สารพันปัญหาเรื่อง “ฉี่”

สารพันปัญหาเรื่อง “ฉี่” 
 
     ปัญหาเรื่อง “ฉี่” หรือ “ปัสสาวะ” เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่อยู่ใกล้ตัวจนทำให้เรามักจะมองข้ามไป เพราะคิดว่าปัญหาเหล่านี้เป็นเรื่องเล็กน้อย แต่อาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคบางโรคได้ 
     โดยเฉลี่ยแล้วในแต่ละวันเราจะปัสสาวะประมาณ 3-4 ครั้ง แต่ละครั้งจะมีปริมาณอยู่ที่ 300-500 มล. และมีแรงไหลของน้ำปัสสาวะสูงสุดสำหรับผู้หญิงอยู่ที่ประมาณ 25-30 มล.ต่อวินาที ในขณะที่ผู้ชายอยู่ที่ประมาณ 20-25 มล.ต่อวินาที กรณีพบแรงไหลน้อยกว่า 10-15 มล.ต่อวินาที ถือว่าผิดปกติ   
     ซึ่งปัญหาของการปัสสาวะไม่ได้มีเพียงเรื่องแรงไหลของน้ำเท่านั้น ที่สำคัญ ไม่ใช่เฉพาะผู้หญิงเท่านั้นนะครับที่ต้องเจอกับปัญหานี้ คุณผู้ชายอย่างเราๆ ก็มีสิทธิ์เป็นได้เช่นกัน แต่จะมีปัญหาอะไรบ้าง ไปไล่เรียงพร้อมๆ กับพี่หมอได้เลยครับ 👇🏻
 
📌ปัสสาวะบ่อย  
     กระเพาะปัสสาวะเป็นอวัยวะที่มีรูปร่างคล้ายบอลลูน และประกอบไปด้วยกล้ามเนื้อเรียบเป็นส่วนใหญ่ โดยกระเพาะปัสสาวะสามารถเก็บปัสสาวะไว้ได้ประมาณ 300-350 มล. เมื่อกระเพาะปัสสาวะเต็ม เราก็จะรู้สึกปวด หลังจากนั้นผนังกล้ามเนื้อของกระเพาะปัสสาวะจะบีบตัวให้มีการปัสสาวะผ่านทางท่อปัสสาวะออกจากร่างกายจนหมด 
     ดังนั้น สำหรับผู้ที่ปัสสาวะมากกว่า 5 ครั้งภายใน 24 ชม. และต้องตื่นมาปัสสาวะหลังเข้านอนแล้ว 2-3 ครั้ง ถือว่ามีปัญหาปัสสาวะบ่อย ซึ่งอาจเกิดสาเหตุต่างๆ ดังต่อไปนี้ 
     · ดื่มน้ำมากเกินไป 
     · การรับประทานยาขับปัสสาวะ เนื่องจากโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวาน
     · กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ซึ่งส่วนใหญ่พบในผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว เนื่องจากการอักเสบในช่องคลอดส่งผลให้เชื้อแบคทีเรียเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะได้ง่ายขึ้น โดยผู้ที่มีอาการนี้มักจะปัสสาวะครั้งละน้อยๆ แต่บ่อย และอาจมีอาการเจ็บเสียวบริเวณท้องน้อยหรือปลายท่อปัสสาวะร่วมด้วย
     · กระเพาะปัสสาวะขยายตัวไม่ได้ เนื่องจากได้รับการฉายแสงเพื่อรักษามะเร็งปากมดลูก หรือเป็นวัณโรคที่กระเพาะปัสสาวะ หรือมีเนื้องอกขนาดใหญ่ในมดลูก รวมถึงหญิงตั้งครรภ์ตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป ที่มดลูกจะไปกดทับกระเพาะปัสสาวะ ทำให้กระเพาะปัสสาวะกักเก็บปัสสาวะได้น้อยลง 
     · ประสาทควบคุมการทำงานของกระเพาะปัสสาวะผิดปกติ ทำให้ผนังกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะบีบตัวบ่อย 
 
