JJNY : ‘สหพันธ์ขนส่งฯ’ไล่รมว.พลังงาน3วันรวด│‘สาธิต มธ.’ออกแถลงการณ์│สมาพันธ์SMEเปิด 3ข้อเสนอ│ชัชชาติหารือกลุ่มคนรุ่นใหม่

‘สหพันธ์ขนส่งฯ’ ผุดคาร์ม็อบ ‘วิ่งพล่านทั่วกรุง รวมทัพรถใช้น้ำมันแพง ไล่ รมว.พลังงาน 3 วันรวด
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_3170017
 
 
‘สหพันธ์ขนส่งฯ’ ผุดคาร์ม็อบ ‘วิ่งพล่านทั่วกรุง รวมทัพรถใช้น้ำมันแพง ไล่ รมว.พลังงาน 3 วันรวด
 
สหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย ขอเชิญทุกท่านร่วมกิจกรรม “รวมทัพรถใช้น้ำมันแพง” วิ่งพล่านทั่วกรุง เพื่อร่วมกันแสดงพลังให้รัฐบาลเห็นถึงความเดือดร้อนของรถบรรทุก ประชาชน และเป็นการร่วมขับไล่ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ออกจากตำแหน่งอีกด้วย โดยกิจกรรมเริ่มตั้งแต่วันที่ 6-8 กุมภาพันธ์ 2565 รายละเอียดดังนี้
 
วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2565
เวลา 15.30น. ขบวนรถ ออกเดินทางจาก สถานีกลางบางซื่อ > วิ่งผ่าน สะพานควาย > พญาไท > ประตูน้ำ > ดินแดง > พระราม9 > ลาดพร้าว > ตลาด อตก. > กลับเข้า สถานีกลางบางซื่อ 19.00น.
 
วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2565
เวลา 15.30น. ขบวนรถ ออกเดินทางจาก สถานีกลางบางซื่อ > วิ่งผ่าน รัชโยธิน พระราม9 > อโศก > สุขุมวิท > คลองเตย > พระราม4 > จุฬา > มาบุญคลอง > พญาไท > สะพานควาย > ตลาด อตก. > กลับเข้า สถานีกลางบางซื่อ 19.00น.
 
วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565 สหพันธ์ฯ จะจัดขบวนรถปิคอัพ วิ่งทั่วกรุงเทพ เชิญชวนพี่น้องประชาชน ที่เดือดร้อน ข้าวของแพงทุกหย่อมหญ้า ให้มาร่วมกันในวันที่ 8 กุมภาพันธ์นี้ นี่คืออีกกิจกรรมหนึ่ง ซึ่งเราจะร่วมกันทำ จึงขอเชิญชวนทุกท่านออกมาร่วมแสดงพลังในวันและเวลาดังกล่าวต่อไป
 

 
‘สาธิต มธ.’ ออกแถลงการณ์ หลัง ‘บิ๊กตู่’ สั่งจับตา ยันสอนให้รู้จักคิด เคารพความหลากหลาย
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_6873776
 
‘สาธิต มธ.’ ออกแถลงการณ์ หลัง ‘บิ๊กตู่’ สั่งจับตา ยันสอนให้รู้จักคิด เคารพความหลากหลาย มีเป้าหมายบ่มเพาะเยาวชนให้มีจิตสำนึกเป็นพลเมืองเข้มแข็ง
 
จากกรณีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์กำลังให้หน่วยงานเกี่ยวข้องไปดูกรณีที่มีข้อห่วงใยหลักสูตรของโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อาจมีการบิดเบือนประวัติศาสตร์และสถาบัน ตามที่เคยเสนอข่าวไปแล้วนั้น
 
ล่าสุดเมื่อวันที่ 6 ก.พ.65 โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เผยแพร่แถลงการณ์ต่อสาธารณชน มีเนื้อหาโดยสรุป ชี้แจงประเด็นต่างๆ ดังนี้
 
1. โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ความสำคัญกับการเคารพความหลากหลายทางความคิดและมุมมอง โดยร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญหลายสาขาอาชีพเพื่อพัฒนาหลักสูตรที่ช่วยเตรียมความพร้อมให้เยาวชนเป็นพลเมืองไทยและพลเมืองโลกที่พร้อมใช้วิจารณญาณในการเผชิญความเปลี่ยนแปลงอย่างเท่าทัน
 
