เข่นพระสุตรนี้เป็นต้น...
[๔๙๗] สมัยหนึ่ง ท่านพระสารีบุตรอยู่ ณ บ้านนาลคาม ในแคว้นมคธ
ครั้งนั้นแล ปริพาชกชื่อว่าชัมพุขาทกะ เข้าไปหาท่านพระสารีบุตรถึงที่อยู่ ได้
ปราศรัยกับท่านพระสารีบุตร ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง
ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ถามท่านพระสารีบุตรว่า
ดูกรท่านสารีบุตรที่เรียกว่า นิพพานๆ ดังนี้ นิพพานเป็นไฉนหนอ?
ท่านพระสารีบุตรตอบว่า
ดูกรผู้มีอายุ ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่านิพพาน ฯ...
คนฟังส่วนมากเมื่อได้ฟังอย่างง่ายๆอย่างนี้แล้วย่อมเข้าใจผิดไปว่า ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ
นั่นแหละ คือเหตุปัจจัยทำให้เกิดนิพพาน
แต่ความเป็นจริง ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ
คือการก้าวข้ามจากฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่งหนึ่ง หรือเหมือนผลไม้ที่แก่สุกเต็มที่หลุดจากขั้วลงสู่พื้นดินนั่นเอง..
เมื่อเข้าใจผิดอย่างอื่นมันก็ผิดตามกันไปหมด หาว่านิพพานเป็นอนัตตาบ้าง นิพพานเมื่อไม่เกิด
นิพพานจึงไม่มีความเสื่อม ไม่มีความดับบ้าง นิพพานจึงว่างเปล่า ไร้ตัวตน (เท่ากับว่าไม่มีนิพพานนั่นเอง)
วันนี้เอาแค่นี้ก่อน ....ว่างๆค่อยมาว่า นิพพานไม่ใช่การเกิด คืออย่างไร.
มิจฉาทิฏฐิ แปลว่า การเข้าใจอย่างผิดๆ ?
[๔๙๗] สมัยหนึ่ง ท่านพระสารีบุตรอยู่ ณ บ้านนาลคาม ในแคว้นมคธ
ครั้งนั้นแล ปริพาชกชื่อว่าชัมพุขาทกะ เข้าไปหาท่านพระสารีบุตรถึงที่อยู่ ได้
ปราศรัยกับท่านพระสารีบุตร ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง
ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ถามท่านพระสารีบุตรว่า
ดูกรท่านสารีบุตรที่เรียกว่า นิพพานๆ ดังนี้ นิพพานเป็นไฉนหนอ?
ท่านพระสารีบุตรตอบว่า
ดูกรผู้มีอายุ ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่านิพพาน ฯ...
คนฟังส่วนมากเมื่อได้ฟังอย่างง่ายๆอย่างนี้แล้วย่อมเข้าใจผิดไปว่า ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ
นั่นแหละ คือเหตุปัจจัยทำให้เกิดนิพพาน
แต่ความเป็นจริง ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ
คือการก้าวข้ามจากฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่งหนึ่ง หรือเหมือนผลไม้ที่แก่สุกเต็มที่หลุดจากขั้วลงสู่พื้นดินนั่นเอง..
เมื่อเข้าใจผิดอย่างอื่นมันก็ผิดตามกันไปหมด หาว่านิพพานเป็นอนัตตาบ้าง นิพพานเมื่อไม่เกิด
นิพพานจึงไม่มีความเสื่อม ไม่มีความดับบ้าง นิพพานจึงว่างเปล่า ไร้ตัวตน (เท่ากับว่าไม่มีนิพพานนั่นเอง)
วันนี้เอาแค่นี้ก่อน ....ว่างๆค่อยมาว่า นิพพานไม่ใช่การเกิด คืออย่างไร.