.
*ชื่อเรื่องไม่ได้เกี่ยวกับเนื้อหาใด ๆ ทั้งสิ้นค่ะ อยากใช้ชื่อนี้*
เอ้กอี่เอ้ก…เอ้ก!!
เสียงไก่ชนที่พ่อเลี้ยงขันบอกเวลาหกโมงเช้า นอกจากเสียงไก่ที่ขันปลุกทุกวัน ยังมีเสียงของแม่ที่เดินมาปลุกให้ตื่นอีกด้วย
ช่วงนี้อากาศไม่ค่อยหนาวมาก เพราะย่างเข้าสู่เดือนกุมภาพันธ์แล้ว ทว่าก็ยังให้ความรู้สึกเย็น จำต้องหยิบเสื้อแขนยาวมาสวมใส่ ข้างนอกยังมีสายหมอกขุ่นมัวให้ได้เห็น เพราะยังเช้า มองไปเห็นภูเขาราง ๆ เป็นภาพที่สองพี่น้องชอบมองมาก ๆ น้ำค้างปกคลุมใบหญ้า หากเดินลงไปตามคันนารับรองขากางเกงเปียกแฉะ
สองพี่น้องหยิบเสื้อแขนยาวมาสวมเพราะอากาศหนาว จากนั้นเดินไปยังโอ่งน้ำเพื่อล้างหน้าแปรงฟัน วันนี้เป็นวันเสาร์ ประยูรกับบุญคูนผู้เป็นน้องชายจึงไม่ได้ไปโรงเรียน แม่ชงโอวันตินร้อน ๆ เตรียมไว้รอคนละแก้ว
ล้างหน้าแปรงฟังเสร็จ สองพี่น้องถือแก้วโอวันตินเดินออกมารับไอหมอกในตอนเช้าที่ชานบ้าน อากาศยามเช้าเย็นสดชื่นมาก ทั้งสองคนชอบการตื่นเช้า ๆ เพื่อมารับอากาศเย็นแบบนี้ มันดีกว่านอนตื่นสายกินบ้านกินเมืองเป็นไหน ๆ
ระหว่างนั่งรับอากาศเย็นยามเช้า ก็ได้ยินเสียงไอคร่อกแคร่งไม่ขาดระยะของบุญคูน ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงมีโรคประจำตัว เมื่อมาเจออากาศเย็นแบบนี้จึงมีอาการไอให้ได้ยิน แต่เจ้าตัวก็ยังฝืน เพราะอยากนั่งเสวนาคุยกับพี่ชายในยามเช้าเช่นนี้
ถือเป็นสภาโอวันตินในยามเช้า ทุก ๆ วัน ไม่เว้นแม้วันไปโรงเรียน ตอนเช้าทั้งสองคนจะตื่นเช้าเพื่อมารับอากาศเย็นและไอหมอกของหน้าหนาว
ประเสริฐกำลังให้น้ำไก่ชนที่ลานดินหน้าบ้าน ได้ยินเสียงลูกชายคนเล็กไอคร่อกแคร่กไม่หยุด เงยหน้าขึ้นมองนึกห่วง เพราะลูกชายคนเล็กร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง มีโรคประจำตัวนั่นคือหอบหืด จึงบอกให้เข้าไปในบ้าน สาย ๆ หมอกจางค่อยออกมา
ทีแรกเด็กชายงอแงไม่อยากเข้าไป เพราะอยากเล่นกับพี่ชาย ประเสริฐจึงแก้ปัญหาโดยการไล่ให้เข้าบ้านทั้งสองคน ประยูรกับบุญคูนหน้ามุ่ย ถือแก้วโอวันตินกลับเข้าไปในบ้าน ผู้เป็นแม่มองเห็นเหตุการณ์คลี่ยิ้มให้กับลูกชายทั้งสองคน
“โดนพ่อดุให้เข้าบ้าน เพราะไอ้เจ้าคูนเลย ฉันจึงต้องได้เข้าบ้านมาด้วย” ประยูรผู้เป็นพี่เอ็ดน้องและฟ้องแม่ไปในตัว
“ก็น้องร่างกายไม่แข็งแรง ยังจะพาน้องออกไปนั่งตากหมอกอีก” ผู้เป็นแม่กล่าวขณะกำลังเตรียมข้าวเช้า
“แต่ฉันแข็งแรงหนิแม่ ไอ้คูนมันอยากตามฉันออกไปข้างนอกเอง ไม่ได้ชวนสักหน่อย” ประยูรยังหัวเสียจากเหตุการณ์ที่พ่อไล่ให้เข้าบ้าน
“อ้าว!” บุญคูนเด็กชายตัวน้อยผอมแห้งพูดได้เพียงเท่านี้
“ก็เอ็งเป็นพี่ชาย น้องมันไม่เล่นกับพี่แล้วจะให้มันไปเล่นกับใคร มีกันแค่สองคนถ้าไม่รักกันใครจะมารัก” บุญล้ำได้โอกาสสอน มองลูกชายทั้งสองคนด้วยความรัก ทั้งสองคนจะดีใจขนาดไหน หากรู้ว่าแม่กำลังจะมีน้องอีกคน
