Cahokia ตอนนี้เป็นกองดินสูงตระหง่านที่บ่งบอกถึงมรดกของเมืองยุค pre-Columbian ที่ใหญ่ที่สุดทางตอนเหนือของเม็กซิโก
เจ็ดสิบแห่งของมันได้รับการคุ้มครองภายในแหล่งมรดกโลกของ Unesco ในปี 1982 ในภาพคือเนินดินสูง 10 ชั้นที่รู้จักกันในชื่อ Monks Mound
(Cr.Michael S Lewis / Getty Images)
ตั้งแต่ 2100 ปีก่อนคริสตศักราช เมโสโปเตเมียมีเมือง Ur ที่มั่งคั่งและ ziggurat ที่สูงตระหง่าน อียิปต์มี Memphis และ Alexandria โดยเป็นปิรามิดและห้องสมุดอันยิ่งใหญ่ตามลำดับ และอารยธรรม Toltec หรือ Totonacs ที่อาศัยอยู่ในเม็กซิโกสมัยใหม่มี Teotihuacan เมืองที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาสมัยก่อนโคลัมบัสโดยมีประชากรกว่า 125,000 คนในสถาปัตยกรรมเสาหิน
เมืองโบราณดูเหมือนว่าจะผุดขึ้นทั่วโลก ซึ่งแต่ละเมืองเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่งดงามในสมัยของพวกเขา แม้เมืองเหล่านี้จำนวนหนึ่งได้รับความสนใจอย่างมากในสายตาของประชาชนแบบ Teotihuacan ที่เป็นที่รู้จักกันดี แต่มีเพียงไม่กี่คนที่คุ้นเคยกับเมืองอื่นๆ ในอเมริกาเหนือเช่น American Bottom และ Cahokia เมืองโบราณที่ยิ่งใหญ่
ประมาณหนึ่งพันปีที่แล้ว มีเมืองหนึ่งเติบโตขึ้นในที่ราบน้ำท่วมที่รู้จักกันในชื่อ American Bottom ทางตะวันออกของที่ปัจจุบันคือเมืองเซนต์หลุยส์ ในรัฐอิลลินอยส์ ในเวลาไม่กี่ทศวรรษ เมืองนี้กลายเป็นศูนย์กลางของประชากรที่ใหญ่ที่สุดในทวีปทางตอนเหนือของเม็กซิโก โดยอาจมีประชากรถึง15,000
คน จากนั้น ผู้คนได้เพิ่มขึ้นจำนวนมากเป็นสองเท่าในพื้นที่โดยรอบ สองศตวรรษต่อมา มันก็เสื่อมโทรมและถูกทิ้งร้างในปี 1400
ในขณะที่เรื่องราวของ Cahokia กลับสร้างความลึกลับให้กับนักโบราณคดีมากกว่า นับตั้งแต่ปี 1867 ที่พวกเขาได้สำรวจเนินดินซึ่งเป็นโครงสร้างที่มนุษย์สร้างขึ้นที่สูงที่สุดในสหรัฐ พวกเขาไม่รู้ว่าทำไม Cahokia ถึงก่อตัวขึ้น ทำไมมันถึงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง หรือทำไมชาวเมืองจึงอพยพออกไป ปล่อยให้มันพังทลาย สมมติฐานมีมากมาย แต่ข้อมูลการละทิ้งไม่มากพอ
ในปี 1050 จักรวาลของชนพื้นเมืองอเมริกันแห่ง Cahokia นั้นใหญ่กว่าปารีส
โดยรวมแล้ว เนินดินถูกทำขึ้นบนพื้นที่ประมาณ 55 ล้านลูกบาศก์ฟุต ห่างออกไปทางตะวันออกของเซนต์หลุยส์ประมาณ 10 ไมล์ จาก120 เนินที่สร้างขึ้นเมื่อ 1,000 ปีก่อนที่โคลัมบัสจะไปถึงอเมริกาเหนือ ตอนนี้เหลือแค่ 80 แห่งบนพื้นที่ 2,200 เอเคอร์ เนินดินที่ใหญ่ที่สุดครอบคลุมพื้นที่13.8 เอเคอร์และสูง 100 ฟุต เนินเหล่านี้สร้างขึ้นโดยชนพื้นเมืองอเมริกันที่เรียกว่า Mississippians ซึ่งตั้งชื่อตามแม่น้ำสายใหญ่ที่พวกเขาอาศัยอยู่ใกล้ ๆ
