ตอนที่ 2
ยกมือดูนาฬิกาข้อมือ บอกเวลาทุ่มกว่า
เด็กสาวหันไปมองทางหน้าต่าง บรรยากาศภายนอกดูมืดราวดึกดื่นเที่ยงคืน สายฝนหยุดกระหน่ำแล้ว เหลือเพียงละอองไอเย็นพัดเข้ามาทางหน้าต่าง เธอรู้สึกหิว แต่ร้านอาหารของมหาวิทยาลัยอาจปิดไปแล้ว ถ้าอยากหาร้านอาหารคงต้องเดินออกไปถึงหน้ามหาวิทยาลัย แน่นอนว่าอยู่ไกลพอสมควร ระยะทางไม่เป็นปัญหา กลัวแต่ว่าออกไปแล้ว จะกล้ากลับเข้ามาอีกหรือไม่เท่านั้น ภาพสยองขวัญในฝันยังคงกระจ่างชัดในความรู้สึกนึกคิด
จำได้ว่าข้างล่างมีเครื่องกรองน้ำสำหรับดื่ม ติดอยู่ข้างผนังบริเวณทางเข้า เด็กสาวตัดสินใจเดินลงมายังชั้นล่างอย่างหวาด ๆ ใจสั่นรัว มีแสงไฟจากห้องโถงชั้นล่าง บริเวณใกล้ประตูหอพักทำให้ใจชื้นขึ้นมา มองเห็นอาจารย์คานะนั่งจมอยู่ในเก้าอี้นั่งเล่นเหมือนเป็นหุ่นปั้น ทีวีข้างผนังเปิดทิ้งเอาไว้ ไม่มีภาพอะไรเป็นเรื่องเป็นราวบนหน้าจอ ท่าทางอาจารย์แม่มดไม่ได้สนใจเลยสักนิดว่าทีวีไม่มีสัญญาณภาพ เพราะมัวแต่ก้มหน้าอ่านหนังสือเล่มโตอยู่ ร่างอาบแสงไฟสีซีดจาง จนดูไปคล้ายซากศพ
เด็กสาวหยุดมองอย่างไม่เข้าใจ ทำไมต้องเปิดทีวีทิ้งเอาไว้ อย่างไรก็รู้สึกดีขึ้นมา เมื่อรู้ว่ายังมีอีกคนอยู่ในหอพักด้วย เธอไม่กล้าเอ่ยปากทักทายเพียงแอบมองจากด้านหลังอย่างเงียบ ๆ ครู่หนึ่ง เห็นอาจารย์คานะหันไปมองด้านข้าง มองไปยังเก้าอี้ว่างเปล่าตัวหนึ่ง ส่ายหน้ายิ้มให้เสมือนหนึ่งว่ามีใครบางคนนั่งอยู่ตรงนั้น ร่างที่มีแต่อาจารย์เท่านั้นมองเห็น
“ไม่ต้องห่วงหรอก” อาจารย์แม่มดทำท่าพูดราวกระซิบ แต่เด็กสาวได้ยิน เพราะแอบเอียงหูฟังอย่างตั้งใจ “เธอมาแล้ว ทุกอย่างจะจบลงด้วยดี”
เกิดบ้าอะไรกันขึ้นอีกล่ะ... ห้องโถงไม่มีใครอื่นอยู่เลย สงสัยอาจารย์คงสติไม่ดีแน่นอน ทำไมทางมหาวิทยาลัยถึงยังจ้างคนมีปัญหาทางจิตทำงาน
อาจารย์คานะเหมือนเพิ่งรู้สึก และสังเกตได้ว่ามีใครบางคนยืนมองอยู่ จึงหันขวับมามองด้วยสายตาเย็นชา ขยับแว่นจ้องมาพูดเสียงดังอย่างไม่พอใจ
“จะไปทำธุระอะไรก็รีบไป เดี๋ยวต้องปิดประตูทางเข้าหอพัก”
“ปิดประตู…”
เด็กสาวเผลอทวนคำออกไป แต่อาจารย์สูงวัยทำหน้าจริงจังเหลือเกินขณะพูดต่ออีกว่า
“ก็แน่ละ เพื่อความปลอดภัย เราต้องปิดประตูทางเข้าออกหอพักทุกด้านเมื่อเวลาหนึ่งทุ่ม ไม่ต้องห่วง ไม่ใช่หน้าที่ของเธอ เดี๋ยวก็จะมียามรักษาการณ์มาปิดให้เอง และ...”
