JJNY : 4in1 ‘อินเดีย’ทิ้งห่างไทย-เวียดนาม ส่งออกข้าว│ชี้โอไมครอนยังไม่นิ่ง│แนะดูโอไมครอนยุโรปคาดการณ์ไทย│มท.จ่อหารือกกต.

‘อินเดีย’ ทิ้งห่าง 'ไทย-เวียดนาม' เผย 10 เดือน ส่งออกข้าวทะลัก 17 ล้านตัน พุ่ง 51% 
https://www.isranews.org/article/isranews-short-news/104676-rice-export-10month-64-price-news.html
 
 
สมาคมผู้ส่งออกข้าวฯ เผย 10 เดือนแรกของปีนี้ ‘อินเดีย’ ส่งออกข้าว 17 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 51% 
หลังราคาข้าวถูกกว่าไทย 50 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน ขณะที่ไทยส่งออกได้ 4.5 ล้านตัน คาดทั้งปีเป็นไปตามเป้า 6 ล้านตัน
 
..............................
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 1 ธ.ค.ที่ผ่านมา สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ประเมินว่า การส่งออกข้าวไทยในเดือน พ.ย.2564 จะอยู่ที่ 7 แสนตัน และคาดว่าทั้งปี 2564 ไทยจะส่งออกข้าวได้ตามเป้าหมายที่ 6 ล้านตัน โดยมีปัจจัยจากการที่ประเทศผู้นำเข้าที่สำคัญในแถบแอฟริกา ตะวันออกกลาง และเอเชีย ยังคงมีความต้องการข้าวอย่างต่อเนื่องเพื่อเตรียมไว้ใช้ในช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ รวมทั้งเทศกาลตรุษจีนในช่วงต้นปีหน้า ประกอบกับราคาข้าวของไทยทั้งข้าวขาวและข้าวนึ่ง ยังคงอยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันกับประเทศคู่แข่งได้
 
อย่างไรก็ตาม ในส่วนการส่งออกข้าวหอมมะลินั้น อาจจะยังไม่ดีขึ้นมากนักแม้ว่าราคาจะต่ำกว่าปีที่แล้ว เนื่องจากยังคงมีปัญหาด้านโลจิสติกส์ ทั้งตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลน ค่าระวางเรือที่สูงขึ้น และความไม่แน่นอนของเรือที่จะเข้ามารับสินค้า ทำให้การส่งมอบสินค้าไม่เป็นไปตามกำหนดที่วางไว้สำหรับสถานการณ์ราคาข้าวในช่วงที่ผ่านมาค่อนข้างทรงตัว โดยค่าเงินบาทที่มีทิศทางอ่อนค่าลงบ้างเล็กน้อย ส่งผลให้ราคาข้าวขาว 5% ของไทยอยู่ที่ 403 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน เท่ากับเดือนที่แล้ว ขณะที่ราคาข้าวขาว 5% ของเวียดนาม อินเดีย และปากีสถาน อยู่ที่ 418-422, 353-357 และ 353-357 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน ตามลำดับ ทั้งนี้ หากเปรียบเทียบราคาข้าวขาว 5% พบว่าราคาข้าวขาว 5% ของไทยสูงกว่าอินเดียประมาณ 50 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน
 
ส่วนข้าวนึ่งของไทยอยู่ที่ 409 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน ขณะที่ข้าวนึ่งของอินเดีย และปากีสถานอยู่ที่ 348-352 และ 383-387 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน ตามลำดับ ทั้งนี้ หากเปรียบเทียบราคาข้าวนึ่ง พบว่าราคาข้าวนึ่งของไทยสูงกว่าอินเดียประมาณ 51-57 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน
 
ทั้งนี้ จากข้อมูลของกรมศุลกากร พบว่าการส่งออกข้าวในช่วง 10 เดือนของปีนี้ (ม.ค.-ต.ค.2564) มีปริมาณ 4,591,107 ตัน มูลค่า 81,739 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2,605.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยปริมาณส่งออกเพิ่มขึ้น 1.3% แต่มูลค่าลดลง 12.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 ที่มีการส่งออกปริมาณ 4,532,147 ตัน มูลค่า 93,714 ล้านบาท หรือคิดเป็น 3,000.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
 