นักโบราณคดีกล่าวว่า อารยธรรม Mississippian นั้นไม่ค่อยเข้าใจมากนักเพราะไม่มีระบบการเขียน เมื่อเริ่มจะบันทึกวัฒนธรรมของพวกเขาอย่างจริงจัง
พวกเขาก็กระจัดกระจายไป และบางส่วนตายจากโรคในยุโรปที่พวกเขาไม่มีภูมิคุ้มกัน อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่มีส่วนใหญ่มาจากโบราณคดี โดยเฉพาะเมือง Cahokia เป็นหลักฐานทางโบราณคดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เมืองนี้ตั้งชื่อตามชนเผ่า Cahokia ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นี้เมื่อชาวฝรั่งเศสมาถึงครั้งแรก แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่ชาวเมืองดั้งเดิมก็ตาม จนในศตวรรษที่ 17 Cahokia ก็ถูกทิ้งร้างเช่นกัน
ตามข้อมูลทางประวัติศาสตร์ Cahokia เติบโตเป็นมหาอำนาจระหว่าง 800-1200 ซีอี ถูกเรียกว่าว่าเมือง " America’s Forgotten " พื้นที่ขนาดใหญ่แห่งนี้ครั้งหนึ่งเคยมีผู้คนมากถึง 40,000 คน และแผ่กระจายไปทั่วเกือบ 4,000 เอเคอร์ ลักษณะเด่นที่สุดของสถานที่นี้คือ เนินดินทำมือ ซึ่งเป็นที่ตั้งของวัด อาคารทางการเมือง และหลุมฝังศพ ทำให้ Cahokia Mounds เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงวัฒนธรรมที่มีการจัดระเบียบอย่างดีของชาว Mississippians ยุคแรกที่สร้างเมืองที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือยุค pre-Columbian
ส่วนหนึ่งของ Stockade กำแพงไม้ซุงที่สร้างขึ้นเพื่อการป้องกันและเป็นตัวแบ่งสังคม ที่อยู่ใกล้กับ Monks Mound
กำแพงนี้อาจกั้นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์และกลุ่มชนชั้นสูง มันถูกสร้างขึ้นใหม่สี่ครั้งระหว่างปี 1175 - 1275 AD
มีการประมาณว่าแต่ละกำแพงต้องใช้ท่อนซุงถึง 15,000 - 20,000 ท่อน
Cahokia นั้นมีเนินดินสามประเภทคือ แท่นพื้นราบ ทรงกรวย และยอดสันเขา (flat-top platform, conical, and ridge-top) แต่ที่พบมากที่สุดคือเนินดิน
ที่ส่วนใหญ่สร้างขึ้นระหว่างศตวรรษที่ 9 - 13 วัตถุประสงค์ของเนินดินมีหลากหลาย โดยเนินดินที่มียอดแบนจะรองรับที่อยู่อาศัย วัด และเวทีสำหรับเทศกาลและพิธีกรรมทางศาสนา/การเมือง ส่วนเนินทรงกรวยและบนสันเขาดูเหมือนจะทำหน้าที่เป็นสถานที่ฝังศพและสถานที่สำคัญอื่นๆ
วัสดุในการสร้างเนิน Cahokia มีดินเหนียว ดินชั้นบนสุด เปลือกหอย หรือหิน ซึ่งเนินดินที่ใหญ่ที่สุดมีเปอร์เซ็นต์ดินเหนียวสูงเพื่อป้องกันการซึมและการกัดเซาะของน้ำ ทั้งนี้ เนินดินทั้งหมดทำด้วยมือจากการรวบรวมวัสดุที่นำมาจากพื้นที่อื่นหรือขุดขึ้น จากนั้นพวกเขาจะบรรทุกไปในตะกร้าบนหลังไปยังสถานที่ก่อสร้าง เพื่ออัดดินและดินเหนียวทีละชั้นเพื่อสร้างเป็นเนิน