หยุดเว้นวรรค มองหน้าเขม็ง แบบสายตาของแมวตัวใหญ่จ้องตะครุบหนู ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงแปลกพิกลต่อไปว่า
“ปิดกั้นไม่ให้เธอออกไปข้างนอก ไม่ให้ใครเข้ามาวุ่นวายยังไงล่ะ มันก็เพื่อความปลอดภัย สมัยนี้จะไปไว้ใจอะไรได้ง่าย ๆ เธอจะไปไหนก็ได้ แต่รีบกลับมาก่อนสองทุ่ม”
อายามิล่าถอยออกมาอย่างเงียบงัน
นาฬิกาบนข้อมือบอกว่าอีกประมาณครึ่งชั่วโมงจะเป็นเวลาปิดหอพัก...ถ้าออกไปหน้ามหาวิทยาลัยหาอะไรกิน ไม่แน่ใจว่าจะกลับมาทันหรือเปล่าเพราะไม่คุ้นเคยกับสถานที่ อดข้าวเย็นสักมื้อคงไม่ตาย จำได้ว่าในกระเป๋ายังพอมีขนมอยู่สองสามห่อพอประทังความหิว เข้าห้องน้ำอีกเผื่ออนาคตให้เรียบร้อยไว้ก่อน เด็กสาวกลับขึ้นมาเข้านอน ปิดประตูล็อกห้องแบบไม่ยอมเปิดเด็ดขาดจนกว่าจะถึงพรุ่งนี้เช้า
เสียงเลื่อนประตูเหล็กโครมครามด้านล่าง...หอพักปิดแล้ว
เด็กสาวนอนมองเพดานอยู่ในห้องพักอย่างเงียบงัน ฝนซาไปตั้งแต่หัวค่ำ ละอองไอเย็นยังแผ่ซ่านไปทุกอณูอากาศ แสงไฟซีดหม่นบนเพดานดูไม่สว่างอย่างควรจะเป็น บรรยากาศในหอพักเงียบเชียบวังเวงน่ากลัว ทำให้รู้สึกผวา ซึ้งใจกับการอยู่เพียงลำพัง ในสถานที่อ้างว้างห่างไกลจากผู้คน ความเงียบทำให้ใจนึกถึงอะไรไปเรื่อยเปื่อย และมักนึกไปในทางลบอันน่ากลัวอย่างบังคับไม่ได้ พยายามข่มตาสะกดใจให้หลับก็หลับไม่ลง ความรู้สึกคอยตอกย้ำอยู่ตลอดเวลา ว่าเธอกำลังนอนอยู่ในหอพักใหญ่โตเพียงลำพัง ถ้าไม่นับอาจารย์ประจำหอพัก ผู้ดูมีเลศนัยชอบกลคนนั้น
ลมกระโชกพัดเข้ามาทางบานเกล็ด แล้วผ่านออกไปทางช่องลมเหนือประตู ก่อนจะพัดผ่านไปตามทางเดิน เกิดเสียงหวีดหวิวฟังคล้ายเสียงหวีดร้องโหยหวนยาวนาน ก่อนจะจางหาย เด็กสาวใจสั่น นึกไปถึงหนังเกี่ยวกับภูตผีปีศาจที่เคยดูอย่างสนุกสนาน แต่เวลานี้ทำไมน่ากลัวเหลือเกิน แม้จะเป็นเพียงเสียงลมพัด ก็ทำให้ขนลุก ภาพภูตผีปีศาจกระจ่างชัดขึ้นมาเรื่อย ๆ จนแทบจะเป็นตัวเป็นตน กระโดดออกมาจากความคิด
เราท่าจะเพี้ยนไปแล้ว เด็กสาวพยายามสลัดภาพอันน่าประหวั่นพรั่นพรึงออกไปจากห้วงแห่งจินตนาการ ลุกขึ้นจากเตียงเดินไปที่หน้าต่าง จ้องมองออกไป เผื่อจะพบผู้คนให้อุ่นใจบ้าง ห้องพักของเธออยู่ทางด้านหน้าทางเข้าหอพัก มองออกไปเห็นถนนสายเล็ก ๆ แยกมาจากถนนใหญ่ตรงมายังหอพัก แสงไฟจากเสาไฟฟ้าส่องสลัว เห็นความมัวหม่นของสุมทุมพุ่มไม้ และทิวสนเป็นแนวยาวเรียงราย ดูเงียบเชียบวังเวงเหมือนทางเข้าสุสาน เด็กสาวจ้องมองอย่างไร้ความหมาย มันก็เป็นธรรมดาว่ายังไม่มีใครมาพัก บรรยากาศถึงได้อ้างว้างเยือกเย็น พรุ่งนี้ขี้คร้านจะโกลาหลอลหม่าน เต็มไปด้วยผู้คนพลุกพล่าน รุ่นพี่รุ่นน้องคงเดินขวักไขว่แทบชนกันตาย