ณ กระท่อมเล็ก ๆ หลังหนึ่งอยู่ติดเชิงเขา แยกตัวออกมาจากหมู่บ้านไม่ไกลนัก บุญล้ำกับประเสริฐแต่งงานกันจึงมาปลูกบ้านที่หัวนา พ่อแม่ยกที่นาให้เป็นของขวัญวันแต่งงาน จึงได้พากันมาปลูกบ้านสร้างเป็นกระท่อมเล็ก ๆ พอได้อยู่อาศัย บังแดดบังฝน ด้วยฐานะค่อนข้างยากจน มีอาชีพทำนาเป็นหลัก อะไรที่พออยู่ได้ก็อยู่ไปก่อน ทั้งสี่คนพ่อแม่ลูกอยู่กันแบบสมถะ
“ป่ะสองคนช่วยแม่ยกสำรับข้าวออกไปวาง คนนึงไปเรียกพ่อมาทานข้าว” บุญล้ำกล่าว สองคนพี่น้องช่วยกันยกกับข้าวไปวาง บุญคูนเป็นคนเดินไปเรียกพ่อที่หน้าบ้านเอง ไม่นานทั้งสองคนพ่อลูกก็กลับเข้ามาในบ้าน ทานข้าวเช้าพร้อมหน้าพร้อมตากันสี่คนพ่อแม่ลูก
“ยูรจบ ป.6 แล้วพ่อจะให้เรียนต่อ ตั้งใจเรียนเข้าใจมั้ย พยายามอย่าให้ต้องซ้ำชั้น ส่วนคูนก็เหมือนกัน เรียนไม่เก่งก็ต้องตั้งใจให้มากขึ้น เป็นไปได้อย่าซ้ำชั้น” ระหว่างทานข้าวประเสริฐพูดกับลูกชายทั้งสองคน “พ่อจะปั้นลูกชายทั้งสองคนของพ่อให้ได้เป็นเจ้าคนนายคน” ประเสริฐพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แม้ฐานนะยากจนจำต้องขายที่ขายทางส่งเสียลูกชายก็ยอม
บุญล้ำนั่งทานข้าวพร้อมฟังพ่อลูกคุยกัน ตนเองไม่ออกสิทธิ์ออกเสียงใด ๆ หากผู้เป็นสามีว่าอย่างไรก็ว่าตามกัน ภายในใจก็อยากส่งลูกให้เรียนสูง ๆ เช่นกัน ตนเองเป็นชาวนามันลำบาก อยากให้ลูกสบาย แม้จะมีอีกคนที่กำลังจะเกิดมาก็ตาม หากเป็นผู้หญิงก็สบายหายห่วง โตมาก็ต้องออกเย้าออกเรือนไปอยู่กับสามีเหมือนเดิม
“ฉันเรียนหนังสือไม่เก่งเลยพ่อ ขี้เกียจเรียนด้วย ครูตีก้นเจ็บก็เจ็บ ฉันกะว่าจะจบแค่ ป.6 แล้วมาทำนาช่วยพ่อกับแม่ ส่งไอ้คูนเรียนคนเดียวก็พอ มันน่ะขี้โรค อ่อนแอ จะไปทำงานอะไรได้ ให้มันเรียนสูง ๆ คนเดียวก็พอ” ประยูรพูด ออกท่าทางเหน็บแนมผู้เป็นน้องชายด้วย เนื่องจากขัดใจเมื่อช่วงเช้าที่พ่อต้องไล่ให้เข้าบ้าน
บุญล้ำกับประเสริฐหัวเราะลูกชายคนโต ประยูรเป็นเด็กที่แข็งแรงจริง ๆ ตั้งแต่เกิดมานับครั้งป่วยก็ได้ เลี้ยงง่าย ไม่เหมือนบุญคูนลูกชายคนเล็ก ขี้โรคป่วยบ่อย แถมยังมีโรคหอบหืดมาเป็นโรคประจำตัวอีก
“เอางั้นเหรอ! เอ็งไม่อยากเป็นครูเป็นตำรวจกับเขาเหรอ เอ็งอยากเป็นชาวนาเหมือนพ่อกับแม่” ประเสริฐแหย่ลูกชาย ไม่บังคับอยู่แล้วหากลูกไม่ประสงค์จะเรียนต่อ มันก็ถือว่าเป็นเรื่องดีจะได้เบาแรงในการทำนา ในใจก็อยากส่งลูกให้เรียนสูง ๆ
“เอางั้นแหละพ่อ ฉันจะทำนาช่วยพ่อกับแม่เอง ให้ไอ้คูนเรียนไปเถอะ” ประยูรย้ำ
“นอกจากจะเลี้ยงไอ้คูนแล้ว เลี้ยงน้องคนนี้ด้วยนะ” สุดท้ายบุญล้ำก็เปิดเผยความจริงแก่ลูกชายทั้งสองคนด้วยใบหน้าปนยิ้ม พร้อมเอามือมาลูบที่หน้าท้องของตนเองด้วย ประยูรและบุญคูนเข้าใจในทันที ดีใจตื่นเต้นกันใหญ่ที่จะมีน้องมาเพิ่มอีกคน