จากโครงสร้างมากมายภายใน Cahokia สิ่งที่น่าประทับใจที่สุดคือ Monks Mound ที่นักโบราณคดีเชื่อว่ามีการก่อสร้างต่อเนื่องกัน 40 ขั้นตอน ซึ่งใช้ดินมากกว่า 25 ล้านลูกบาศก์ฟุต ด้วยความสูง 100 ฟุตขึ้นไปในอากาศ และครอบคลุมพื้นที่ 14 เอเคอร์ ทำให้ Monks Mound เป็นโครงสร้างดินยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดทางตอนเหนือของอเมริกา
แต่ Cahokia ไม่ได้ถูกลิขิตให้คงอยู่ สิ่งที่ขับไล่ชาวมิสซิสซิปปี้ออกจากเมืองอันกว้างใหญ่นั้นไม่ชัดเจน ทำให้การล่มสลายของมันค่อนข้างลึกลับ จากการวิจัย เหตุการณ์สามเหตุการณ์ต่อไปนี้อาจมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับมัน
แผนภาพแสดงส่วนประกอบต่างๆ ของเนิน Cahokia / Cr.CC3.0 Herb Roe.
1. จากการศึกษาที่ตีพิมพ์ในปี 2017 โดย Broxton Bird นักภูมิอากาศวิทยาจาก Indiana University-Purdue University Indianapolis โดยการเก็บตัวอย่างแคลไซต์โบราณใน Martin Lake รัฐอินเดียนา เขาและทีมของเขาได้วิเคราะห์ระดับการตกตะกอนของมันตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผลลัพธ์ระบุว่าเมื่อประมาณปี 1250 CE มีการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเกิดขึ้น จนถึงภายในปี 1350 เกิดภัยแล้งอย่างรุนแรงโดยอากาศที่แห้งแล้งของอาร์กติก ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของยุคน้ำแข็งน้อยซึ่งกินเวลานานถึง 500 ปี
2. เมื่อเกิดฝนตกหนักในช่วงฤดูแล้งน้ำท่วมมักเกิดขึ้นควบคู่กัน ในการศึกษา(2015) ของ Samuel Munoz และ Jack Williams ทีมวิจัยนักภูมิศาสตร์ของ UW–Madison ได้เก็บตัวอย่างแกนกลางที่มีอายุมากถึง 2,000 ปีจากทะเลสาบสองแห่งในพื้นที่น้ำท่วมขังของมิสซิสซิปปี้ พวกเขาพบว่าก่อน 600 CE
มีช่วงที่น้ำไม่ท่วมและน้ำท่วมหลายครั้ง โดยช่วงเวลาที่ไม่มีน้ำท่วมนั้น Cahokia เจริญรุ่งเรืองอย่างมาก จนหลังอุทกภัยในปี 1200 CE จำนวนประชากรได้ลดลงจนถูกละทิ้งโดยสิ้นเชิง
3. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและเหตุการณ์น้ำท่วมอาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการผลิตข้าวโพด ดังนั้น ความอดอยากและความหิวโหยย่อม
นำไปสู่ความโกลาหลครั้งใหญ่ในประชากรจำนวนมากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นผลให้สังคม Mississippian ในภูมิภาคเริ่มล่มสลาย รวมทั้งการทำลายผาสูง การบวงสรวงที่เพิ่มขึ้น และการทำสงครามที่รุนแรงเกิดขึ้นหลังปี 1250 CE ดังนั้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 14 ผู้อยู่อาศัยได้อพยพไปทางใต้และตะวันออกไปยังพื้นที่ที่มีสภาพอากาศคงที่มากขึ้น