แต่แล้วเธอพลันขมวดคิ้ว มองลงไปอย่างไม่แน่ใจ
ริมทางเดินด้านล่างใต้ต้นสนกิ่งก้านไหวตามลมโชย เธอสังเกตเห็นใครคนหนึ่งยืนนิ่งอยู่
ขยี้ตาพยายามมองให้แน่ใจ แต่สายตายังยืนยันว่าใต้ต้นสนมีคนยืนอยู่จริง ๆ ชั้นสามของหอพักไม่ได้สูงเกินไปจนมองอะไรไม่ชัด ร่างอยู่ในเงามืดบังเงาต้นสน แต่ยังมองเห็นรูปทรงว่าเป็นคนอย่างแน่นอน ท่าทางจะเป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
แล้วใครกันล่ะ มายืนอยู่ในเงามืดเปล่าเปลี่ยวยามค่ำคืนเพียงลำพัง ไม่กลัวภัยอันตรายเลยหรืออย่างไร
อายามิรู้สึกว่าใจเต้นแรง ยืนจ้องร่างลึกลับอย่างไม่คลาดสายตา หรือว่าจะเป็นพวกมิจฉาชีพ แต่ถ้าเป็นคนไม่ดี คงไม่มายืนอยู่โดยไม่พยายามปกปิดร่องรอย เพราะถ้าใครผ่านไปมาถนนหน้าหอพัก ก็ย่อมจะพบเห็นได้ง่ายดายโดยทันที เวลาผ่านไปเชื่องช้าและอึดอัด อะไรบางอย่างบอกเด็กสาวว่าคนลึกลับที่หน้าตึก รู้ตัวว่ากำลังถูกจ้องมองอยู่ ไม่ว่าใครก็ตามถ้ายืนอยู่ด้านล่างย่อมจะมองขึ้นมา เห็นหน้าต่างบานเดียว มีแสงไฟลอดออกมาจากภายใต้เงื้อมเงาทะมึนของหอพักหญิง มองเห็นเงาร่างปรากฏอยู่ตรงบริเวณหน้าต่างชั้นสามได้เช่นกัน
เด็กสาวเบี่ยงตัวหลบออกจากหน้าต่าง แต่ยังเอียงหน้ามองลงไปแบบซ่อนร่องรอยให้มากที่สุด เพราะความสงสัยในพฤติกรรมของคนลึกลับด้านล่าง ดูเหมือนต่างฝ่ายต่างหยั่งเชิงกันพักใหญ่ ในที่สุดร่างนั้นก็เคลื่อนออกมาจากเงามืด แสงไฟบริเวณหน้าหอพัก สาดให้มองเห็นถนัดตายิ่งขึ้นเมื่อพ้นเงาสน เป็นผู้หญิงอย่างที่คิดไว้จริง ๆ อายุคงอยู่ในวัยนักศึกษา เรือนผมยาวประบ่า รูปร่างค่อนข้างผอม เป็นเวลาเดียวกับสายฟ้าแลบสว่างจ้าฉายให้เห็นใบหน้าซีดขาวราวกับพอกด้วยแป้ง เงยหน้าขึ้นมามองพอดี
ไฟในห้องดับพรึบ
เด็กสาวใจหายวาบ แสงไฟรอบตัวหายวับไปเหมือนฟิล์มหนังขาดกะทันหัน
ไม่แปลกหรอก พยายามปลอบใจตัวเอง ช่วงนี้ฝนตก ไฟฟ้าก็มีโอกาสดับได้ แต่เมื่อมองเลยทิวสนออกไป ยังพอมองเห็นแสงไฟวับแวมจากอาคารต่าง ๆ ในความมืด เออ...ทำไมจำเพาะเจาะจงมาดับเฉพาะหอพักแห่งเดียวเท่านั้น เสาไฟฟ้าริมถนนยังคงสว่างเป็นปกติ ยังคงมองเห็นสาวลึกลับผู้อยู่ด้านล่างได้อย่างชัดเจน ว่าเธอเดินตรงเข้ามา จนพ้นสายตาของการเฝ้ามอง เพราะกันสาดของตัวอาคารบดบังสายตา