หลังทานข้าวเช้าเสร็จทุกคนแยกย้ายกัน ประเสริฐนำควายไปเลี้ยง ช่วงนี้หน้าแล้งหลังเกี่ยวข้าวเสร็จไม่ค่อยมีหญ้าเลย ประเสริฐจำต้องให้ควายกินฟางไปก่อน ส่วนบุญล้ำก็ทำสวนปลูกผัก เป็นไปได้ไม่ต้องเสียเงินซื้อให้สิ้นเปลือง ประเสริฐขุดสระเลี้ยงปลาเอาไว้ พอได้จับมาต้มยำทำแกง
เพราะพ่อแม่พาอาศัยอยู่กระท่อมหัวนาห่างไกลหมู่บ้าน ทำให้สองพี่น้องไม่มีเพื่อนเล่น จำต้องเล่นด้วยกันสองคน นาน ๆ ที่เพื่อน ๆ จะปั่นจักรยานมาหาที่นา เสาร์อาทิตย์แบบนี้สองพี่น้องจึงเป็นเพื่อนซี้ที่ดีต่อกัน
ประเสริฐตัดต้นกระถินมาทำเป็นประตูฟุตบอลให้กับลูกทั้งสองคน ใช้ตานาเป็นสนามฟุตบอล สามเดือนก่อนประเสริฐเข้าไปในตัวเมือง จึงเจียดเงินซื้อลูกฟุตบอลมาให้ลูกชายเล่น เพราะเห็นว่าบ้านของตนอยู่ห่างไกลหมู่บ้าน กลัวว่าลูกชายทั้งสองคนจะเหงา จึงลงทุนซื้อลูกฟุตบอลมาให้เล่น ถือเป็นการให้ลูกชายคนเล็กออกกำลังกายไปในตัวด้วย กำชับว่าเหนื่อยให้หยุด ห้ามฝืน เดี๋ยวโรคหอบกำเริบ
ท้องทุ่งนากว้าง แห้งแล้งเต็มไปด้วยตอฟางที่ถูกเกี่ยวข้าวออกไปแล้ว เวลานี้มันเป็นอาหารของวัวควายได้ดีทีเดียว แทนต้นหญ้าที่ตายไป หน้าฝนกลับมาเมื่อไหร่ วัวควายถึงจะได้เล็มหญ้า
จากบ้านมองออกไปไกล ๆ เห็นทิวเขาอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ประหนึ่งว่าหากเดินลัดท้องนาไปคงไปถึง ภูเขาสองลูกเรียงกันนั้นชื่อ ‘ภูปอ’ ที่แม่พาไปไหว้สักการะทุกปีในวันมาฆะบูชา เสียงนกการ้องดังมาให้ได้ยินไม่ขาดระยะ ที่รั้วบ้านมีเสื้อผ้าที่แม่ซักตากเอาไว้ ส่วนหน้าที่เก็บเวลาผ้าแห้ง คือ เขากับน้องชาย
เดือนนี้ยังไม่หมดหน้าหนาว แม้จะมีแสงแดดทว่าก็ยังมีลมหนาวพัดมาให้รู้สึกเย็น ตอนเช้า ๆ ยังต้องสวมเสื้อแขนยาว และ การอาบน้ำในตอนเย็นยังเป็นอะไรที่เย็นยะเยือกอยู่ ที่บ้านเลี้ยงหมาด้วยสองตัว ก็นับว่าเป็นเพื่อนพอได้หายเหงา ของพวกเขาสองคนได้อีกเปลาะหนึ่งในวันเสาร์อาทิตย์เช่นนี้
หลายปีต่อมา
ประยูรจบเพียงชั้น ป.6 ดังที่ตั้งใจเอาไว้ เสียสละให้บุญคูนน้องชายได้เรียนต่อ พออายุย่างเข้าสิบห้าก็ขอพ่อแม่เข้าไปทำงานในกรุงเทพ ส่งเงินมาให้พ่อแม่กับน้องชายและน้องสาวได้ใช้จ่ายสบาย งานหนักงานเบาไม่เกี่ยง แค่ได้เงินประยูรก็ทำทั้งนั้น
เขาเที่ยวเขียนจดหมายมาหาพ่อกับแม่ประจำ วุฒิ ป.6 ก็พอทำให้เขาอ่านออกเขียนได้ ช่วงหลัง ๆ มาแม่มักเขียนจดหมายมาบ่นเรื่องบุญคูนให้ฟังเสมอ บอกว่าเกเร หัวดื้อ พูดอะไรก็ชอบเถียง บอกไม่ค่อยฟังนัก
เขาได้อ่านก็ไม่รู้จะทำเช่นไร ตนเองก็ทำงานอยู่กรุงเทพ ได้แต่เขียนจดหมายกลับไปปลอบใจแม่ ค่อย ๆ บอกค่อย ๆ สอนกัน น้องชายเป็นวัยรุ่นอารมณ์ร้อน อารมณ์วัยรุ่นจะไปจ้ำจี้จ้ำชัยเหมือนตอนเด็ก ๆ ไม่ได้ ยังดีที่บุญคูนแค่เป็นคนหัวดื้อ ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนมาให้พ่อกับแม่ต้องเสียเงินโดยสิ้นเปลือง
