นเท่านั้น  เพราะพละ 5 เจริญเพียงน้อยไม่เจริญสมดุลย์กันเพิ่มขึ้นไปตามลำดับ อินทรีย์ 5 ก็จะอ่อนตั้งมั่นไม่ได้ วิปัสสนาญาณเบื้องสูงจึงไม่มีโอกาสเจริญขึ้นเลย นั้นเอง.

     หมายเหตุ ทุกข์ต้องกำหนดรู้   ปัญญาต้องเจริญ   ซึ่งตัวทุกข์ ก็คือ ขันธ์ 5 นั้นเองที่ต้องมีสติกำหนดรู้ และ กาย เวทนา จิต ธรรม ก็คือหรือปรากฏขันธ์ 5 นั้นเอง

       ดังนั้น สติปัฏฐาน 4 ก็คือ การมีสติกำหนดรู้ในฐานทั้ง 4 (กาย เวทนา จิต ธรรม)  หรือ ทุกข์ ต้องกำหนดรู้ ปัญญาพึ่งต้องเจริญ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่