ผู้หญิงลึกลับเป็นใครกัน ประตูหอพักปิดแล้ว แต่ท่าทางของเธอมุ่งหน้าตรงเข้ามาในหอพัก เหมือนกับว่ากำลังเดินเข้าบ้านตัวเองก็ไม่ปาน และคงกำลังยืนอยู่ประตูทางเข้าหอพักเป็นแน่แท้ แต่ไม่มีทางจะเข้ามาได้
ตอนนั้นเอง เด็กสาวเริ่มได้ยินเสียงบางอย่าง
เสียงตึก...ตึก... กำลังสั่นสะเทือน เป็นจังหวะเหมือนการเต้นของหัวใจมนุษย์ คงเป็นหัวใจขนาดมหึมาจนคาดไม่ถึง
เสียงประหลาดก้องอยู่ในความรู้สึกและห้วงแห่งความคิด คล้ายหัวใจนรกกำลังเต้นสะท้าน เสียงลมกระโชกครืนเหมือนลมหายใจของความมืด ราวกับว่าหอพักคือสังขารของอสุรกายจากนรก อาคารกำลังบิดเกลียวผ่อนคลายความเมื่อยล้า หลังการตื่นฟื้นขึ้นมาจากการรอคอยอันยาวนาน วูบนั้นเด็กสาวรู้สึกขนลุกเกรียวขึ้นมาทั้งตัว เมื่อคิดได้ว่าใครคนหนึ่ง ไม่รู้ว่าผีหรือคนกำลังอาศัยความมืด พยายามเข้ามาร่วมชายคาหอพักนรกแตกเดียวกันกับเธอ มาด้วยจุดประสงค์เร้นลับ ที่อายามิก็ยังไม่รู้ว่าคืออะไร
(มีต่อ)
คืนอาถรรพ์ หอพักนรก ตอนที่ 2
ยกมือดูนาฬิกาข้อมือ บอกเวลาทุ่มกว่า
เด็กสาวหันไปมองทางหน้าต่าง บรรยากาศภายนอกดูมืดราวดึกดื่นเที่ยงคืน สายฝนหยุดกระหน่ำแล้ว เหลือเพียงละอองไอเย็นพัดเข้ามาทางหน้าต่าง เธอรู้สึกหิว แต่ร้านอาหารของมหาวิทยาลัยอาจปิดไปแล้ว ถ้าอยากหาร้านอาหารคงต้องเดินออกไปถึงหน้ามหาวิทยาลัย แน่นอนว่าอยู่ไกลพอสมควร ระยะทางไม่เป็นปัญหา กลัวแต่ว่าออกไปแล้ว จะกล้ากลับเข้ามาอีกหรือไม่เท่านั้น ภาพสยองขวัญในฝันยังคงกระจ่างชัดในความรู้สึกนึกคิด
จำได้ว่าข้างล่างมีเครื่องกรองน้ำสำหรับดื่ม ติดอยู่ข้างผนังบริเวณทางเข้า เด็กสาวตัดสินใจเดินลงมายังชั้นล่างอย่างหวาด ๆ ใจสั่นรัว มีแสงไฟจากห้องโถงชั้นล่าง บริเวณใกล้ประตูหอพักทำให้ใจชื้นขึ้นมา มองเห็นอาจารย์คานะนั่งจมอยู่ในเก้าอี้นั่งเล่นเหมือนเป็นหุ่นปั้น ทีวีข้างผนังเปิดทิ้งเอาไว้ ไม่มีภาพอะไรเป็นเรื่องเป็นราวบนหน้าจอ ท่าทางอาจารย์แม่มดไม่ได้สนใจเลยสักนิดว่าทีวีไม่มีสัญญาณภาพ เพราะมัวแต่ก้มหน้าอ่านหนังสือเล่มโตอยู่ ร่างอาบแสงไฟสีซีดจาง จนดูไปคล้ายซากศพ