ภาพวาดของโบราณสถานแห่งรัฐ Cahokia Mounds โดย William R. Iseminger
จะเห็นทะเลสาบ Horseshoe Lake ที่มุมซ้ายบน ซึ่งตะกอนสะสมทำให้เกิดเส้นเวลาของน้ำท่วมจากแม่น้ำมิสซิสซิปปี้
ปัจจุบัน Cahokia ได้รับการอนุรักษ์ให้เป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่ทุกคนสามารถเข้าชมได้ โดยโบราณสถานในรัฐอิลลินอยส์ปกป้องพื้นที่กว่า 2,220 เอเคอร์จากเดิม 4,000 เอเคอร์ ซึ่งรวมถึงประมาณ 70 จาก 80 เนินที่เหลืออยู่ ในปี 1964 รัฐบาลกลางกำหนดให้ที่นี่เป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ และในปี 1982 UNESCO ได้กำหนดให้เป็นมรดกโลก นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของ Museum Society ซึ่งมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมความก้าวหน้าทางการศึกษาและวิทยาศาสตร์ของ Cahokia Mounds
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านั้น พื้นที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ที่มีการพัฒนาอย่างหนัก เนินดินบางแห่งได้รับการปรับระดับเพื่อทำการเกษตร,สนามบิน,ที่อยู่อาศัย และทางหลวง โชคดีที่พื้นที่ส่วนใหญ่ยังคงอยู่ และเป็นหนึ่งในไม่กี่เมืองโบราณที่ยังเหลือให้เยี่ยมชมในอเมริกาเหนือ โดยนักท่องเที่ยวสามารถขึ้นบันไดไป
ยอดเนิน Monks Mound ได้ ซึ่งจะมีป้ายคำอธิบายเกี่ยวกับมุมมองที่น่าประทับใจนี้
ยังมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติ - วัฒนธรรมยาว 6.2 ไมล์ผ่านพื้นที่ห่างไกลในสภาพแวดล้อมของพื้นที่ชุ่มน้ำ ป่าไม้ และเส้นทางเดินทุ่งหญ้าที่ยาวเป็นไมล์ของ Prairie State ที่มีพืชพันธุ์พื้นเมืองและสัตว์ในพื้นที่ รวมทั้งชมลักษณะทางกายภาพอื่นๆ ได้แก่ กำแพงรั้วที่สร้างขึ้นใหม่, Woodhenge วงกลมของเสาที่อยู่ล้อมรอบเสากลางขนาดใหญ่ ที่พระอาทิตย์ขึ้นสามารถจัดแนวเพื่อกำหนดฤดูกาล - ช่วงเวลาของปี
Woodhenge ในเขตประวัติศาสตร์ Cahokia Mounds ของรัฐอิลลินอยส์
เสาไม้ดั้งเดิมนั้นผุพังไปนานแล้ว ในปี 1985 เสาต้นซีดาร์ที่ทนทานชุดใหม่ถูกวางไว้แทนประวัติศาสตร์
เพื่อสร้างแบบจำลองของสิ่งที่ไซต์นี้เคยมี
ไม่กี่ไมล์จาก Cahokia ในเซนต์หลุยส์ ชาวบ้านเห็นว่าเนินดินหลายแห่งในเมืองนี้น่าจะใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้มากกว่าคุณค่าทางประวัติศาสตร์
ทำให้เนินดินขนาดที่ใหญ่ที่สุดที่สูง 30 ฟุต ยาว 300 ฟุต และใช้เวลาหลายปีกว่าจะถึงระดับนั้น ถูกนำออกเพื่อทำรางรถไฟในปี 1869
THOMAS M. EASTERLY พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์มิสซูรี