📌ปัสสาวะไม่ออก 
     ปัญหานี้เกิดจากการที่กระเพาะปัสสาวะไม่บีบตัว หรือมีการอุดกั้นของท่อปัสสาวะ โดยสามารถเกิดจากหลายสาเหตุ ได้แก่ 
     · ความผิดปกติของระบบประสาท เช่น สมอง ไขสันหลัง และปลายประสาทที่มาเลี้ยงกระเพาะปัสสาวะและท่อปัสสาวะ ซึ่งอาจเกิดจากอุบัติเหตุ การผ่าตัดโรคทางระบบประสาท หรือโรคเบาหวานที่มีผลกระทบต่อปลายประสาท 
     · มะเร็งต่อมลูกหมากและโรคต่อมลูกหมากโต ซึ่งไปอุดกั้นทางออกของกระเพาะปัสสาวะ ส่วนใหญ่พบในผู้ชายที่มีอายุตั้งแต่ 60-80 ปี 
     · ภาวะต่อมลูกหมากอักเสบเฉียบพลัน ผู้ที่มีภาวะนี้มักมีอาการปวดปัสสาวะอย่างมาก แต่ไม่สามารถปัสสาวะออกมาได้ 
     · คอกระเพาะปัสสาวะตีบแคบ พบได้ทั้งในผู้ชายและผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 40 ปี 
     · ภาวะท่อปัสสาวะตีบ ซึ่งมีสาเหตุมาจากการบาดเจ็บของท่อปัสสาวะ เช่น หกล้มจนกระดูกเชิงกรานหัก หรือท่อปัสสาวะฉีกขาด 
     · ท่อปัสสาวะส่วนปลายตีบ เนื่องจากขาดฮอร์โมนเพศหญิง 
     · ภาวะหูรูดของท่อปัสสาวะบีบตัวผิดปกติจากการผ่าตัดทางทวารหนัก เช่น ริดสีดวงทวาร
     · นิ่วหรือก้อนเลือดอุดตันท่อปัสสาวะ
     · ท้องผูกเรื้อรังจนอุจจาระไปอัดแน่นบริเวณทวารหนักและกดท่อปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะไม่ออก
 
📌ปัสสาวะเล็ด 
     แม้ภาวะปัสสาวะเล็ดจะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ถือว่ารบกวนการใช้ชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก และอาจส่งผลให้ผู้ที่มีภาวะนี้เกิดความเครียด ความวิตกกังวล ตลอดจนรู้สึกรำคาญ โดยเฉพาะภาวะปัสสาวะเล็ดในวัยหนุ่มสาว ซึ่งต้องออกจากบ้านไปทำงานหรือไปทำกิจกรรมทางสังคม ภาวะปัสสาวะเล็ดเกิดได้จากหลายสาเหตุ ดังต่อไปนี้ 
     · กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานที่คอยพยุงท่อปัสสาวะและกระเพาะปัสสาวะหย่อนยาน ซึ่งมีสาเหตุจากหลายปัจจัย เช่น อายุมากขึ้น เคยคลอดบุตร ภาวะอ้วน หรือมีเนื้องอกในช่องท้อง 
     · ผู้ป่วยโรคเบาหวานหรือต่อมลูกหมากโตเรื้อรัง ซึ่งมักพบปัสสาวะค้างในกระเพาะปัสสาวะจำนวนมากจนไหลล้นออกมาเอง  
     · ผู้หญิงที่มีปัญหาถุงน้ำบริเวณท่อปัสสาวะ และผู้ชายที่มีปัญหาต่อมลูกหมากโต มักพบปัญหาปัสสาวะเล็ดหลังปัสสาวะเสร็จแล้ว 
     · โรคทางระบบประสาท หรือการติดเชื้อที่กระเพาะปัสสาวะ รวมถึงกลุ่มโรคกระเพาะปัสสาวะไวกว่าปกติ (overactive bladder) ส่งผลให้กระเพาะปัสสาวะบีบตัวเร็วและไม่เป็นเวลา จนไม่สามารถควบคุมการปัสสาวะได้ 
     · อายุมากขึ้น โดยเฉพาะในผู้หญิงที่ฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง ทำให้เยื่อบุช่องคลอดฝ่อตัวและแห้ง
     · การรับประทานยาบางชนิด เช่น ยาขับปัสสาวะ 
     · การรับประทานอาหารที่ระคายเคืองต่อกระเพาะปัสสาวะ เช่น ผลไม้ตระกูลส้ม เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้ท่อปัสสาวะเปิด จนมีปัสสาวะเล็ดออกมา 
 