เด็กสาวหยุดมองอย่างไม่เข้าใจ ทำไมต้องเปิดทีวีทิ้งเอาไว้ อย่างไรก็รู้สึกดีขึ้นมา เมื่อรู้ว่ายังมีอีกคนอยู่ในหอพักด้วย เธอไม่กล้าเอ่ยปากทักทายเพียงแอบมองจากด้านหลังอย่างเงียบ ๆ ครู่หนึ่ง เห็นอาจารย์คานะหันไปมองด้านข้าง มองไปยังเก้าอี้ว่างเปล่าตัวหนึ่ง ส่ายหน้ายิ้มให้เสมือนหนึ่งว่ามีใครบางคนนั่งอยู่ตรงนั้น ร่างที่มีแต่อาจารย์เท่านั้นมองเห็น
“ไม่ต้องห่วงหรอก” อาจารย์แม่มดทำท่าพูดราวกระซิบ แต่เด็กสาวได้ยิน เพราะแอบเอียงหูฟังอย่างตั้งใจ “เธอมาแล้ว ทุกอย่างจะจบลงด้วยดี”
เกิดบ้าอะไรกันขึ้นอีกล่ะ... ห้องโถงไม่มีใครอื่นอยู่เลย สงสัยอาจารย์คงสติไม่ดีแน่นอน ทำไมทางมหาวิทยาลัยถึงยังจ้างคนมีปัญหาทางจิตทำงาน
อาจารย์คานะเหมือนเพิ่งรู้สึก และสังเกตได้ว่ามีใครบางคนยืนมองอยู่ จึงหันขวับมามองด้วยสายตาเย็นชา ขยับแว่นจ้องมาพูดเสียงดังอย่างไม่พอใจ
“จะไปทำธุระอะไรก็รีบไป เดี๋ยวต้องปิดประตูทางเข้าหอพัก”
“ปิดประตู…”
เด็กสาวเผลอทวนคำออกไป แต่อาจารย์สูงวัยทำหน้าจริงจังเหลือเกินขณะพูดต่ออีกว่า
“ก็แน่ละ เพื่อความปลอดภัย เราต้องปิดประตูทางเข้าออกหอพักทุกด้านเมื่อเวลาหนึ่งทุ่ม ไม่ต้องห่วง ไม่ใช่หน้าที่ของเธอ เดี๋ยวก็จะมียามรักษาการณ์มาปิดให้เอง และ...”
หยุดเว้นวรรค มองหน้าเขม็ง แบบสายตาของแมวตัวใหญ่จ้องตะครุบหนู ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงแปลกพิกลต่อไปว่า
“ปิดกั้นไม่ให้เธอออกไปข้างนอก ไม่ให้ใครเข้ามาวุ่นวายยังไงล่ะ มันก็เพื่อความปลอดภัย สมัยนี้จะไปไว้ใจอะไรได้ง่าย ๆ เธอจะไปไหนก็ได้ แต่รีบกลับมาก่อนสองทุ่ม”
อายามิล่าถอยออกมาอย่างเงียบงัน
นาฬิกาบนข้อมือบอกว่าอีกประมาณครึ่งชั่วโมงจะเป็นเวลาปิดหอพัก...ถ้าออกไปหน้ามหาวิทยาลัยหาอะไรกิน ไม่แน่ใจว่าจะกลับมาทันหรือเปล่าเพราะไม่คุ้นเคยกับสถานที่ อดข้าวเย็นสักมื้อคงไม่ตาย จำได้ว่าในกระเป๋ายังพอมีขนมอยู่สองสามห่อพอประทังความหิว เข้าห้องน้ำอีกเผื่ออนาคตให้เรียบร้อยไว้ก่อน เด็กสาวกลับขึ้นมาเข้านอน ปิดประตูล็อกห้องแบบไม่ยอมเปิดเด็ดขาดจนกว่าจะถึงพรุ่งนี้เช้า
เสียงเลื่อนประตูเหล็กโครมครามด้านล่าง...หอพักปิดแล้ว