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
Cahokia Mounds : มหานครโบราณของอเมริกาเหนือที่สาปสูญ
ตั้งแต่ 2100 ปีก่อนคริสตศักราช เมโสโปเตเมียมีเมือง Ur ที่มั่งคั่งและ ziggurat ที่สูงตระหง่าน อียิปต์มี Memphis และ Alexandria โดยเป็นปิรามิดและห้องสมุดอันยิ่งใหญ่ตามลำดับ และอารยธรรม Toltec หรือ Totonacs ที่อาศัยอยู่ในเม็กซิโกสมัยใหม่มี Teotihuacan เมืองที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาสมัยก่อนโคลัมบัสโดยมีประชากรกว่า 125,000 คนในสถาปัตยกรรมเสาหิน
เมืองโบราณดูเหมือนว่าจะผุดขึ้นทั่วโลก ซึ่งแต่ละเมืองเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่งดงามในสมัยของพวกเขา แม้เมืองเหล่านี้จำนวนหนึ่งได้รับความสนใจอย่างมากในสายตาของประชาชนแบบ Teotihuacan ที่เป็นที่รู้จักกันดี แต่มีเพียงไม่กี่คนที่คุ้นเคยกับเมืองอื่นๆ ในอเมริกาเหนือเช่น American Bottom และ Cahokia เมืองโบราณที่ยิ่งใหญ่
ประมาณหนึ่งพันปีที่แล้ว มีเมืองหนึ่งเติบโตขึ้นในที่ราบน้ำท่วมที่รู้จักกันในชื่อ American Bottom ทางตะวันออกของที่ปัจจุบันคือเมืองเซนต์หลุยส์ ในรัฐอิลลินอยส์ ในเวลาไม่กี่ทศวรรษ เมืองนี้กลายเป็นศูนย์กลางของประชากรที่ใหญ่ที่สุดในทวีปทางตอนเหนือของเม็กซิโก โดยอาจมีประชากรถึง15,000
คน จากนั้น ผู้คนได้เพิ่มขึ้นจำนวนมากเป็นสองเท่าในพื้นที่โดยรอบ สองศตวรรษต่อมา มันก็เสื่อมโทรมและถูกทิ้งร้างในปี 1400
ในขณะที่เรื่องราวของ Cahokia กลับสร้างความลึกลับให้กับนักโบราณคดีมากกว่า นับตั้งแต่ปี 1867 ที่พวกเขาได้สำรวจเนินดินซึ่งเป็นโครงสร้างที่มนุษย์สร้างขึ้นที่สูงที่สุดในสหรัฐ พวกเขาไม่รู้ว่าทำไม Cahokia ถึงก่อตัวขึ้น ทำไมมันถึงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง หรือทำไมชาวเมืองจึงอพยพออกไป ปล่อยให้มันพังทลาย สมมติฐานมีมากมาย แต่ข้อมูลการละทิ้งไม่มากพอ
นักโบราณคดีกล่าวว่า อารยธรรม Mississippian นั้นไม่ค่อยเข้าใจมากนักเพราะไม่มีระบบการเขียน เมื่อเริ่มจะบันทึกวัฒนธรรมของพวกเขาอย่างจริงจัง
พวกเขาก็กระจัดกระจายไป และบางส่วนตายจากโรคในยุโรปที่พวกเขาไม่มีภูมิคุ้มกัน อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่มีส่วนใหญ่มาจากโบราณคดี โดยเฉพาะเมือง Cahokia เป็นหลักฐานทางโบราณคดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เมืองนี้ตั้งชื่อตามชนเผ่า Cahokia ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นี้เมื่อชาวฝรั่งเศสมาถึงครั้งแรก แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่ชาวเมืองดั้งเดิมก็ตาม จนในศตวรรษที่ 17 Cahokia ก็ถูกทิ้งร้างเช่นกัน
