.
***
ท่านยมกะ ภิกษุ ผู้ที่เป็นพระอรหันตขีณาสพ เมื่อตายไปแล้ว ย่อมเป็นอะไร ท่านถูกถามอย่างนั้น จะพึงกล่าวแก้ ว่าอย่างไร?
.
พระยมกะ เข้าใจว่า สิ่งที่เรียกว่า " พระอรหันต์" เป็นสภาวะที่มีอยู่จริง เป็นตัวตน
จึงคิดว่า พระอรหันต์ตายแล้วสูญหายไป
" ก็โดยสมัยนั้นแล
ยมกภิกษุเกิดทิฏฐิอันชั่วช้าเห็นปานนี้ว่า
เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรม ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วว่า
พระขีณาสพเมื่อตายไปแล้ว
ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดอีก. "
(ความจริงพระอรหันต์ เป็นคำเรียก ขันธ์แต่ละชุด ที่จิต(ในชุดขันธ์นั้น) บรรลุธรรม 4 ขั้น ถึงขั้น อรหัตตผล
แบบคำพูดที่ขาวโลกเข้าใจแบบสมมติว่าเป็น บคคล (เช่น พระอรหันต์ คน เทวดา พรหม สัตว์ ...)
+++++++
(ขันธ์5 คือ สิ่งที่มีสภาวะ มีจริง 5 ประเภท ที่ประกอบเป็นร่างกายและจิตใจ
(สมมติเรียกให้ชาวโลกเข้าใจแบบเป็นบุคคล เข่น คน เทวดา พรหม สัตว์ สัตว์เดรัจฉาน...)
คือ 1. รูป(เข้าใจง่ายเบื้องต้นว่า คือร่างกาย)
2. เวทนา (ความรู้สึกทุกข์ สุข เฉยๆ จะเกิดกับจิต ให้จิตรับรู้)
3. สัญญา(ความจำ จะเกิดกับจิต ให้จิตรับรู้)
4. สังขาร(ความคิด กลางๆ ดี ไม่ดี(เช่นความกำหนัด) จะเกิดกับจิต ให้จิตรับรู้)
5. วิญญาณ (คือจิต ที่ออกมารู้สัมผัส เรียกวิญญาณทางนั้น ที่วิญญาณทางตา ทางหู ...
จิต ที่ไม่ได้ออกมารับรู้ เรียกว่า ภวังคจิต(เวลาหลับสนิท)
จิต ที่เข้าฌานติดเนื่องกันไป เรียก ฌานจิต
,จิต ที่เกิดใหม่ครั้งแรกในภูมิภพใหม่เรียก ปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิวิญญาณ,
จิต ที่ดับครั้งสุดท้ายในภพเก่า ถ้ายังมีกิเลสอบู(และมีจิตใหม่เกิดอีก)เรียกว่า จุติจิต(จิตดับ) )
จิต เป็นที่เกิดของ เวทนา สัญญา สังขาร และรับรู้เวทนา สัญญา สังขาร นั้นๆ
+++++++++
ความจริง เป็นขันธ์ แต่ละชุด ที่ไม่คงที่ ไม่ใช่ใครมาตั้งแต่ต้น
เมื่อดับครั้งสุดท้ายในภพเก่า(จิตเกิดดับตลอดเวลา) ก็ดับไป
ถ้าจิตนั้นไม่มีตัณหาแล้ว(จิตที่บรรลุอรหัตตผล) ก็ไม่มีเหตุปัจจัยให้มีจิตใหม่หรือขันธ์ชุดใหม่เกิดในภพใหม่
ไม่มีสภาวะที่เป็นตัวตน หรือสภาวะของคำว่า" อรหันต์" ที่แท้จริง มีเพียงขันธ์ที่เกิดและดับ
คำว่า พระอรหันต์ตาย เป็นภาษาแบบชาวโลกให้เข้าใจ ว่า ขันธ์ชุดใด ดับไป(และไม่มีขันธ์ใหม่เกิดอีก)
ความจริงแท้ จึงไม่ใช่คำแบบชาวโลกเข้าใจแบบเป็นบุคคล ว่า พระอรหันต์ ตาย และ จึงไม่ใช่ พระอรหันต์ตายแล้วสูญ
(เพราะไม่มีใคร แบบเป็นบุคคลมาตั้งแต่ต้นแล้ว)
(หรือ ไม่ใช่พระอรหันต์ตายแล้วเกิด หรือ ไม่ใช่คำอื่นที่พูดแบบบุคคล ว่าเกิดอีก ไม่เกิดอีก )
ต้องกล่าวว่า ขันธ์5 ไม่เที่ยง(ไม่คงทน ไม่คงที่) ดับไปแล้ว
สิ่งนั้นดับไปแล้ว
ถึงแล้วซึ่งการตั้งอยู่ไม่ได้
เมื่อท่านพระสารีบุตร เทศนาให้ฟัง
(เนื้อหา อรรถะ พระธรรม ความเดียวกับพระธรรมเทศนา ที่พระศาสดาทรงตรัสเทศนาไว้ ในพระธรรมบทอื่น
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=17&A=2586&Z=2679
๔. อนุราธสูตร
ว่าด้วยสัตว์บุคคลไม่มีในขันธ์ ๕
)
ให้เห็น และเข้าใจ ว่า คำว่า
พระอรหันต์
(หรือ คน เทวดา สัตว์ใดๆ)
ความจริงแท้ คือ ชุดของขันธ์5. ที่ไม่คงที่ ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บคคล มาตั้งแต่ต้น
ท่านพระยมกะ ได้ฟัง จิตรับรู้ เข้าใจ จิตตัดกิเลส(มัคคสมังคีในจิต ตัดกิเลสแต่ละขั้น 4 ขั้น)
บรรลุธรรม 4 ขั้น ถึง อรหัตตผล
(เรียกแบบสมมตเป็นบคคลให้ขาวโลกเข้าใจ ว่า พระอรหันต์)
-------
**********
๓.
