ขอเล่าจากประสบการณ์ตัวเองที่เคยทำได้ครับ
ตอนนั้นผมกำหนดคำภาวนาไปด้วยพร้อมๆกับลมหายใจ เข้า "พุท" ออก "โธ"
สูดลมเข้าไปเรื่อยๆให้ความ "รู้สึก" เหมือนลมผ่านไปทางจมูกลำคอเรื่อยๆไปจนถึงใต้สะดือ
ตอนลมออกก็ให้ "รู้สึก" ว่าลมออกจากใต้สะดือผ่านลำคอเรื่อยๆมาจนออกจมูก
ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆจะมีบางช่วงคำภาวนาแผ่วก็ระลึกขึ้นมาใหม่ แล้วมันก็แผ่วอีกเป็นแบบนี้หลายครั้ง คล้ายๆกับว่ามันเบาๆละเอียดๆ
มีช่วงจังหวะหนึ่งพอจิตจะรวมตอนนั้นสูดลมเข้า "รู้สึก" ตลอดแต่คำภาวนามันหายไปก่อนหน้านั้นแล้ว
ตอนที่จิตรวมนั้นเหมือนกับว่าความรู้สึกทั้งหลายในร่างกายตั้งแต่หัวจรดเท้ามันวิ่งมารวมกันไวมาก
พอรวมเสร็จมันทิ้งกายทันที ตอนนั้นไม่รู้สึกถึงคำภาวนา ไม่รู้สึกถึงลมหายใจ ไม่รู้สึกถึงร่างกายเลยด้วย
มีเพียงความรู้สึกว่า มันมีอะไรกลมๆลอยอยู่ท่ามกลางความมืดคล้ายๆกับอวกาศที่ไม่มีอะไรนอกจากความมืด แต่ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวเพียงเฉยๆ กลมๆขนาดประมาณลูกปิงปอง กลมดิกเลยไม่มีสีสันอะไร เพียงรู้สึกว่า "กลมเฉยๆ"
ตอนนี้ผมแปลกใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นเพราะก่อนหน้านี้เรายังภาวนาอยู่ดีๆ เลย "ระลึก" ถึงคำภาวนาและกำหนดลมเหมือนที่เคยทำ
ขณะนั้นจิตก็ถอนออกทันที ตอนที่ถอนความรู้สึกที่กลมๆนั้นคลายตัวออกแล้วกลับมารู้สึกถึงลมหายใจร่างกายดังเดิม
"ตอนนั้นยอมรับว่าไม่รู้เรื่องหลักการอะไรมากนักจึงได้มาศึกษาภายหลังว่ามันคืออะไร"
เมื่อจิตรวมแล้วมันมักจะเกิดนิมิตแล้วแต่บุญวาสนาของใครของมัน ของผมมันเป็นกลมๆลอยท่ามกลางความมืด จริงๆทุกสิ่งเกิดขึ้นล้วนต้องดับนิมิตต่างๆเองก็เช่นกัน ดังคำว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลล้วนดับไปเป็นธรรมดา แต่ตอนนั้นผมไม่รู้เลยไปสนใจนิมิตที่เกิด ดังนั้นจะขาวจะดำอะไรเกิดขึ้นล้วนดับหมด สิ่งใดที่เป็น"สังขตธรรม"ล้วนต้องดับ ไม่ควรสนใจให้ค่า
สรุป การทำสมาธิแบบนี้เป็นการใช้ "สติ" คือ "รู้สึก" ให้ลมอยู่ในกาย "สติเป็นเจตสิก เจตสิกนั้นจะอาศัยจิตในการเกิดเสมอ" นั้นหมายความว่า เรา "รู้สึก" ว่าลมเคลื่อนเข้าออกในกายจิตก็จะเคลื่อนเช่นเดียวกัน พอจิตละเอียดสงบเขาจะรวมตัวครับ
เรื่องคำภาวนานั้นมันชอบหายตอนภาวนาถือเป็นเรื่องปกติเพราะคำภาวนาก็เป็นของหยาบๆเมื่อเทียบกับจิตที่สงบ แต่ก็เป็นอุบายแก้ความฟุ้งซ่านได้ดีระดับหนึ่ง พระพุทธเจ้าท่านก็สอนให้สาวกบางรูปบริกรรมภาวนา เช่น รโชหรณัง เมื่อคราวสอนพระจูฬปันถก
หวังว่าจะเป็นการแบ่งปันที่ดี ขอให้ทุกท่านก้าวผ่านนิมิตต่างๆไปให้ได้ ก้าวข้ามภวทิฏฐิ(ติดในความมี)ข้ามวิภวทิฏฐิ(ติดในความไม่มี) ก้าวข้ามสังขตธรรมเครื่องปรุงแต่งทั้งหลาย ให้ถึงพระนิพพานทุกท่านครับ 🙏🙏🙏
ปล.ทุกวันนี้ผมใช้คำภาวนาว่านิพพานครับ หายใจเข้า"นิพ" หายใจออก"พาน" สาเหตุจากรู้สึกว่าชอบใจ เพราะเคยฝันว่าตัวเองโดนฟ้าผ่าและขณะกำลังจะตายก็ภาวนาว่านิพพานครับ😊
