JJNY : 4in1 ส่งออกข้าวยังกร่อย│SCBหั่นGDPเหลือ1.9│คณะรมต.มาเลเซียไม่รับเงินเดือน3ด.│ฟิลิปปินส์ระบุแอสตร้าผลิตในไทยส่งช้า

ส่งออกข้าวไทยยังกร่อย 5 เดือนไม่ถึง 2 ล้านตัน หล่นไปอยู่อันดับ4 ประเทศส่งออกข้าวโลก
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_2753405

 
สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย รายงานการส่งออกข้าวช่วง 4 เดือนแรกของปี 2564 ว่า มีปริมาณ 1,458,982 ตัน มูลค่า 28,190.3 ล้านบาท ประมาณ 941.3 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยปริมาณส่งออกลดลง 31.0% และมูลค่าลดลง 34.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 ที่มีการส่งออกปริมาณ 2,113,542 ตัน มูลค่า 43,078.7 ล้านบาท ประมาณ 1,388.1 ล้านเหรียญสหรัฐ เฉพาะเดือนเดือนเมษายน 2564 ส่งออกได้มีปริมาณ 327,037 ตัน มูลค่า 6,385 ล้านบาท โดยปริมาณและมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้น 8.1% และ 2.0% จากเดือนมีนาคม 2564 ที่มีการส่งออกปริมาณ 302,668 ตัน มูลค่า 6,262 ล้านบาท
 
โดยช่วงนี้การส่งออกข้าวของไทยยังไม่ดีขึ้นท่ามกลางภาวะการแข่งขันด้านราคาที่เป็นไปอย่างรุนแรง เนื่องจากราคาข้าวไทยโดยเฉพาะข้าวขาวและข้าวนึ่งยังคงสูงกว่าอินเดียและปากีสถานมาก ประกอบกับยังคงมีปัญหาด้านการส่งมอบทั้งการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ และค่าระวางเรือที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้อันดับการส่งออกข้าวไทยหล่นลงอยู่ในอันดับที่ 4 ตามหลังประเทศอินเดีย เวียดนาม และปากีสถาน โดยเดือนเมษายน 2564 มีการส่งออกข้าวขาว 161,273 ตัน เพิ่มขึ้น 84.7% เทียบกับเดือนก่อนหน้า ส่วนใหญ่ส่งไปประเทศอิรัก ญี่ปุ่น แองโกล่า มาเลเซีย โมซัมบิก ฟิลิปปินส์ เป็นต้น ขณะที่การส่งออกข้าวนึ่งมีปริมาณเพียง 52,058 ตัน ลดลง 14.4% เมื่อเทียบกับเดือนก่อน ส่วนใหญ่ส่งไปยังตลาดหลัก เช่น แอฟริกาใต้ เบนิน เป็นต้น ส่วนการส่งออกข้าวหอมมะลิ (ต้นข้าว) มีปริมาณเพียง 62,493 ตัน ลดลงถึง 31.0% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า โดยส่วนใหญ่ส่งไปยังตลาดหลัก เช่น สหรัฐฯ ฮ่องกง แคนาดา สิงคโปร์ จีน เป็นต้น
 
สมาคมฯ รายงานต่อว่า คาดการณ์เบื้องต้นส่งออกข้าวไทยในเดือนพฤษภาคม 2564 คงอยู่ที่ประมาณ 400,000 ตัน ซึ่งเป็นปริมาณที่ไทย สามารถส่งออกได้ในภาวะการแข่งขันในตลาดที่ยังคงรุนแรงและปัญหาด้านค่าระวางเรือและการส่งมอบสินค้าในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม สมาคมฯคาดว่าในครึ่งปีหลัง 2564 ปริมาณการส่งออกน่าจะดีขึ้น เนื่องจากในปีนี้มีฝนตกตามฤดูกาลซึ่งคาดว่าจะทำให้ผลผลิตข้าวดีขึ้นและส่งผลให้ราคาข้าวของไทยอยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ ซึ่งจะทำให้ไทยส่งออกได้มากกว่าเดือนละ 500,000 ตัน ทั้งนี้คาดว่าความต้องการข้าวในตลาดโลกในช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มจะดีขึ้น เพราะคาดว่าอินโดนีเซีย จะมีความต้องการข้าวมากขึ้น
 