แข่งเรือแข่งพายแข่งกันได้ แต่ แข่งบุญแข่งวาสนามันแข่งกันไม่ได้ ดังคำโบราณเขาว่าไว้
ประยูรทำหน้าที่หาเงินส่งเสียน้อง ๆ เรียนด้วยความเต็มใจ ทั้งน้องชายและน้องสาว เมื่ออายุเข้ายี่สิบเอ็ดปีต้องกลับมาเกณฑ์ทหาร ส่วนบุญคูนนั้นเข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัยแล้ว เข้าเรียนที่วิทยาลัยครูในจังหวัดใกล้บ้าน
ประยูรจับได้ใบแดงต้องไปเป็นทหารเกณฑ์ บุญคูนแอบเสียใจเพราะมันหมายความว่าจะไม่มีคนหาเงินให้ตนเองใช้ พ่อแม่ให้ใช้คงไม่พอค่าใช่จ่ายของตนแน่ ๆ แต่จะทำอย่างไรได้ พี่ชายก็ติดทหารไปแล้ว เงินเดือนทหารจะได้เท่าไหร่กันเชียว แอบผิดหวังทว่าต้องเก็บอาการ
บุญคูนเรียนที่วิทยาลัยครู ด้วยความที่เป็นหนุ่มหน้าตาดีจึงหาแฟนได้ไม่ยาก มีผู้หญิงมากมายมาติดพัน ทำให้ไม่ค่อยสนใจการเรียนเท่าที่ควร สนใจเอาใจแต่แฟนสาว ส่วนประยูรก็เป็นทหารอยู่ในค่าย การเข้ารับราชการทหารทำให้ได้มีเวลามาเยี่ยมพ่อแม่ที่บ้านปีละหลาย ๆ รอบ จากที่ทำงานที่กรุงเทพ ได้กลับมาเพียงปีละสองครั้ง
ประเสริฐเห็นลู่ทางสว่างของชีวิตลูกชายคนโต ด้วยใจที่มุ่งอยากให้ลูกได้เป็นเจ้าคนนายคนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงยุลูกชายคนโตให้สอบเข้าเป็นนายสิบทหารบก ไม่ต้องลาออกหลังจากปลดทหาร
ประเสริฐภูมิใจในวาสนาของตนเองมาก ๆ ถึงแม้ประยูรจะจบเพียงชั้น ป.6 ก็จะได้รับราชการทหาร ส่วนลูกชายคนเล็กบุญคูนก็จะได้เป็นครู ชีวิตชาวนาของตนเองหวังเพียงเท่านี้
ยิ่งนึกก็ยิ่งมีความสุข ประเสริฐกับบุญล้ำไม่เสียใจเลยที่ต้องเสียนาสองแปลง เพื่อขายส่งบุญคูนเรียนวิทยาลัยครู และ ส่งลูกสาวคนเล็กเรียนหนังสือ
ประยูรได้เป็นนายสิบทหารบกสมใจคนเป็นพ่อ วันรับหมวกญาติมิตรไปร่วมแสดงความยินดีด้วยทุกคน แต่ ใครจะรู้ว่าหลังจากนั้นกลับมาบ้าน ทุกคนจะต้องเสียใจและผิดหวังเป็นที่สุด เมื่อมีครอบครัวของแฟนสาวบุญคูนมารอที่บ้าน
ทุกคนกลับมาที่บ้านพบว่ามีแขกมารอพบ บุญคูนทำหน้าเลิ่กลั่กเพราะรู้อยู่แก่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น พ่อของแฟนสาวบุญคูนยืนขึ้น จ้องหน้าประเสริฐผู้เป็นพ่อ ก่อนจะเอ่ยวาจาเด็ดขาด ให้บุญคูนไปรับผิดชอบลูกในท้องของลูกสาวตนเอง
บุญล้ำและประเสริฐอ้าปากค้างเมื่อได้ฟัง ไม่อยากเชื่อหูตนเอง เพราะหวังเอาไว้กับตัวบุญคูนมาก ประเสริฐถลาเข้าตบหน้าของลูกชายคนเล็กไปหนึ่งฉาก และ จะเข้าไปซ้ำอีกรอบด้วยความเสียใจ บุญล้ำผู้เป็นแม่และประยูรลูกชายคนโตต้องเข้าห้ามไว้ บุญคูนร้องไห้ยกมือไหว้ขอโทษพ่อที่ทำให้เสียใจ
เรื่องนี้ทำให้บุญคูนต้องรับผิดชอบสิ่งที่ทำ และ จำต้องออกจากวิทยาลัยครู ประเสริฐกับบุญล้ำไม่ยอมส่งเสียให้เรียนอีกต่อไป บุญคูนแต่งงานกับแฟนสาว ทำนาแทนประเสริฐและบุญล้ำผู้เป็นพ่อแม่ ถึงจะโกรธลูกชายมากแค่ไหน ทว่าหลานสาวตาดำ ๆ ก็เกลียดและโกรธไม่ลง
ลมโชย
.