เด็กสาวนอนมองเพดานอยู่ในห้องพักอย่างเงียบงัน ฝนซาไปตั้งแต่หัวค่ำ ละอองไอเย็นยังแผ่ซ่านไปทุกอณูอากาศ แสงไฟซีดหม่นบนเพดานดูไม่สว่างอย่างควรจะเป็น บรรยากาศในหอพักเงียบเชียบวังเวงน่ากลัว ทำให้รู้สึกผวา ซึ้งใจกับการอยู่เพียงลำพัง ในสถานที่อ้างว้างห่างไกลจากผู้คน ความเงียบทำให้ใจนึกถึงอะไรไปเรื่อยเปื่อย และมักนึกไปในทางลบอันน่ากลัวอย่างบังคับไม่ได้ พยายามข่มตาสะกดใจให้หลับก็หลับไม่ลง ความรู้สึกคอยตอกย้ำอยู่ตลอดเวลา ว่าเธอกำลังนอนอยู่ในหอพักใหญ่โตเพียงลำพัง ถ้าไม่นับอาจารย์ประจำหอพัก ผู้ดูมีเลศนัยชอบกลคนนั้น
ลมกระโชกพัดเข้ามาทางบานเกล็ด แล้วผ่านออกไปทางช่องลมเหนือประตู ก่อนจะพัดผ่านไปตามทางเดิน เกิดเสียงหวีดหวิวฟังคล้ายเสียงหวีดร้องโหยหวนยาวนาน ก่อนจะจางหาย เด็กสาวใจสั่น นึกไปถึงหนังเกี่ยวกับภูตผีปีศาจที่เคยดูอย่างสนุกสนาน แต่เวลานี้ทำไมน่ากลัวเหลือเกิน แม้จะเป็นเพียงเสียงลมพัด ก็ทำให้ขนลุก ภาพภูตผีปีศาจกระจ่างชัดขึ้นมาเรื่อย ๆ จนแทบจะเป็นตัวเป็นตน กระโดดออกมาจากความคิด
เราท่าจะเพี้ยนไปแล้ว เด็กสาวพยายามสลัดภาพอันน่าประหวั่นพรั่นพรึงออกไปจากห้วงแห่งจินตนาการ ลุกขึ้นจากเตียงเดินไปที่หน้าต่าง จ้องมองออกไป เผื่อจะพบผู้คนให้อุ่นใจบ้าง ห้องพักของเธออยู่ทางด้านหน้าทางเข้าหอพัก มองออกไปเห็นถนนสายเล็ก ๆ แยกมาจากถนนใหญ่ตรงมายังหอพัก แสงไฟจากเสาไฟฟ้าส่องสลัว เห็นความมัวหม่นของสุมทุมพุ่มไม้ และทิวสนเป็นแนวยาวเรียงราย ดูเงียบเชียบวังเวงเหมือนทางเข้าสุสาน เด็กสาวจ้องมองอย่างไร้ความหมาย มันก็เป็นธรรมดาว่ายังไม่มีใครมาพัก บรรยากาศถึงได้อ้างว้างเยือกเย็น พรุ่งนี้ขี้คร้านจะโกลาหลอลหม่าน เต็มไปด้วยผู้คนพลุกพล่าน รุ่นพี่รุ่นน้องคงเดินขวักไขว่แทบชนกันตาย
แต่แล้วเธอพลันขมวดคิ้ว มองลงไปอย่างไม่แน่ใจ
ริมทางเดินด้านล่างใต้ต้นสนกิ่งก้านไหวตามลมโชย เธอสังเกตเห็นใครคนหนึ่งยืนนิ่งอยู่
ขยี้ตาพยายามมองให้แน่ใจ แต่สายตายังยืนยันว่าใต้ต้นสนมีคนยืนอยู่จริง ๆ ชั้นสามของหอพักไม่ได้สูงเกินไปจนมองอะไรไม่ชัด ร่างอยู่ในเงามืดบังเงาต้นสน แต่ยังมองเห็นรูปทรงว่าเป็นคนอย่างแน่นอน ท่าทางจะเป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
แล้วใครกันล่ะ มายืนอยู่ในเงามืดเปล่าเปลี่ยวยามค่ำคืนเพียงลำพัง ไม่กลัวภัยอันตรายเลยหรืออย่างไร