ในขณะที่ราคาข้าวของไทยอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับเวียดนาม โดยในช่วงนี้ข้าวขาว 5% ของไทยราคาอยู่ที่ 487 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ขณะที่ราคาข้าวขาว 5% ของเวียดนาม อินเดีย และปากีสถาน อยู่ที่ 488-492, 388-392 และ 438-442 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ตามลำดับ ส่วนข้าวนึ่งของไทยราคาอยู่ที่ 491 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ขณะที่ราคาข้าวนึ่งของอินเดีย และปากีสถานอยู่ที่ 368-372 และ 441-445 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ตามลำดับ
 


SCB EIC หั่น GDP ปีนี้เหลือโต 1.9% โควิดฉุดบริโภค-ท่องเที่ยว แม้ส่งออกหนุน คาดฟื้นชัดเจนปี 66
https://www.infoquest.co.th/2021/92504
 
นายยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด Economic Intelligence Center ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) กล่าวว่า SCB EIC ได้ปรับลดประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทย (GDP) ในปี 64 เหลือขยายตัว 1.9% จากเดิมที่ประเมินว่าจะขยายตัวได้ 2% รับผลกระทบการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอก 3 ในประเทศ ซึ่งคาดว่าใช้เวลาราว 4 เดือน (เม.ย.-ก.ค. 64) ในการควบคุมการระบาดส่งผลให้การบริโภคภาคเอกชน โดยเฉพาะกิจกรรมทางเศรษฐกิจในลักษณะ face to face ลดลงมากจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 และประชาชนเริ่มมีการระมัดระวังการใช้เงินมากขึ้น ประกอบกับกำลังซื้อที่ค่อนข้างอ่อนแอ จากรายได้ของประชาชนที่ลดลง ทำให้การบริโภคในประเทศยังคงเป็นปัจจัยที่กดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย
 
ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวยังคงเป็นอีกปัจจัยหลักที่กดดันเศรษฐกิจไทยอย่างมาก จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 64 ที่มีแนวโน้มลดต่ำกว่าคาดมาอยู่ที่ 400,000 คน จากเดิมที่คาดว่า 1.5 ล้านคน แม้ภาครัฐจะมีแผนเปิดประเทศในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ก็ตาม แต่เนื่องจากประเทศส่วนใหญ่ยังระมัดระวังในการเปิดให้ประชาชนเดินทางไปต่างประเทศจากความกังวลต่อโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ ทำให้เป็นการซ้ำเติมแผลเป็นต่อธุรกิจและแรงงานโดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวข้องมากยิ่งขึ้น
 
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยยังมีปัจจัยหนุนจากภาคารส่งออกที่ขยายตัวได้อย่างดี จากการที่ประเทศที่พัฒนาแล้วกลับมาเปิดเมืองอีกครั้ง ทั้งในสหรัฐฯและยุโรป หลังจากที่มีการเร่งฉีดวัคซีน ทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ ทำให้การแพร่ระบาดโควิด-19 ในประเทศเหล่านั้นเริ่มคลี่คลายลง ส่งผลให้กิจกรรมการค้าขายระหว่างประเทศกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นอย่างมาก ส่งผลให้ภาคการส่งออกได้รับอานิสงส์ และเติบโตขึ้นมากกว่าคาด ทำให้ SCB EIC ปรับประมาณการตัวเลขการส่งออกในปี 64 ขยายตัวสูงถึง 15% จากเดิมที่ 8.6% ซึ่งเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักที่พยุงเศรษฐกิจไทยให้ยังเป็นบวกได้ในปีนี้
 
แม้ว่าภาคการส่งออกจะฟื้นตัวได้อย่างดี แต่การลงทุนของภาคเอกชนยังไม่กลับมาฟื้นตัวขึ้นมาก ส่วนหนึ่งมาจากการที่ภาคเอกชนยังคงมีการระมัดระวังการลงทุน และยังไม่มั่นใจทิศทางของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับภาคอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยและเพื่อการพาณิชย์ เช่น การลงทุนพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม และการลงทุนโรงแรม เป็นต้น ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อในประเทศที่ชะลอตัว และภาคการท่งอเที่ยวที่หายไป โดยที่มองว่ายังต้องใช้ระยะอีกพักใหญ่กว่าที่ภาคเอกชนจะมีความมั่นใจและเริ่มกลับมาลงทุนมากขึ้น
 