*ชื่อเรื่องไม่ได้เกี่ยวกับเนื้อหาใด ๆ ทั้งสิ้นค่ะ อยากใช้ชื่อนี้*
เอ้กอี่เอ้ก…เอ้ก!!
เสียงไก่ชนที่พ่อเลี้ยงขันบอกเวลาหกโมงเช้า นอกจากเสียงไก่ที่ขันปลุกทุกวัน ยังมีเสียงของแม่ที่เดินมาปลุกให้ตื่นอีกด้วย
ช่วงนี้อากาศไม่ค่อยหนาวมาก เพราะย่างเข้าสู่เดือนกุมภาพันธ์แล้ว ทว่าก็ยังให้ความรู้สึกเย็น จำต้องหยิบเสื้อแขนยาวมาสวมใส่ ข้างนอกยังมีสายหมอกขุ่นมัวให้ได้เห็น เพราะยังเช้า มองไปเห็นภูเขาราง ๆ เป็นภาพที่สองพี่น้องชอบมองมาก ๆ น้ำค้างปกคลุมใบหญ้า หากเดินลงไปตามคันนารับรองขากางเกงเปียกแฉะ
สองพี่น้องหยิบเสื้อแขนยาวมาสวมเพราะอากาศหนาว จากนั้นเดินไปยังโอ่งน้ำเพื่อล้างหน้าแปรงฟัน วันนี้เป็นวันเสาร์ ประยูรกับบุญคูนผู้เป็นน้องชายจึงไม่ได้ไปโรงเรียน แม่ชงโอวันตินร้อน ๆ เตรียมไว้รอคนละแก้ว
ล้างหน้าแปรงฟังเสร็จ สองพี่น้องถือแก้วโอวันตินเดินออกมารับไอหมอกในตอนเช้าที่ชานบ้าน อากาศยามเช้าเย็นสดชื่นมาก ทั้งสองคนชอบการตื่นเช้า ๆ เพื่อมารับอากาศเย็นแบบนี้ มันดีกว่านอนตื่นสายกินบ้านกินเมืองเป็นไหน ๆ
ระหว่างนั่งรับอากาศเย็นยามเช้า ก็ได้ยินเสียงไอคร่อกแคร่งไม่ขาดระยะของบุญคูน ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงมีโรคประจำตัว เมื่อมาเจออากาศเย็นแบบนี้จึงมีอาการไอให้ได้ยิน แต่เจ้าตัวก็ยังฝืน เพราะอยากนั่งเสวนาคุยกับพี่ชายในยามเช้าเช่นนี้
ถือเป็นสภาโอวันตินในยามเช้า ทุก ๆ วัน ไม่เว้นแม้วันไปโรงเรียน ตอนเช้าทั้งสองคนจะตื่นเช้าเพื่อมารับอากาศเย็นและไอหมอกของหน้าหนาว
ประเสริฐกำลังให้น้ำไก่ชนที่ลานดินหน้าบ้าน ได้ยินเสียงลูกชายคนเล็กไอคร่อกแคร่กไม่หยุด เงยหน้าขึ้นมองนึกห่วง เพราะลูกชายคนเล็กร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง มีโรคประจำตัวนั่นคือหอบหืด จึงบอกให้เข้าไปในบ้าน สาย ๆ หมอกจางค่อยออกมา
ทีแรกเด็กชายงอแงไม่อยากเข้าไป เพราะอยากเล่นกับพี่ชาย ประเสริฐจึงแก้ปัญหาโดยการไล่ให้เข้าบ้านทั้งสองคน ประยูรกับบุญคูนหน้ามุ่ย ถือแก้วโอวันตินกลับเข้าไปในบ้าน ผู้เป็นแม่มองเห็นเหตุการณ์คลี่ยิ้มให้กับลูกชายทั้งสองคน
“โดนพ่อดุให้เข้าบ้าน เพราะไอ้เจ้าคูนเลย ฉันจึงต้องได้เข้าบ้านมาด้วย” ประยูรผู้เป็นพี่เอ็ดน้องและฟ้องแม่ไปในตัว
“ก็น้องร่างกายไม่แข็งแรง ยังจะพาน้องออกไปนั่งตากหมอกอีก” ผู้เป็นแม่กล่าวขณะกำลังเตรียมข้าวเช้า
“แต่ฉันแข็งแรงหนิแม่ ไอ้คูนมันอยากตามฉันออกไปข้างนอกเอง ไม่ได้ชวนสักหน่อย” ประยูรยังหัวเสียจากเหตุการณ์ที่พ่อไล่ให้เข้าบ้าน
“อ้าว!” บุญคูนเด็กชายตัวน้อยผอมแห้งพูดได้เพียงเท่านี้
“ก็เอ็งเป็นพี่ชาย น้องมันไม่เล่นกับพี่แล้วจะให้มันไปเล่นกับใคร มีกันแค่สองคนถ้าไม่รักกันใครจะมารัก” บุญล้ำได้โอกาสสอน มองลูกชายทั้งสองคนด้วยความรัก ทั้งสองคนจะดีใจขนาดไหน หากรู้ว่าแม่กำลังจะมีน้องอีกคน