แบ่งปัน วิธีทำสมาธิแบบง่ายๆครับ
ตอนนั้นผมกำหนดคำภาวนาไปด้วยพร้อมๆกับลมหายใจ เข้า "พุท" ออก "โธ"
สูดลมเข้าไปเรื่อยๆให้ความ "รู้สึก" เหมือนลมผ่านไปทางจมูกลำคอเรื่อยๆไปจนถึงใต้สะดือ
ตอนลมออกก็ให้ "รู้สึก" ว่าลมออกจากใต้สะดือผ่านลำคอเรื่อยๆมาจนออกจมูก
ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆจะมีบางช่วงคำภาวนาแผ่วก็ระลึกขึ้นมาใหม่ แล้วมันก็แผ่วอีกเป็นแบบนี้หลายครั้ง คล้ายๆกับว่ามันเบาๆละเอียดๆ
มีช่วงจังหวะหนึ่งพอจิตจะรวมตอนนั้นสูดลมเข้า "รู้สึก" ตลอดแต่คำภาวนามันหายไปก่อนหน้านั้นแล้ว
ตอนที่จิตรวมนั้นเหมือนกับว่าความรู้สึกทั้งหลายในร่างกายตั้งแต่หัวจรดเท้ามันวิ่งมารวมกันไวมาก
พอรวมเสร็จมันทิ้งกายทันที ตอนนั้นไม่รู้สึกถึงคำภาวนา ไม่รู้สึกถึงลมหายใจ ไม่รู้สึกถึงร่างกายเลยด้วย
มีเพียงความรู้สึกว่า มันมีอะไรกลมๆลอยอยู่ท่ามกลางความมืดคล้ายๆกับอวกาศที่ไม่มีอะไรนอกจากความมืด แต่ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวเพียงเฉยๆ กลมๆขนาดประมาณลูกปิงปอง กลมดิกเลยไม่มีสีสันอะไร เพียงรู้สึกว่า "กลมเฉยๆ"
ตอนนี้ผมแปลกใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นเพราะก่อนหน้านี้เรายังภาวนาอยู่ดีๆ เลย "ระลึก" ถึงคำภาวนาและกำหนดลมเหมือนที่เคยทำ
ขณะนั้นจิตก็ถอนออกทันที ตอนที่ถอนความรู้สึกที่กลมๆนั้นคลายตัวออกแล้วกลับมารู้สึกถึงลมหายใจร่างกายดังเดิม
"ตอนนั้นยอมรับว่าไม่รู้เรื่องหลักการอะไรมากนักจึงได้มาศึกษาภายหลังว่ามันคืออะไร"
เมื่อจิตรวมแล้วมันมักจะเกิดนิมิตแล้วแต่บุญวาสนาของใครของมัน ของผมมันเป็นกลมๆลอยท่ามกลางความมืด จริงๆทุกสิ่งเกิดขึ้นล้วนต้องดับนิมิตต่างๆเองก็เช่นกัน ดังคำว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลล้วนดับไปเป็นธรรมดา แต่ตอนนั้นผมไม่รู้เลยไปสนใจนิมิตที่เกิด ดังนั้นจะขาวจะดำอะไรเกิดขึ้นล้วนดับหมด สิ่งใดที่เป็น"สังขตธรรม"ล้วนต้องดับ ไม่ควรสนใจให้ค่า
สรุป การทำสมาธิแบบนี้เป็นการใช้ "สติ" คือ "รู้สึก" ให้ลมอยู่ในกาย "สติเป็นเจตสิก เจตสิกนั้นจะอาศัยจิตในการเกิดเสมอ" นั้นหมายความว่า เรา "รู้สึก" ว่าลมเคลื่อนเข้าออกในกายจิตก็จะเคลื่อนเช่นเดียวกัน พอจิตละเอียดสงบเขาจะรวมตัวครับ
เรื่องคำภาวนานั้นมันชอบหายตอนภาวนาถือเป็นเรื่องปกติเพราะคำภาวนาก็เป็นของหยาบๆเมื่อเทียบกับจิตที่สงบ แต่ก็เป็นอุบายแก้ความฟุ้งซ่านได้ดีระดับหนึ่ง พระพุทธเจ้าท่านก็สอนให้สาวกบางรูปบริกรรมภาวนา เช่น รโชหรณัง เมื่อคราวสอนพระจูฬปันถก
หวังว่าจะเป็นการแบ่งปันที่ดี ขอให้ทุกท่านก้าวผ่านนิมิตต่างๆไปให้ได้ ก้าวข้ามภวทิฏฐิ(ติดในความมี)ข้ามวิภวทิฏฐิ(ติดในความไม่มี) ก้าวข้ามสังขตธรรมเครื่องปรุงแต่งทั้งหลาย ให้ถึงพระนิพพานทุกท่านครับ 🙏🙏🙏
ปล.ทุกวันนี้ผมใช้คำภาวนาว่านิพพานครับ หายใจเข้า"นิพ" หายใจออก"พาน" สาเหตุจากรู้สึกว่าชอบใจ เพราะเคยฝันว่าตัวเองโดนฟ้าผ่าและขณะกำลังจะตายก็ภาวนาว่านิพพานครับ😊