2. โรงเรียนฯให้ความสำคัญกับการพัฒนาหลักสูตรและนวัตกรรมการจัดการเรียนการสอนฐานความรู้ที่ทันสมัย เหมาะสมกับพัฒนาการ นอกจากสาระวิชาหลัก ยังจัดให้มีการสอนในวิชาต่างๆ เพิ่มเติม อาทิ วิชาอยู่รอดปลอดภัย วิชาว่ายน้ำเพื่อเอาชีวิตรอด วิชาวัยรุ่นศาสตร์ วิชารู้ทันการเงิน วิชาวิถีศรัทธา (ครอบคลุมเนื้อหาทุกศาสนา) ฯลฯ
 
3. โรงเรียนมีเป้าหมายบ่มเพาะเยาวชนให้มีจิตสำนึกเป็นพลเมืองเข้มแข็ง เป็นพลเมืองโลกที่ยึดโยงกับบริบทสังคมไทย รู้จักคิด วิเคราะห์ สร้างสรรค์ มีภาวะผู้นำ


  
สมาพันธ์ SME ไทย เปิด 3 ข้อเสนอ รัฐเร่งช่วยผู้ประกอบการายย่อย
https://www.bangkokbiznews.com/business/986831

สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย ตั้งคำถามนโยบายรัฐทำเพื่อช่วยใคร ชี้ 3 ประเด็น เร่งฉีดวัคซีนเศรษฐกิจให้รายย่อย 1.แก้หนี้ 3 กอง พร้อมเพิ่มทุน 2.พัฒนาผู้ประกอบการ 3.แก้กฎหมายสนับสนุนรายเล็ก พร้อมสร้างเครือข่ายร่วมทำงาน เป็นกลไกให้รัฐเข้าถึงรายย่อย

นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย กล่าวว่า สถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจยิ่งใหญ่กว่าวิกฤติต้มยำกุ้ง ซึ่งเอสเอ็มอีเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง เนื่องจากประเภทกิจการส่วนใหญ่อยู่ในภาคการบริการ 41% และการค้า 40% มีภาคการผลิต 17% และเกษตร 2% ซึ่งถูกสั่งให้ปิดกิจการและขาดรายได้เป็นเวลานาน
 
อีกทั้งเอสเอ็มอีส่วนใหญ่ไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลจึงเจอข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากสถาบันการเงิน มีเพียง 25% ของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบได้ 
   
นอกจากนี้ การส่งเสริมการลงทุนของภาครัฐมีสัดส่วนการลงทุนไทยแค่ประมาณ 20% และส่วนมากกระจุกตัวอยู่ในภาคกลางและภาคตะวันออกซึ่งเป็นเขตพัฒนาพิเศษ ส่วนจังหวัดที่มีรายได้ต่อหัวต่ำและอยู่ติดชายแดนกลับไม่ได้รับการส่งเสริมเท่าที่ควร ตอกย้ำเรื่องความเหลื่อมล้ำของประเทศ ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภาคเอสเอ็มอีมีสัดส่วนเพียง 34% สะท้อนขีดความสามรถของเอสเอ็มอีที่ยังอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งต้องการให้รัฐโอบอุ้มเพื่อจะเดินหน้าต่อ
โดยสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทยได้ข้อสรุป 3 ประเด็น เสนอเป็นแนวคิดการช่วยเหลือเอสเอ็มอี ดังนี้
  
1. แก้หนี้ 3 กอง ได้แก่ หนี้ครัวเรือน หนี้เสีย และหนี้นอกระบบ พร้อมเติมทุนให้ธุรกิจสามารถเดินหน้าต่อได้ โดยเสนอให้พัฒนากองทุนฟื้นฟูเอสเอ็ม ช่วยเอสเอ็มอีอย่างตรงจุดด้วยการทำ SME Credit Scoring Card เป็นแพลตฟอร์มให้ผู้ประกอบการลงทะเบียนชี้แจงแก้ไขหนี้ มีพี่เลี้ยงด้านการเงินให้คำแนะนำเรื่องการปรับโครงสร้างหนี้ โดยเครดิตดังกล่าวจะสามารถนำไปใช้กับคู่ค้า การซื้อวัตถุดิบ จ่ายค่าจ้างแรงงาน เป็นการเพิ่มสภาพคล่องให้กิจการได้อย่างน้อย 30-60 วัน
 