ณ กระท่อมเล็ก ๆ หลังหนึ่งอยู่ติดเชิงเขา แยกตัวออกมาจากหมู่บ้านไม่ไกลนัก บุญล้ำกับประเสริฐแต่งงานกันจึงมาปลูกบ้านที่หัวนา พ่อแม่ยกที่นาให้เป็นของขวัญวันแต่งงาน จึงได้พากันมาปลูกบ้านสร้างเป็นกระท่อมเล็ก ๆ พอได้อยู่อาศัย บังแดดบังฝน ด้วยฐานะค่อนข้างยากจน มีอาชีพทำนาเป็นหลัก อะไรที่พออยู่ได้ก็อยู่ไปก่อน ทั้งสี่คนพ่อแม่ลูกอยู่กันแบบสมถะ
“ป่ะสองคนช่วยแม่ยกสำรับข้าวออกไปวาง คนนึงไปเรียกพ่อมาทานข้าว” บุญล้ำกล่าว สองคนพี่น้องช่วยกันยกกับข้าวไปวาง บุญคูนเป็นคนเดินไปเรียกพ่อที่หน้าบ้านเอง ไม่นานทั้งสองคนพ่อลูกก็กลับเข้ามาในบ้าน ทานข้าวเช้าพร้อมหน้าพร้อมตากันสี่คนพ่อแม่ลูก
“ยูรจบ ป.6 แล้วพ่อจะให้เรียนต่อ ตั้งใจเรียนเข้าใจมั้ย พยายามอย่าให้ต้องซ้ำชั้น ส่วนคูนก็เหมือนกัน เรียนไม่เก่งก็ต้องตั้งใจให้มากขึ้น เป็นไปได้อย่าซ้ำชั้น” ระหว่างทานข้าวประเสริฐพูดกับลูกชายทั้งสองคน “พ่อจะปั้นลูกชายทั้งสองคนของพ่อให้ได้เป็นเจ้าคนนายคน” ประเสริฐพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แม้ฐานนะยากจนจำต้องขายที่ขายทางส่งเสียลูกชายก็ยอม
บุญล้ำนั่งทานข้าวพร้อมฟังพ่อลูกคุยกัน ตนเองไม่ออกสิทธิ์ออกเสียงใด ๆ หากผู้เป็นสามีว่าอย่างไรก็ว่าตามกัน ภายในใจก็อยากส่งลูกให้เรียนสูง ๆ เช่นกัน ตนเองเป็นชาวนามันลำบาก อยากให้ลูกสบาย แม้จะมีอีกคนที่กำลังจะเกิดมาก็ตาม หากเป็นผู้หญิงก็สบายหายห่วง โตมาก็ต้องออกเย้าออกเรือนไปอยู่กับสามีเหมือนเดิม
“ฉันเรียนหนังสือไม่เก่งเลยพ่อ ขี้เกียจเรียนด้วย ครูตีก้นเจ็บก็เจ็บ ฉันกะว่าจะจบแค่ ป.6 แล้วมาทำนาช่วยพ่อกับแม่ ส่งไอ้คูนเรียนคนเดียวก็พอ มันน่ะขี้โรค อ่อนแอ จะไปทำงานอะไรได้ ให้มันเรียนสูง ๆ คนเดียวก็พอ” ประยูรพูด ออกท่าทางเหน็บแนมผู้เป็นน้องชายด้วย เนื่องจากขัดใจเมื่อช่วงเช้าที่พ่อต้องไล่ให้เข้าบ้าน
บุญล้ำกับประเสริฐหัวเราะลูกชายคนโต ประยูรเป็นเด็กที่แข็งแรงจริง ๆ ตั้งแต่เกิดมานับครั้งป่วยก็ได้ เลี้ยงง่าย ไม่เหมือนบุญคูนลูกชายคนเล็ก ขี้โรคป่วยบ่อย แถมยังมีโรคหอบหืดมาเป็นโรคประจำตัวอีก
“เอางั้นเหรอ! เอ็งไม่อยากเป็นครูเป็นตำรวจกับเขาเหรอ เอ็งอยากเป็นชาวนาเหมือนพ่อกับแม่” ประเสริฐแหย่ลูกชาย ไม่บังคับอยู่แล้วหากลูกไม่ประสงค์จะเรียนต่อ มันก็ถือว่าเป็นเรื่องดีจะได้เบาแรงในการทำนา ในใจก็อยากส่งลูกให้เรียนสูง ๆ
“เอางั้นแหละพ่อ ฉันจะทำนาช่วยพ่อกับแม่เอง ให้ไอ้คูนเรียนไปเถอะ” ประยูรย้ำ
“นอกจากจะเลี้ยงไอ้คูนแล้ว เลี้ยงน้องคนนี้ด้วยนะ” สุดท้ายบุญล้ำก็เปิดเผยความจริงแก่ลูกชายทั้งสองคนด้วยใบหน้าปนยิ้ม พร้อมเอามือมาลูบที่หน้าท้องของตนเองด้วย ประยูรและบุญคูนเข้าใจในทันที ดีใจตื่นเต้นกันใหญ่ที่จะมีน้องมาเพิ่มอีกคน
