ปัญญาที่เกิดความเข้าใจ อนัตตา ที่ยังเป็น สุตตมยปัญญา หรือ/และ จินตมยปัญญา. ย่อมยังไม่สามารถทำให้บรรลุโสดาบันติมรรคได้.
เพราะอะไร? เพราะต้องเกิด ภาวนามยปัญญา โสดาบันติมรรค จึงพอบังเกิดขึ้นได้.
ภาวนามยปัญญา นั้นเกิดจากการปฏิบัติธรรม ตามที่พระพุทธเจ่าตรัสไว้ดีแล้ว ในกรรมฐานต่างๆ ที่นำไปสู่ทางสายเอกคือ สติปัฏฐาน 4.(มีสติพิจารณา 1.กายในกาย 2.เวทนาในเวทนา 3.จิตในจิต 4.ธรรมในธรรม)
การที่จะให้สติปัฏฐาน 4 เจริญขึ้นได้นั้น ต้องอาศัยธรรมเหล่านี้ ในการปฏิบัติธรรม ได้แก่ (1).อิทธิบาท 4 (2).พละ 5 (3).สัมมัปปทาน 4 (4).อินทรีย์ 5
การปฏิบัติธรรมนั้น พละ ทั้ง 5 อันได้แก่ 1.สติ 2.สมาธิ 3.ปัญญา 4.ศรัทธา 5.ความเพียร ต้องเจริญสมบูรณ์ขึ้นอย่างสมดุลย์ จึงหาใช่การที่มีสติ รู้เฉยๆ เท่านั้น แล้วทุกอย่างก็จะตามมาเอง ซึ่งผู้ปฏิบัติธรรมยังเข้าใจคลาดเคลื่อนอยู่มาก
ในการปฏิบัติธรรมนั้น สตินั้นไม่ใช่เพียงแต่ รู้เฉยๆ แล้วจะเป็นสัมมาสติ ซึ่งเป็นการเข้าใจคลาดเลื่อนในการปฏิบัติธรรมอยู่ เพราะ สตินั้นเป็นพละ ที่สามารถเจริญขึ้นได้ด้วยการปฏิบัติที่ฝึกอยู่เนื่องๆ ไม่ใช่การรู้เฉย แล้วจะเจริญขึ้นเองได้ เช่นเดียวกัน พละที่เหลือ ได้แก่ สมาธิ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร ก็ย่อมเจริญขึ้นได้ ด้วยการฝึกปฏิบัติธรรมเนื่องๆ นั้นเอง.
เมื่อการปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 ด้วยธรรมเหล่านี้ อิทธิบาท 4 พละ 5 สัมมัปปทาน 4 อินทรีย์ 5 ที่เจริญสมบูรณ์อย่างสมดุลย์นั้น ย่อมทำให้ โพชฌงค์ 7 เจริญสมบูรณ์
เมื่อโพชฌงค์ 7 เจริญสมบูรณ์ ย่อมทำให้มรรคมีเองค์ 8 สมบูรณ์ รวมกันเป็นหนึ่งบรรลุถึงซึ่ง มรรคญาณได้ อันได้แก่ โสดาบัติมรรค หรือ สกิทาคามีมรรค หรือ อนาคามีมรรค หรือ อรหัตมรรค ตามกำลังฐานะของอริยะบุคคลนั้นๆ.
จึงมีการกล่าวว่า มรรคญาณ ย่อมเกิดจาก โพธิปักขิยธรรม 37 (สติปัฏฐาน 4 + อิทธบาท 4 + พละ 5 + สัมมัปปทาน 4 + อินทรีย์ 5 + โพชฌงค์ 7 + มรรคมีองค์ 8 ) ประการรวมกันอย่างสมบูรณ์สมดุลย์เป็นหนึ่งเดียว นั้นเอง.
แม้จะเข้าใจ อนัตตา แล้ว แต่หาใช่ จะบรรลุ โสดาบันติมรรค ได้
เพราะอะไร? เพราะต้องเกิด ภาวนามยปัญญา โสดาบันติมรรค จึงพอบังเกิดขึ้นได้.
ภาวนามยปัญญา นั้นเกิดจากการปฏิบัติธรรม ตามที่พระพุทธเจ่าตรัสไว้ดีแล้ว ในกรรมฐานต่างๆ ที่นำไปสู่ทางสายเอกคือ สติปัฏฐาน 4.(มีสติพิจารณา 1.กายในกาย 2.เวทนาในเวทนา 3.จิตในจิต 4.ธรรมในธรรม)
การที่จะให้สติปัฏฐาน 4 เจริญขึ้นได้นั้น ต้องอาศัยธรรมเหล่านี้ ในการปฏิบัติธรรม ได้แก่ (1).อิทธิบาท 4 (2).พละ 5 (3).สัมมัปปทาน 4 (4).อินทรีย์ 5
การปฏิบัติธรรมนั้น พละ ทั้ง 5 อันได้แก่ 1.สติ 2.สมาธิ 3.ปัญญา 4.ศรัทธา 5.ความเพียร ต้องเจริญสมบูรณ์ขึ้นอย่างสมดุลย์ จึงหาใช่การที่มีสติ รู้เฉยๆ เท่านั้น แล้วทุกอย่างก็จะตามมาเอง ซึ่งผู้ปฏิบัติธรรมยังเข้าใจคลาดเคลื่อนอยู่มาก
ในการปฏิบัติธรรมนั้น สตินั้นไม่ใช่เพียงแต่ รู้เฉยๆ แล้วจะเป็นสัมมาสติ ซึ่งเป็นการเข้าใจคลาดเลื่อนในการปฏิบัติธรรมอยู่ เพราะ สตินั้นเป็นพละ ที่สามารถเจริญขึ้นได้ด้วยการปฏิบัติที่ฝึกอยู่เนื่องๆ ไม่ใช่การรู้เฉย แล้วจะเจริญขึ้นเองได้ เช่นเดียวกัน พละที่เหลือ ได้แก่ สมาธิ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร ก็ย่อมเจริญขึ้นได้ ด้วยการฝึกปฏิบัติธรรมเนื่องๆ นั้นเอง.
เมื่อการปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 ด้วยธรรมเหล่านี้ อิทธิบาท 4 พละ 5 สัมมัปปทาน 4 อินทรีย์ 5 ที่เจริญสมบูรณ์อย่างสมดุลย์นั้น ย่อมทำให้ โพชฌงค์ 7 เจริญสมบูรณ์
เมื่อโพชฌงค์ 7 เจริญสมบูรณ์ ย่อมทำให้มรรคมีเองค์ 8 สมบูรณ์ รวมกันเป็นหนึ่งบรรลุถึงซึ่ง มรรคญาณได้ อันได้แก่ โสดาบัติมรรค หรือ สกิทาคามีมรรค หรือ อนาคามีมรรค หรือ อรหัตมรรค ตามกำลังฐานะของอริยะบุคคลนั้นๆ.
จึงมีการกล่าวว่า มรรคญาณ ย่อมเกิดจาก โพธิปักขิยธรรม 37 (สติปัฏฐาน 4 + อิทธบาท 4 + พละ 5 + สัมมัปปทาน 4 + อินทรีย์ 5 + โพชฌงค์ 7 + มรรคมีองค์ 8 ) ประการรวมกันอย่างสมบูรณ์สมดุลย์เป็นหนึ่งเดียว นั้นเอง.