ก็มรรคาปฏิปทาเพื่อละราคะ โทสะ โมหะนั้นเป็นไฉน ฯ

[๕๑๑] ๗๒. สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี


ครั้งนั้นแล
ฉันนปริพาชกได้ไปหาท่านพระอานนท์ยังที่อยู่ ได้ปราศรัยกับท่านพระอานนท์
ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กล่าวกะท่านพระอานนท์ว่า


ดูกรท่านพระอานนท์
ท่านทั้งหลาย บัญญัติการละราคะ บัญญัติการละโทสะ บัญญัติการละโมหะหรือ


ท่านพระอานนท์ตอบว่า
ดูกรท่านผู้มีอายุ เราบัญญัติการละราคะ  บัญญัติการละโทสะ  บัญญัติการละโมหะ ฯ


ฉ.  ดูกรท่านผู้มีอายุ
ก็ท่านทั้งหลายเห็นโทษในราคะอย่างไร จึงบัญญัติการละราคะ
เห็นโทษในโทสะอย่างไร จึงบัญญัติการละโทสะ
เห็นโทษในโมหะอย่างไร จึงบัญญัติการละโมหะ ฯ


อา. ดูกรท่านผู้มีอายุ
บุคคลผู้กำหนัด ถูกความกำหนัดครอบงำ รัดรึงจิตไว้
ย่อมคิดเพื่อจะเบียดเบียนตนเองบ้าง  คิดเพื่อจะเบียดเบียนผู้อื่นบ้าง
คิดเพื่อจะเบียดเบียนตนเองและผู้อื่นทั้งสองฝ่ายบ้าง เสวยทุกข์โทมนัสที่เป็นไปทางจิตบ้าง
......เพื่อละราคะได้แล้ว ย่อมไม่คิดเพื่อจะเบียดเบียนตนเอง  ไม่คิดเพื่อจะเบียดเบียนผู้อื่น
ไม่คิดเพื่อจะเบียดเบียนตนเองและผู้อื่นทั้งสองฝ่าย ไม่เสวยทุกข์โทมนัสที่เป็นไปทางจิต



บุคคลผู้กำหนัด ถูกความกำหนัดครอบงำรัดรึงจิตไว้
ย่อมประพฤติทุจริตด้วยกาย ประพฤติทุจริตด้วยวาจา  ประพฤติทุจริตด้วยใจ
.......เพื่อละราคะได้แล้ว ย่อมไม่ประพฤติทุจริตด้วยกาย ไม่ประพฤติทุจริตด้วยวาจา ไม่ประพฤติทุจริตด้วยใจ


บุคคลผู้กำหนัด อันความกำหนัดครอบงำ รัดรึงจิตไว้
ย่อมไม่รู้แม้ซึ่งประโยชน์ตนตามความเป็นจริง ย่อมไม่รู้แม้ซึ่งประโยชน์ผู้อื่นตามความเป็นจริง
ย่อมไม่รู้แม้ซึ่งประโยชน์ตนและผู้อื่นทั้งสองฝ่ายตามความเป็นจริง
....เมื่อละราคะได้แล้ว ย่อมรู้แม้ซึ่งประโยชน์ตนตามความเป็นจริง ย่อมรู้แม้ซึ่งประโยชน์ผู้อื่นตามความเป็นจริง
ย่อมรู้แม้ซึ่งประโยชน์ตนและผู้อื่นตามความเป็นจริง



ความกำหนัดแล ทำให้เป็นคนมืด ทำให้เป็นคนไร้จักษุ ทำให้ไม่รู้อะไร
ทำปัญญาให้ดับ เป็นไปในฝ่ายความคับแค้น ไม่เป็นไปเพื่อนิพพาน