นอกจากนี้เศรษฐกิจไทยยังต้องอาจจะมีความหวังในการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐในช่วงครึ่งปีหลังที่ยังคงต้องติดตามว่าจะมีการอัดฉีดเงินออกมากระตุ้นเศรษฐกิจอย่างไรบ้าง โดยที่มาตรการความช่วยเหลือของภาครัฐทั้งจากวงเงิน 2.4 แสนล้านบาท ภายใต้พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท คาดว่าจะใช้ครบทั้งหมดในช่วงที่เหลือของปีนี้ และวงเงินจาก พ.ร.ก. กู้เงิน 5 แสนล้านบาท ที่ออกมาใหม่ คาดว่าจะมีการใช้เม็ดเงินบางส่วนราว 1 แสนล้านบาท เข้าช่วยพยุงเศรษฐกิจเพิ่มเติมในปีนี้ โดยที่ทาง SCB EIC มองว่านอกจากมาตรการกระตุ้นการบริโภคแล้ว จะต้องมีการนำเม็ดเงินเข้าไปช่วยภาคเอสเอ็มอีในการเสริมศักยภาพและการจ้างงาน เพื่อช่วยเติมกำลังซื้อเข้าไปในระบบได้มากขึ้น
 
โดยที่กำลังซื้อที่ลดลงในปัจจุบันส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากภาวะการว่างงานที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงหลังจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอก 3 จะทำให้อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นจากเดือนมี.ค. 64 ที่ 1.96% ได้อีก และการจ้างงานงานใหม่ที่ติดลบในช่วงการแพร่ระบาดระลอก 3 ทำให้รายได้ของครัวเรือนลดลง และภาคครัวเรือนยังถูกมีข้อจำกัดของการจับจ่ายใช้สอยจากภาวะหนี้สินครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงมาก ซึ่งคาดว่าหนี้สินครัวเรือนในไตรมาส 1/64 จะเพิ่มขึ้นไปที่ 91% จากไตรมาส 4/63 ที่ 89.3% และมองว่าทั้งปีจะอยู่ที่ 88-90% แต่ยังเป็นระดับที่สูงมาก ทำให้กำลังซื้อในประเทศมีข้อจำกัดอยู่มาก และเป็นปัจจัยที่กดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยอยู่ค่อนข้างมาก
 
“ในภาพรวมเศรษฐกิจไทยจะยังฟื้นตัวอย่างช้าๆ โดยเศรษฐกิจจะต้องรอถึงช่วงต้นปี 66 จึงจะกลับไปเท่ากับระดับ GDP ก่อนเกิดโควิด-19 รวมทั้งยังเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงด้านต่ำที่สำคัญ ทั้งระยะเวลาในการควบคุมการระบาดที่อาจนานขึ้น และความล่าช้าด้านการฉีดวัคซีน อาจทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจอ่อนแอและล่าช้าออกไปอีก ก็ต้องหวังการเร่งฉีดวัคซีนเพื่อช่วยสร้างความเชื่อมั่นและฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะสั้นควบคู่กับการผลักดันมาตรการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อรองรับ New Normal ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในการลดขนาดของความเสียหายทางเศรษฐกิจแบบถาวรของเศรษฐกิจไทยที่เกิดแผลเป็นลึก” นายยรรยง กล่าว
 
ด้านอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปี 64 ยังมองว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะยังคงอัตรดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ทั้งปีที่ 0.50% ต่อปี ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่คาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะยังตรึงในระดับนี้ไว้ต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันถือว่าการใช้นโยบายการเงินค่อนข้างเผชิญกับข้อจำกัดค่อนข้างมาก ทำให้ธปท.จะยังไม่มีแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ย แต่จะหันมาช่วยในการเข้าถึงสินเชื่อและเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการเป็นหลัก และคาดว่าการจะกลับมาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งอาจจะอยู่ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 65 แต่จะเป็นปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป และต้องดูทิศทางของเศรษฐกิจไทยว่าจะเป็นอย่างไรในช่วงนั้นๆ และค่าเงินบาทในปี 64 ยังคาดว่าเป็นทิศทางการอ่อนค่าอยู่ที่ 31-32 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่