หลังทานข้าวเช้าเสร็จทุกคนแยกย้ายกัน ประเสริฐนำควายไปเลี้ยง ช่วงนี้หน้าแล้งหลังเกี่ยวข้าวเสร็จไม่ค่อยมีหญ้าเลย ประเสริฐจำต้องให้ควายกินฟางไปก่อน ส่วนบุญล้ำก็ทำสวนปลูกผัก เป็นไปได้ไม่ต้องเสียเงินซื้อให้สิ้นเปลือง ประเสริฐขุดสระเลี้ยงปลาเอาไว้ พอได้จับมาต้มยำทำแกง
เพราะพ่อแม่พาอาศัยอยู่กระท่อมหัวนาห่างไกลหมู่บ้าน ทำให้สองพี่น้องไม่มีเพื่อนเล่น จำต้องเล่นด้วยกันสองคน นาน ๆ ที่เพื่อน ๆ จะปั่นจักรยานมาหาที่นา เสาร์อาทิตย์แบบนี้สองพี่น้องจึงเป็นเพื่อนซี้ที่ดีต่อกัน
ประเสริฐตัดต้นกระถินมาทำเป็นประตูฟุตบอลให้กับลูกทั้งสองคน ใช้ตานาเป็นสนามฟุตบอล สามเดือนก่อนประเสริฐเข้าไปในตัวเมือง จึงเจียดเงินซื้อลูกฟุตบอลมาให้ลูกชายเล่น เพราะเห็นว่าบ้านของตนอยู่ห่างไกลหมู่บ้าน กลัวว่าลูกชายทั้งสองคนจะเหงา จึงลงทุนซื้อลูกฟุตบอลมาให้เล่น ถือเป็นการให้ลูกชายคนเล็กออกกำลังกายไปในตัวด้วย กำชับว่าเหนื่อยให้หยุด ห้ามฝืน เดี๋ยวโรคหอบกำเริบ
ท้องทุ่งนากว้าง แห้งแล้งเต็มไปด้วยตอฟางที่ถูกเกี่ยวข้าวออกไปแล้ว เวลานี้มันเป็นอาหารของวัวควายได้ดีทีเดียว แทนต้นหญ้าที่ตายไป หน้าฝนกลับมาเมื่อไหร่ วัวควายถึงจะได้เล็มหญ้า
จากบ้านมองออกไปไกล ๆ เห็นทิวเขาอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ประหนึ่งว่าหากเดินลัดท้องนาไปคงไปถึง ภูเขาสองลูกเรียงกันนั้นชื่อ ‘ภูปอ’ ที่แม่พาไปไหว้สักการะทุกปีในวันมาฆะบูชา เสียงนกการ้องดังมาให้ได้ยินไม่ขาดระยะ ที่รั้วบ้านมีเสื้อผ้าที่แม่ซักตากเอาไว้ ส่วนหน้าที่เก็บเวลาผ้าแห้ง คือ เขากับน้องชาย
เดือนนี้ยังไม่หมดหน้าหนาว แม้จะมีแสงแดดทว่าก็ยังมีลมหนาวพัดมาให้รู้สึกเย็น ตอนเช้า ๆ ยังต้องสวมเสื้อแขนยาว และ การอาบน้ำในตอนเย็นยังเป็นอะไรที่เย็นยะเยือกอยู่ ที่บ้านเลี้ยงหมาด้วยสองตัว ก็นับว่าเป็นเพื่อนพอได้หายเหงา ของพวกเขาสองคนได้อีกเปลาะหนึ่งในวันเสาร์อาทิตย์เช่นนี้
หลายปีต่อมา
ประยูรจบเพียงชั้น ป.6 ดังที่ตั้งใจเอาไว้ เสียสละให้บุญคูนน้องชายได้เรียนต่อ พออายุย่างเข้าสิบห้าก็ขอพ่อแม่เข้าไปทำงานในกรุงเทพ ส่งเงินมาให้พ่อแม่กับน้องชายและน้องสาวได้ใช้จ่ายสบาย งานหนักงานเบาไม่เกี่ยง แค่ได้เงินประยูรก็ทำทั้งนั้น
เขาเที่ยวเขียนจดหมายมาหาพ่อกับแม่ประจำ วุฒิ ป.6 ก็พอทำให้เขาอ่านออกเขียนได้ ช่วงหลัง ๆ มาแม่มักเขียนจดหมายมาบ่นเรื่องบุญคูนให้ฟังเสมอ บอกว่าเกเร หัวดื้อ พูดอะไรก็ชอบเถียง บอกไม่ค่อยฟังนัก
เขาได้อ่านก็ไม่รู้จะทำเช่นไร ตนเองก็ทำงานอยู่กรุงเทพ ได้แต่เขียนจดหมายกลับไปปลอบใจแม่ ค่อย ๆ บอกค่อย ๆ สอนกัน น้องชายเป็นวัยรุ่นอารมณ์ร้อน อารมณ์วัยรุ่นจะไปจ้ำจี้จ้ำชัยเหมือนตอนเด็ก ๆ ไม่ได้ ยังดีที่บุญคูนแค่เป็นคนหัวดื้อ ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนมาให้พ่อกับแม่ต้องเสียเงินโดยสิ้นเปลือง