📌ปัสสาวะมีสีเข้ม และเป็นฟอง 
     สีของปัสสาวะโดยปกติมักจะเป็นสีเหลืองใส แต่ก็ขึ้นอยู่กับอาหารและปริมาณน้ำที่เราดื่มเข้าไปด้วย ถ้าดื่มน้ำน้อย ปัสสาวะก็จะมีสีเข้ม ในขณะที่การปัสสาวะอย่างรวดเร็วหลังกลั้นมานาน ก็อาจทำให้ปัสสาวะมีแรงกระแทกจนเกิดเป็นฟองขึ้นมาได้ แต่หากปัสสาวะเป็นฟองอยู่นาน แม้กดชักโครกแล้ว ฟองก็ยังไม่หายไป นั่นหมายถึงมีความผิดปกติเกิดขึ้นกับปัสสาวะของเรา ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจาก 
     · ภาวะขาดน้ำหรือดื่มน้ำน้อย ทำให้ปัสสาวะมีความเข้มข้นมาก 
     · โปรตีนในปัสสาวะที่มากเกินไป มักพบในผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง การรับประทานยาบางชนิด รวมถึงเกิดจากภาวะบาดเจ็บ ได้รับสารพิษ การติดเชื้อ และระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติ
     · การหลั่งอสุจิย้อนทางกลับเข้าไปในกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งอาจเป็นผลกระทบจากโรคเบาหวาน โรคต่อมลูกหมากโต รวมถึงยารักษาโรคความดันโลหิตสูง และภาวะบาดเจ็บของเส้นประสาทที่ไขสันหลัง
     · การรับประทานยารักษาโรคทางเดินปัสสาวะติดเชื้อ 
     · ไตทำงานลดลง โดยมักพบอาการบวมที่มือ เท้า ท้อง และใบหน้าร่วมด้วย       
     · หากสีของปัสสาวะ เป็นสีน้ำตาลหรือสีโค้ก อาจเกิดจากภาวะกล้ามเนื้อลายสลาย 
 
📌ปัสสาวะเป็นสีเลือด 
     ภาวะปัสสาวะเป็นสีเลือด (Hematuria) เกิดจากเซลล์เม็ดเลือดรั่วผ่านไตหรือส่วนต่างๆ ของระบบทางเดินปัสสาวะ ซึ่งบางครั้งก็อาจมองเห็นได้ชัดเจน แต่บางครั้งก็ตรวจพบโดยความบังเอิญ การปัสสาวะเป็นสีเลือดจางๆ อาจไม่มีอันตรายหรือทำให้เกิดความเจ็บปวด กรณีปัสสาวะมีลิ่มเลือดปนออกมาอาจทำให้มีอาการปวดบริเวณท้องน้อยหรือหลังได้ นอกจากนี้ อาจมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย โดยความรุนแรงขึ้นอยู่กับหลายสาเหตุ ดังนี้ 
     · การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ซึ่งเกิดจากเชื้อแบคทีเรียเข้าสู่ร่างกายผ่านทางท่อปัสสาวะ 
     · โรคไตอักเสบ และโรคถุงน้ำในไต 
     · นิ่วในไต หรือนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ 
     · ภาวะเลือดออกผิดปกติ 
     · โรคต่อมลูกหมากโต และมะเร็งต่อมลูกหมาก 
     · เนื้องอกหรือมะเร็งที่ไตหรือกระเพาะปัสสาวะ
     · การรับประทานยาบางชนิด 
     · ทางเดินปัสสาวะได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุหรือการเล่นกีฬา 
 
     ดังนั้น ถ้าไม่อยากประสบปัญหาเรื่องปัสสาวะ พี่หมอแนะนำให้ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว และพยายามอย่ากลั้นปัสสาวะนานเกิน 4-6 ชม.ที่สำคัญ ต้องหมั่นสังเกตตัวเอง หากพบความผิดปกติเกี่ยวกับปัสสาวะ ไม่ว่าจะเป็นปริมาณ จำนวนความถี่ในการปัสสาวะ สี ลักษณะ รวมถึงอาการร่วมอื่นๆ ก็ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจทันที และไม่ควรซื้อยามารับประทานเองโดยเด็ดขาดนะครับ 🚽🚻
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่