บุคคลผู้ดุร้าย ฯลฯ บุคคลผู้หลง ถูกความหลงครอบงำ รัดรึงจิตไว้
ย่อมคิดเพื่อจะเบียดเบียนตนเองบ้าง คิดเพื่อจะเบียดเบียนผู้อื่นบ้าง
คิดเพื่อจะเบียดเบียนตนเองและผู้อื่นทั้งสองฝ่ายบ้าง เสวยทุกข์โทมนัสที่เป็นไปทางจิตบ้าง
....เมื่อละโมหะได้แล้ว ย่อมไม่คิดเพื่อจะเบียดเบียนตนเอง ไม่คิดเพื่อจะเบียดเบียนผู้อื่น
ไม่คิดเพื่อจะเบียดเบียนตนเองและผู้อื่นทั้งสองฝ่าย ไม่เสวยทุกข์โทมนัสที่เป็นไปทางจิต



บุคคลผู้หลง ถูกความหลงครอบงำ รัดรึงจิตไว้
ย่อมประพฤติทุจริตด้วยกาย ย่อมประพฤติทุจริตด้วยวาจา ย่อมประพฤติทุจริตด้วยใจ
....เมื่อละโมหะได้แล้ว ย่อมไม่ประพฤติทุจริตด้วยกาย  ไม่ประพฤติทุจริตด้วยวาจา  ไม่ประพฤติทุจริตด้วยใจ


บุคคลผู้หลง ถูกความหลงครอบงำจิตรัดรึงจิตไว้
ย่อมไม่รู้แม้ซึ่งประโยชน์ตนตามความเป็นจริง ย่อมไม่รู้แม้ซึ่งประโยชน์ผู้อื่นตามความเป็นจริง
ย่อมไม่รู้แม้ซึ่งประโยชน์ตนและผู้อื่นทั้งสองฝ่ายตามความเป็นจริง
......เมื่อละโมหะได้แล้ว ย่อมรู้แม้ซึ่งประโยชน์ตนตามความเป็นจริง ย่อมรู้แม้ซึ่งประโยชน์ผู้อื่นตามความเป็นจริง
ย่อมรู้แม้ซึ่งประโยชน์ตนและผู้อื่นทั้งสองฝ่ายตามความเป็นจริง
ไม่หลงและทำให้เป็นคนมืด
ทำให้เป็นคนไร้จักษุ ทำให้ไม่รู้อะไร ทำปัญญาให้ดับ เป็นไปในฝ่ายความคับแค้น ไม่เป็นไปเพื่อนิพพาน


ดูกรผู้มีอายุ
เราเห็นโทษในราคะเช่นนี้แล จึงบัญญัติการละราคะ
เห็นโทษในโทสะเช่นนี้ จึงบัญญัติการละโทสะ
เห็นโทษในโมหะเช่นนี้แล จึงบัญญัติการละโมหะ ฯ


ฉ.  ดูกรท่านผู้มีอายุ
มรรคาปฏิปทาเพื่อละราคะ โทสะ โมหะนั้นมีหรือ ฯ

อา. มรรคาปฏิปทาเพื่อละราคะ โทสะ โมหะนั้นมีอยู่ ฯ

ฉ.  ก็มรรคาปฏิปทาเพื่อละราคะ โทสะ โมหะนั้นเป็นไฉน ฯ

อา. อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้แหละ
คือ สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ  สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ


ดูกรท่านผู้มีอายุ
นี้แล มรรคาปฏิปทาเพื่อละราคะ โทสะ โมหะ นั้น ฯ


ฉ.  ดูกรท่านผู้มีอายุ
มรรคาปฏิปทาเพื่อละราคะ โทสะ โมหะ นั้นดีและสมควรเพื่อความไม่ประมาท ฯ

----------------

อานันทวรรคที่ ๓
ฉันนสูตร


เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ บรรทัดที่ ๕๖๖๗ - ๕๗๒๑. หน้าที่ ๒๔๓ - ๒๔๕.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=20&A=5667&Z=5721&pagebreak=0              
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=20&i=511
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่