แข่งเรือแข่งพายแข่งกันได้ แต่ แข่งบุญแข่งวาสนามันแข่งกันไม่ได้ ดังคำโบราณเขาว่าไว้
ประยูรทำหน้าที่หาเงินส่งเสียน้อง ๆ เรียนด้วยความเต็มใจ ทั้งน้องชายและน้องสาว เมื่ออายุเข้ายี่สิบเอ็ดปีต้องกลับมาเกณฑ์ทหาร ส่วนบุญคูนนั้นเข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัยแล้ว เข้าเรียนที่วิทยาลัยครูในจังหวัดใกล้บ้าน
ประยูรจับได้ใบแดงต้องไปเป็นทหารเกณฑ์ บุญคูนแอบเสียใจเพราะมันหมายความว่าจะไม่มีคนหาเงินให้ตนเองใช้ พ่อแม่ให้ใช้คงไม่พอค่าใช่จ่ายของตนแน่ ๆ แต่จะทำอย่างไรได้ พี่ชายก็ติดทหารไปแล้ว เงินเดือนทหารจะได้เท่าไหร่กันเชียว แอบผิดหวังทว่าต้องเก็บอาการ
บุญคูนเรียนที่วิทยาลัยครู ด้วยความที่เป็นหนุ่มหน้าตาดีจึงหาแฟนได้ไม่ยาก มีผู้หญิงมากมายมาติดพัน ทำให้ไม่ค่อยสนใจการเรียนเท่าที่ควร สนใจเอาใจแต่แฟนสาว ส่วนประยูรก็เป็นทหารอยู่ในค่าย การเข้ารับราชการทหารทำให้ได้มีเวลามาเยี่ยมพ่อแม่ที่บ้านปีละหลาย ๆ รอบ จากที่ทำงานที่กรุงเทพ ได้กลับมาเพียงปีละสองครั้ง
ประเสริฐเห็นลู่ทางสว่างของชีวิตลูกชายคนโต ด้วยใจที่มุ่งอยากให้ลูกได้เป็นเจ้าคนนายคนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงยุลูกชายคนโตให้สอบเข้าเป็นนายสิบทหารบก ไม่ต้องลาออกหลังจากปลดทหาร
ประเสริฐภูมิใจในวาสนาของตนเองมาก ๆ ถึงแม้ประยูรจะจบเพียงชั้น ป.6 ก็จะได้รับราชการทหาร ส่วนลูกชายคนเล็กบุญคูนก็จะได้เป็นครู ชีวิตชาวนาของตนเองหวังเพียงเท่านี้
ยิ่งนึกก็ยิ่งมีความสุข ประเสริฐกับบุญล้ำไม่เสียใจเลยที่ต้องเสียนาสองแปลง เพื่อขายส่งบุญคูนเรียนวิทยาลัยครู และ ส่งลูกสาวคนเล็กเรียนหนังสือ
ประยูรได้เป็นนายสิบทหารบกสมใจคนเป็นพ่อ วันรับหมวกญาติมิตรไปร่วมแสดงความยินดีด้วยทุกคน แต่ ใครจะรู้ว่าหลังจากนั้นกลับมาบ้าน ทุกคนจะต้องเสียใจและผิดหวังเป็นที่สุด เมื่อมีครอบครัวของแฟนสาวบุญคูนมารอที่บ้าน
ทุกคนกลับมาที่บ้านพบว่ามีแขกมารอพบ บุญคูนทำหน้าเลิ่กลั่กเพราะรู้อยู่แก่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น พ่อของแฟนสาวบุญคูนยืนขึ้น จ้องหน้าประเสริฐผู้เป็นพ่อ ก่อนจะเอ่ยวาจาเด็ดขาด ให้บุญคูนไปรับผิดชอบลูกในท้องของลูกสาวตนเอง
บุญล้ำและประเสริฐอ้าปากค้างเมื่อได้ฟัง ไม่อยากเชื่อหูตนเอง เพราะหวังเอาไว้กับตัวบุญคูนมาก ประเสริฐถลาเข้าตบหน้าของลูกชายคนเล็กไปหนึ่งฉาก และ จะเข้าไปซ้ำอีกรอบด้วยความเสียใจ บุญล้ำผู้เป็นแม่และประยูรลูกชายคนโตต้องเข้าห้ามไว้ บุญคูนร้องไห้ยกมือไหว้ขอโทษพ่อที่ทำให้เสียใจ
เรื่องนี้ทำให้บุญคูนต้องรับผิดชอบสิ่งที่ทำ และ จำต้องออกจากวิทยาลัยครู ประเสริฐกับบุญล้ำไม่ยอมส่งเสียให้เรียนอีกต่อไป บุญคูนแต่งงานกับแฟนสาว ทำนาแทนประเสริฐและบุญล้ำผู้เป็นพ่อแม่ ถึงจะโกรธลูกชายมากแค่ไหน ทว่าหลานสาวตาดำ ๆ ก็เกลียดและโกรธไม่ลง