ตามข้อมูลทางประวัติศาสตร์ Cahokia เติบโตเป็นมหาอำนาจระหว่าง 800-1200 ซีอี ถูกเรียกว่าว่าเมือง " America’s Forgotten " พื้นที่ขนาดใหญ่แห่งนี้ครั้งหนึ่งเคยมีผู้คนมากถึง 40,000 คน และแผ่กระจายไปทั่วเกือบ 4,000 เอเคอร์ ลักษณะเด่นที่สุดของสถานที่นี้คือ เนินดินทำมือ ซึ่งเป็นที่ตั้งของวัด อาคารทางการเมือง และหลุมฝังศพ ทำให้ Cahokia Mounds เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงวัฒนธรรมที่มีการจัดระเบียบอย่างดีของชาว Mississippians ยุคแรกที่สร้างเมืองที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือยุค pre-Columbian
ที่ส่วนใหญ่สร้างขึ้นระหว่างศตวรรษที่ 9 - 13 วัตถุประสงค์ของเนินดินมีหลากหลาย โดยเนินดินที่มียอดแบนจะรองรับที่อยู่อาศัย วัด และเวทีสำหรับเทศกาลและพิธีกรรมทางศาสนา/การเมือง ส่วนเนินทรงกรวยและบนสันเขาดูเหมือนจะทำหน้าที่เป็นสถานที่ฝังศพและสถานที่สำคัญอื่นๆ
วัสดุในการสร้างเนิน Cahokia มีดินเหนียว ดินชั้นบนสุด เปลือกหอย หรือหิน ซึ่งเนินดินที่ใหญ่ที่สุดมีเปอร์เซ็นต์ดินเหนียวสูงเพื่อป้องกันการซึมและการกัดเซาะของน้ำ ทั้งนี้ เนินดินทั้งหมดทำด้วยมือจากการรวบรวมวัสดุที่นำมาจากพื้นที่อื่นหรือขุดขึ้น จากนั้นพวกเขาจะบรรทุกไปในตะกร้าบนหลังไปยังสถานที่ก่อสร้าง เพื่ออัดดินและดินเหนียวทีละชั้นเพื่อสร้างเป็นเนิน
จากโครงสร้างมากมายภายใน Cahokia สิ่งที่น่าประทับใจที่สุดคือ Monks Mound ที่นักโบราณคดีเชื่อว่ามีการก่อสร้างต่อเนื่องกัน 40 ขั้นตอน ซึ่งใช้ดินมากกว่า 25 ล้านลูกบาศก์ฟุต ด้วยความสูง 100 ฟุตขึ้นไปในอากาศ และครอบคลุมพื้นที่ 14 เอเคอร์ ทำให้ Monks Mound เป็นโครงสร้างดินยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดทางตอนเหนือของอเมริกา
แต่ Cahokia ไม่ได้ถูกลิขิตให้คงอยู่ สิ่งที่ขับไล่ชาวมิสซิสซิปปี้ออกจากเมืองอันกว้างใหญ่นั้นไม่ชัดเจน ทำให้การล่มสลายของมันค่อนข้างลึกลับ จากการวิจัย เหตุการณ์สามเหตุการณ์ต่อไปนี้อาจมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับมัน
1. จากการศึกษาที่ตีพิมพ์ในปี 2017 โดย Broxton Bird นักภูมิอากาศวิทยาจาก Indiana University-Purdue University Indianapolis โดยการเก็บตัวอย่างแคลไซต์โบราณใน Martin Lake รัฐอินเดียนา เขาและทีมของเขาได้วิเคราะห์ระดับการตกตะกอนของมันตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผลลัพธ์ระบุว่าเมื่อประมาณปี 1250 CE มีการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเกิดขึ้น จนถึงภายในปี 1350 เกิดภัยแล้งอย่างรุนแรงโดยอากาศที่แห้งแล้งของอาร์กติก ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของยุคน้ำแข็งน้อยซึ่งกินเวลานานถึง 500 ปี