สมาคมผู้ส่งออกข่าวไทย ยังระบุว่า ในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ต.ค.2564) ไทยส่งออกข้าวมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลกที่ 4.5 ล้านตัน ขณะที่ประเทศผู้ส่งออกข้าวอันดับ 1 คือ อินเดีย ส่งออกข้าวได้ 17.06 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 51% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และอันดับ 1 ได้แก่ เวียดนาม ส่งออกข้าวได้ 5.18 ล้านตัน ลดลง 3.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
 

 
นักไวรัสวิทยาชี้โควิดโอไมครอนยังไม่นิ่ง มีสิทธิเปลี่ยนต่อเรื่อยๆ
https://www.tnnthailand.com/news/covid19/98223/

‘ดร.อนันต์ ’นักวิจัยด้านไวรัสวิทยา ไบโอเทคโพสต์ข้อมูลโควิดโอไมครอนเวอร์ชั่นปัจจุบันยังไม่นิ่ง ยังคงเปลี่ยนต่อไปเรื่อยๆ 

วันนี้ ( 2 ธ.ค. 64 )ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา นักวิจัยด้านไวรัสวิทยา ไบโอเทค โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กโดยระบุว่า 
 
"ตำแหน่งที่ 681 ของกรดอะมิโน บนโปรตีนหนามสไปค์ของไวรัสโรคโควิด-19 เป็นตำแหน่งที่นักไวรัสสนใจเป็นพิเศษ ส่วนตัวแล้วเวลาเกิดสายพันธุ์ใหม่ ผมจะมองไปที่ตำแหน่งนี้เป็นตัวแรกเลย เพราะถ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงไวรัสตัวนี้จะน่าสนใจขึ้นมาทันที

การเปลี่ยนแปลงที่ตำแหน่งนี้ซึ่งปกติเป็นกรดอะมิโนชื่อ Proline จะทำให้โปรตีนสไปค์ถูกตัดและเปลี่ยนรูปร่างติดเชื้อเข้าสู่เซลล์ได้ง่ายขึ้น ในเดลตา ตำแหน่งนี้เปลี่ยนไปเป็น Arginine เรียกง่ายๆว่า P681R ซึ่งชัดเจนจากงานวิจัยจากหลายแล็บว่านี่คือสาเหตุต้นๆที่ทำให้เดลตาเป็น VOC ที่ครองพื้นที่มายาวนาน
 
ตอนที่ดูการเปลี่ยนแปลงของโอไมครอน ส่วนตัวยังเบาใจนิดๆ ว่า 681 ของโอมิครอน ยังไม่ใช่ P681R แต่เป็น P681H ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่พบในสายพันธุ์แอลฟา ที่แพร่ได้น้อยกว่าเดลตา ทำให้คิดว่าคงมีอะไรบางอย่างที่ทำให้ P681R ไม่เหมาะกับ โอไมครอน แต่วันนี้นั่งอ่านโพสต์นึงในวงที่นักไวรัสวิทยานั่งคุยกัน มีคนชี้ว่า P681R เป็นไปได้ในโอไมครอน และพบแล้วในตัวอย่างที่แอฟริกาใต้...บางคนเริ่มกังวลว่าไวรัสโอไมครอนเวอร์ชั่นนี้จะเป็นตัวหลักต่อไปอีกหรือไม่
 
ถึงตรงนี้คงต้องบอกว่าไวรัสที่มี P681R ไม่ใช่ทุกตัวจะไปรอด ยกตัวอย่างคือ Kappa ซึ่งเป็นพี่ชายของเดลตาตอนช่วงอินเดียระบาดใหม่ๆ สายพันธุ์นี้รู้จักกันในชื่อ Double mutant ก็มี P681R เหมือนกัน แต่ก็โตสู้น้องเดลตาไม่ได้ และ ปัจจุบันน่าจะเหลือน้อยมากๆแล้ว...ตอนนี้ต้องลุ้นว่า โอไมครอนที่มี P681R จะเป็นอย่างไรครับ โอไมครอนวันนี้ไม่นิ่งยังคงเปลี่ยนต่อไปเรื่อยๆครับ"
 
https://www.facebook.com/anan.jongkaewwattana/posts/5044507048922510
 


แนะดูโอไมครอนในยุโรป คาดการณ์ไทย
https://www.pptvhd36.com/news/สุขภาพ/161762

ขณะนี้ยังไม่มีใครที่ประเมินสถานการณ์ หากเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนหลุดรอดเข้าในเมืองไทยได้จะเป็นอย่างไร แต่ในมุมมองของ ศ.ดร.วสันต์ จันทราทิตย์ หัวหน้าศูนย์จีโนมทางการแพทย์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ที่ติดตามเชื้อโควิดโอไมครอนมาอย่างต่อเนื่อง มองว่า หากต้องการเห็นภาพการระบาดของไทย กรณีพบเชื้อโอไมครอนให้ชัดขึ้น อาจต้องจับตาดูสถานการณ์ในยุโรป เพราะมีปัจจัยหลายอย่างที่สถานการณ์คล้ายกับไทย
 