อีกทั้ง ยังเป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลการทำธุรกิจซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับภาครัฐ และสถาบันการเงินต่อยอดการใช้งานในการออกนโยบายและสินเชื่อให้ตรงกับความต้องการของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีได้ในอนาคต
 
2. การพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการเอสเอ็มอีด้านดิจิทัล และยกระดับด้านนวตักรรมเพื่อส่งเสริมให้สินค้าและบริการของเอสเอ็มอีระดับท้องถิ่นเติบโตได้ในระดับประเทศและตลาดโลก รวมทั้งการพัฒนาทักษะและองค์ความรู้แห่งอนาคตให้กับบุคคากร อาทิ เรื่อง web3.0 บ่มเพาะวินัยทางการเงิน การใช้นวัตกรรมขับเคลื่อนธุรกิจ
 
3. การแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรค มีความชัดเจน สร้างความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจ เพื่อสนับสนุนเอสเอ็มอีรายเล็กให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน โดยการบังคับใช้กฎหมายต้องเป็นธรรมต่อผู้ประกอบการแต่ละขนาดและประเภทธุรกิจ
 
นอกจากนี้ เรื่องการขออนุญาตจากหน่วยงานรัฐควรลดอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจ เช่น การขอขึ้นทะเบียน อย. หากดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว จะเป็นการลดต้นทุนค่าเสียโอกาสที่เกิดจากการรอ และลดช่องว่างที่มิจฉาชีพจะเข้ามาฉวยโอกาส รวมทั้งการนิยามความหมายของเอสเอ็มอี ที่ต้องสื่อสารเพื่อทำให้เกิดความเข้าใจตรงกันทุกหน่วยงาน ไม่อย่างนั้นผู้ประกอบการที่ไม่ทราบว่าตัวเองเป็นเอสเอ็มอี จะเข้าไม่ถึงโอกาสที่ตนควรได้รับ 
 
อีกทั้ง ต้องการเสนอให้ทบทวนร่างกฎหมาย 2 ฉบับ เรื่อง พ.ร.บ.ยา และ พ.ร.บ.เครื่องสำอาง เนื่องจากร่างกฎหมายดังกล่าวไม่ได้ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเข้าถึงโอกาส ช่องทางในการพัฒนาคุณภาพ มาตรฐาน และขีดความสามารถในการแข่งขันของเอสเอ็มอี รวมทั้งอัตราค่าธรรมเนียมที่เพิ่มสูงขึ้นหลายเท่าตัวในภาวะที่เอสเอ็มอียังมีปัญหาขาดสภาพคล่อง โดยภาครัฐควรเป็นผู้สนับสนุนเอสเอ็มอี ไม่ใช่เพียงกำกับและควบคุมเท่านั้น   
 
"เรื่องเร่งด่วนของเอสเอ็มอีที่ต้องเค้าไปช่วยเหลือคือเรื่องการแก้หนี้ ทั้งหนี้ครัวเรือน หนี้เสีย และหนี้นอกระบบ ไม่อย่างนั้นปัญหาเหล่านี้จะกลายเป็นมะเร็งร้ายที่กัดกร่อนทำลายเศรษฐกิจ ถ้าเราเข้าไปช่วยเหลือไม่ได้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือธุรกิจจะตายและเกิดใหม่ แน่นอนว่าเอสเอ็มอีไม่ได้ตายแล้วตายเลย แต่จะตายแล้วไปเกิดในธุรกิจใหม่ หรือธุรกิจเดิมที่ปรับรูปแบบใหม่ แต่สิ่งที่เราจะเห็นคือภาวะเศรษฐกิจที่จะชะลอตัว รวมกับสถานการณ์ที่ยังไม่แน่นอนของโควิด-19 จะเป็นผลให้ผู้ประกอบการไม่มีความเชื่อมั่นในการเปิดกิจการใหม่"
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่