ยมกสูตร
ว่าด้วยพระขีณาสพตายแล้วสูญหรือไม่
[๑๙๘] สมัยหนึ่ง ท่านพระสารีบุตร อยู่ที่พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถ-
*บิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี.
ก็โดยสมัยนั้นแล ยมกภิกษุ
เกิดทิฏฐิอันชั่วช้าเห็นปานนี้ว่า
เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรม ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วว่า
พระขีณาสพเมื่อตายไปแล้ว
ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดอีก.
ภิกษุหลายรูป ได้ฟังแล้วว่า ได้ยินว่า ยมกภิกษุเกิด
ทิฏฐิอันชั่วช้าเป็นปานนี้
ว่า เรารู้ทั่วถึงธรรม ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วว่า พระขีณาสพ
เมื่อตายไปแล้ว ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดอีก. ครั้งนั้น ภิกษุเหล่านั้น
จึงพากัน
เข้าไปหาท่านยมกภิกษุถึงที่อยู่ ได้สนทนาปราศรัยกับท่านยมกภิกษุ
ครั้นผ่านการสนทนาปราศรัย
ชวนให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. ครั้นแล้ว
จึงถามท่านยมกภิกษุว่า
ดูกรท่านยมกะ
ทราบว่า ท่านเกิดทิฏฐิอันชั่วช้า เห็นปานนี้ว่า เรารู้ว่าทั่วถึงธรรม ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วว่า
พระขีณาสพเมื่อตายไปแล้ว ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดอีก
จริงหรือ?
ท่านยมกะกล่าวว่า อย่างนั้น อาวุโส.
ภิ. ดูกรอาวุโสยมกะ ท่านอย่าได้พูดอย่างนั้น
อย่าได้กล่าวตู่พระผู้มีพระภาค
การกล่าวตู่พระผู้มีพระภาคไม่ดีเลย
เพราะพระผู้มีพระภาคไม่พึงตรัสอย่างนี้ว่า
พระขีณาสพเมื่อ
ตายไปแล้ว ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดอีก.
ท่านยมกะ เมื่อถูกภิกษุเหล่านั้นกล่าวแม้อย่างนี้ [u}ยังขืน[/u}กล่าวถือทิฏฐิอันชั่วช้านั้น อย่าง
หนักแน่นอย่างนั้นว่า
เรารู้ทั่วถึงธรรม ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วว่า พระขีณาสพเมื่อ
ตายไปแล้ว ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดอีก.
ภิกษุเหล่านั้น ย่อมไม่อาจเพื่อจะยังท่านยมกะ ให้ถอนทิฏฐิอันชั่วช้านั้นได้
จึงลุกจาก
อาสนะ เข้าไปหาท่านพระสารีบุตรจนถึงที่อยู่ ครั้นแล้ว จึงกล่าวกะท่านพระสารีบุตรว่า
ข้าแต่
ท่านสารีบุตร ยมกภิกษุเกิดทิฏฐิอันชั่วช้าเห็นปานนี้ว่า เรารู้ทั่วถึงธรรม ตามที่พระผู้มีพระภาค
ทรงแสดงแล้วว่า พระขีณาสพเมื่อตายไปแล้ว ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดอีก ขอ
โอกาสนิมนต์ท่านพระสารีบุตรไปหายมกภิกษุถึงที่อยู่ เพื่ออนุเคราะห์เถิด. ท่านพระสารีบุตรรับ
นิมนต์โดยดุษณีภาพ.