2. เมื่อเกิดฝนตกหนักในช่วงฤดูแล้งน้ำท่วมมักเกิดขึ้นควบคู่กัน ในการศึกษา(2015) ของ Samuel Munoz และ Jack Williams ทีมวิจัยนักภูมิศาสตร์ของ UW–Madison ได้เก็บตัวอย่างแกนกลางที่มีอายุมากถึง 2,000 ปีจากทะเลสาบสองแห่งในพื้นที่น้ำท่วมขังของมิสซิสซิปปี้ พวกเขาพบว่าก่อน 600 CE
มีช่วงที่น้ำไม่ท่วมและน้ำท่วมหลายครั้ง โดยช่วงเวลาที่ไม่มีน้ำท่วมนั้น Cahokia เจริญรุ่งเรืองอย่างมาก จนหลังอุทกภัยในปี 1200 CE จำนวนประชากรได้ลดลงจนถูกละทิ้งโดยสิ้นเชิง
3. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและเหตุการณ์น้ำท่วมอาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการผลิตข้าวโพด ดังนั้น ความอดอยากและความหิวโหยย่อม
นำไปสู่ความโกลาหลครั้งใหญ่ในประชากรจำนวนมากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นผลให้สังคม Mississippian ในภูมิภาคเริ่มล่มสลาย รวมทั้งการทำลายผาสูง การบวงสรวงที่เพิ่มขึ้น และการทำสงครามที่รุนแรงเกิดขึ้นหลังปี 1250 CE ดังนั้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 14 ผู้อยู่อาศัยได้อพยพไปทางใต้และตะวันออกไปยังพื้นที่ที่มีสภาพอากาศคงที่มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านั้น พื้นที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ที่มีการพัฒนาอย่างหนัก เนินดินบางแห่งได้รับการปรับระดับเพื่อทำการเกษตร,สนามบิน,ที่อยู่อาศัย และทางหลวง โชคดีที่พื้นที่ส่วนใหญ่ยังคงอยู่ และเป็นหนึ่งในไม่กี่เมืองโบราณที่ยังเหลือให้เยี่ยมชมในอเมริกาเหนือ โดยนักท่องเที่ยวสามารถขึ้นบันไดไป
ยอดเนิน Monks Mound ได้ ซึ่งจะมีป้ายคำอธิบายเกี่ยวกับมุมมองที่น่าประทับใจนี้
ยังมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติ - วัฒนธรรมยาว 6.2 ไมล์ผ่านพื้นที่ห่างไกลในสภาพแวดล้อมของพื้นที่ชุ่มน้ำ ป่าไม้ และเส้นทางเดินทุ่งหญ้าที่ยาวเป็นไมล์ของ Prairie State ที่มีพืชพันธุ์พื้นเมืองและสัตว์ในพื้นที่ รวมทั้งชมลักษณะทางกายภาพอื่นๆ ได้แก่ กำแพงรั้วที่สร้างขึ้นใหม่, Woodhenge วงกลมของเสาที่อยู่ล้อมรอบเสากลางขนาดใหญ่ ที่พระอาทิตย์ขึ้นสามารถจัดแนวเพื่อกำหนดฤดูกาล - ช่วงเวลาของปี
Woodhenge ในเขตประวัติศาสตร์ Cahokia Mounds ของรัฐอิลลินอยส์
ไม่กี่ไมล์จาก Cahokia ในเซนต์หลุยส์ ชาวบ้านเห็นว่าเนินดินหลายแห่งในเมืองนี้น่าจะใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้มากกว่าคุณค่าทางประวัติศาสตร์
THOMAS M. EASTERLY พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์มิสซูรี