โดยปัจจัยที่อาจารย์วสันต์ หยิบขึ้นมาเปรียบเทียบให้มองเห็นสถานการณ์โควิดของไทย และยุโรปมีความใกล้เคียงกันคือ ทั้ง 2 ที่ มีเชื้อโควิดสายพันธุ์เดลตาครอบครองพื้นที่อยู่แล้ว ปัจจัยการฉีดวัคซีนครอบคลุมจำนวนประชากรที่ใกล้เคียงกัน และมีมาตรการป้องกัน เช่น การใส่หน้ากากอนามัย และการเว้นระยะห่าง
 
นั่นหมายความว่า ในยุโรปที่ขณะนี้เริ่มพบผู้ติดเชื้อโควิดโอไมครอนแล้ว หากพบการระบาด ก็จะทำให้ไทยสามารถคาดเดาสถานการณ์การระบาดในอนาคตได้ แทนที่จะไปติดตามการแพร่ระบาดในพื้นที่ของแอฟริกาใต้ ซึ่งอาจจะไม่ใช่สมรภูมิที่จะน่าจะเอามาวิเคราะห์มากนัก เพราะแอฟริกาใต้อัตราการฉีดวัคซีนค่อนข้างต่ำ

โดยในช่วง 2 สัปดาห์ข้างหน้า หรือ 1 -3 เดือนถัดจากนี้ ต้องดูว่าเชื้อโควิดโอไมครอนจะสามารถแย่งชิงพื้นที่การเป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาดในพื้นที่ยุโรปได้หรือไม่ หากเข้าไปไม่ได้ ไทยก็แทบไม่มีโอกาสที่จะระบาดแบบนั้นเช่นกัน มาตรการสกัดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอนของอังกฤษ
 
ไปดูที่ประเทศอังกฤษ เริ่มบังคับใช้มาตรการแบบเฉพาะเจาะจง เพื่อป้องกันการระบาดของเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (30 พ.ย.) โดยกลับมาบังคับประชาชนสวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในร้านค้า หรือใช้บริการขนส่งสาธารณะ
 
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน ยืนยันว่าไม่น่าจำเป็นต้องใช้มาตรการล็อกดาวน์เต็มรูปแบบ
 
สำหรับมาตรการควบคุมด้านพรมแดน อังกฤษได้ประกาศห้ามผู้ที่เดินทางจาก 10 ประเทศในแอฟริกาตอนใต้เข้าประเทศ  ยกเว้นพลเมืองสหราชอาณาจักรและไอร์แลนด์ ที่เดินทางเข้าได้ แต่ต้องกักตัวในโรงแรมที่จัดไว้ เป็นเวลา 10 วัน
 
ขณะที่ผู้ที่เดินทางมาจากประเทศอื่นๆ ต้องตรวจหาเชื้อแบบ PCR ภายในวันที่สอง หลังจากมาถึง และกักตัวเองจนกว่าจะทราบว่าผลตรวจเป็นลบ
ส่วนผู้สัมผัสใกล้ชิดเคสที่ต้องสงสัยว่าอาจติดเชื้อสายพันธุ์โอไมครอน จะต้องกักตัวเองทุกกรณี โดยไม่คำนึงถึงอายุหรือสถานะการฉีดวัคซีน
ขณะเดียวกัน อังกฤษได้ขยายการฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ครอบคลุมประชากรกลุ่มอายุ 18 – 39 ปี เพื่อรับมือกับเชื้อสายพันธุ์ใหม่  โดยตั้งเป้าว่าประชากรวัยผู้ใหญ่ทุกคนจะต้องได้รับวัคซีนเข็ม 3 ภายในเดือนมกราคมปีหน้า  
 
ทั้งนี้ อังกฤษตรวจพบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอไมครอนแล้ว 32 คน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่