อายามิรู้สึกว่าใจเต้นแรง ยืนจ้องร่างลึกลับอย่างไม่คลาดสายตา หรือว่าจะเป็นพวกมิจฉาชีพ แต่ถ้าเป็นคนไม่ดี คงไม่มายืนอยู่โดยไม่พยายามปกปิดร่องรอย เพราะถ้าใครผ่านไปมาถนนหน้าหอพัก ก็ย่อมจะพบเห็นได้ง่ายดายโดยทันที เวลาผ่านไปเชื่องช้าและอึดอัด อะไรบางอย่างบอกเด็กสาวว่าคนลึกลับที่หน้าตึก รู้ตัวว่ากำลังถูกจ้องมองอยู่ ไม่ว่าใครก็ตามถ้ายืนอยู่ด้านล่างย่อมจะมองขึ้นมา เห็นหน้าต่างบานเดียว มีแสงไฟลอดออกมาจากภายใต้เงื้อมเงาทะมึนของหอพักหญิง มองเห็นเงาร่างปรากฏอยู่ตรงบริเวณหน้าต่างชั้นสามได้เช่นกัน
เด็กสาวเบี่ยงตัวหลบออกจากหน้าต่าง แต่ยังเอียงหน้ามองลงไปแบบซ่อนร่องรอยให้มากที่สุด เพราะความสงสัยในพฤติกรรมของคนลึกลับด้านล่าง ดูเหมือนต่างฝ่ายต่างหยั่งเชิงกันพักใหญ่ ในที่สุดร่างนั้นก็เคลื่อนออกมาจากเงามืด แสงไฟบริเวณหน้าหอพัก สาดให้มองเห็นถนัดตายิ่งขึ้นเมื่อพ้นเงาสน เป็นผู้หญิงอย่างที่คิดไว้จริง ๆ อายุคงอยู่ในวัยนักศึกษา เรือนผมยาวประบ่า รูปร่างค่อนข้างผอม เป็นเวลาเดียวกับสายฟ้าแลบสว่างจ้าฉายให้เห็นใบหน้าซีดขาวราวกับพอกด้วยแป้ง เงยหน้าขึ้นมามองพอดี
ไฟในห้องดับพรึบ
เด็กสาวใจหายวาบ แสงไฟรอบตัวหายวับไปเหมือนฟิล์มหนังขาดกะทันหัน
ไม่แปลกหรอก พยายามปลอบใจตัวเอง ช่วงนี้ฝนตก ไฟฟ้าก็มีโอกาสดับได้ แต่เมื่อมองเลยทิวสนออกไป ยังพอมองเห็นแสงไฟวับแวมจากอาคารต่าง ๆ ในความมืด เออ...ทำไมจำเพาะเจาะจงมาดับเฉพาะหอพักแห่งเดียวเท่านั้น เสาไฟฟ้าริมถนนยังคงสว่างเป็นปกติ ยังคงมองเห็นสาวลึกลับผู้อยู่ด้านล่างได้อย่างชัดเจน ว่าเธอเดินตรงเข้ามา จนพ้นสายตาของการเฝ้ามอง เพราะกันสาดของตัวอาคารบดบังสายตา
ผู้หญิงลึกลับเป็นใครกัน ประตูหอพักปิดแล้ว แต่ท่าทางของเธอมุ่งหน้าตรงเข้ามาในหอพัก เหมือนกับว่ากำลังเดินเข้าบ้านตัวเองก็ไม่ปาน และคงกำลังยืนอยู่ประตูทางเข้าหอพักเป็นแน่แท้ แต่ไม่มีทางจะเข้ามาได้
ตอนนั้นเอง เด็กสาวเริ่มได้ยินเสียงบางอย่าง
เสียงตึก...ตึก... กำลังสั่นสะเทือน เป็นจังหวะเหมือนการเต้นของหัวใจมนุษย์ คงเป็นหัวใจขนาดมหึมาจนคาดไม่ถึง
เสียงประหลาดก้องอยู่ในความรู้สึกและห้วงแห่งความคิด คล้ายหัวใจนรกกำลังเต้นสะท้าน เสียงลมกระโชกครืนเหมือนลมหายใจของความมืด ราวกับว่าหอพักคือสังขารของอสุรกายจากนรก อาคารกำลังบิดเกลียวผ่อนคลายความเมื่อยล้า หลังการตื่นฟื้นขึ้นมาจากการรอคอยอันยาวนาน วูบนั้นเด็กสาวรู้สึกขนลุกเกรียวขึ้นมาทั้งตัว เมื่อคิดได้ว่าใครคนหนึ่ง ไม่รู้ว่าผีหรือคนกำลังอาศัยความมืด พยายามเข้ามาร่วมชายคาหอพักนรกแตกเดียวกันกับเธอ มาด้วยจุดประสงค์เร้นลับ ที่อายามิก็ยังไม่รู้ว่าคืออะไร
(มีต่อ)