....
ย. ข้าแต่ท่านพระสารีบุตร เมื่อก่อนผมไม่รู้อย่างนี้ จึงได้เกิดทิฏฐิอันชั่วช้าอย่างนั้น
แต่
เดี๋ยวนี้ ผมละทิฏฐิอันชั่วช้านั้นได้แล้ว และผมก็ได้บรรลุธรรมแล้วเพราะฟังธรรมเทศนานี้ ของ
ท่านพระสารีบุตร.
[๒๐๔] สา. ดูกรท่านยมกะ ถ้าชนทั้งหลาย พึงถามท่านอย่างนี้ว่า
ท่านยมกะ ภิกษุ
ผู้ที่เป็นพระอรหันตขีณาสพ เมื่อตายไปแล้ว ย่อมเป็นอะไร
ท่านถูกถามอย่างนั้น จะพึงกล่าวแก้
ว่าอย่างไร?
ย. ข้าแต่ท่านสารีบุตร ถ้าเขาถามอย่างนั้น ผมพึงกล่าวแก้อย่างนี้ว่า
รูปแลไม่เที่ยง
สิ่งใดไม่เที่ยง
สิ่งนั้นเป็นทุกข์
สิ่งใดเป็นทุกข์
สิ่งนั้นดับไปแล้ว
ถึงแล้วซึ่งการตั้งอยู่ไม่ได้
เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณไม่เที่ยง
สิ่งใดไม่เที่ยง
สิ่งนั้นเป็นทุกข์
สิ่งใดเป็นทุกข์
สิ่งนั้นดับไป
แล้ว ถึงแล้วซึ่งการตั้งอยู่ไม่ได้
ข้าแต่ท่านสารีบุตร ผมถูกเขาถามอย่างนั้น พึงกล่าวแก้อย่างนี้.
[๒๐๕] สา.
ดีละๆ ยมกะ ถ้าอย่างนั้น เราจักอุปมาให้ท่านฟัง เพื่อหยั่งรู้ความข้อ
นั้นให้ยิ่งๆ ขึ้น.
ดูกรท่านยมกะ เปรียบเหมือนคฤหบดี หรือบุตรของคฤหบดีผู้มั่งคั่ง ...
**********
https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_line.php?B=17&A=2447
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๗ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๙
สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค
๓. ยมกสูตร
ว่าด้วยพระขีณาสพตายแล้วสูญหรือไม่
**********
.
.
----- ในโลกโลกียะ ไม่มีอะไร นอกจากขันธ์ 5 / เมื่อจิตที่บรรลุอรหัตตผล ปรินิพพาน ก็ไม่สิ่งอื่น ที่ดับไป นอกจากขันธ์5
*** ท่านยมกะ ภิกษุ ผู้ที่เป็นพระอรหันตขีณาสพ เมื่อตายไปแล้ว ย่อมเป็นอะไร ท่านถูกถามอย่างนั้น จะพึงกล่าวแก้ ว่าอย่างไร?
.
พระยมกะ เข้าใจว่า สิ่งที่เรียกว่า " พระอรหันต์" เป็นสภาวะที่มีอยู่จริง เป็นตัวตน
จึงคิดว่า พระอรหันต์ตายแล้วสูญหายไป
" ก็โดยสมัยนั้นแล ยมกภิกษุเกิดทิฏฐิอันชั่วช้าเห็นปานนี้ว่า
เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรม ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วว่า
พระขีณาสพเมื่อตายไปแล้ว
ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดอีก. "
(ความจริงพระอรหันต์ เป็นคำเรียก ขันธ์แต่ละชุด ที่จิต(ในชุดขันธ์นั้น) บรรลุธรรม 4 ขั้น ถึงขั้น อรหัตตผล
แบบคำพูดที่ขาวโลกเข้าใจแบบสมมติว่าเป็น บคคล (เช่น พระอรหันต์ คน เทวดา พรหม สัตว์ ...)
+++++++
(ขันธ์5 คือ สิ่งที่มีสภาวะ มีจริง 5 ประเภท ที่ประกอบเป็นร่างกายและจิตใจ
(สมมติเรียกให้ชาวโลกเข้าใจแบบเป็นบุคคล เข่น คน เทวดา พรหม สัตว์ สัตว์เดรัจฉาน...)
คือ 1. รูป(เข้าใจง่ายเบื้องต้นว่า คือร่างกาย)
2. เวทนา (ความรู้สึกทุกข์ สุข เฉยๆ จะเกิดกับจิต ให้จิตรับรู้)
3. สัญญา(ความจำ จะเกิดกับจิต ให้จิตรับรู้)
4. สังขาร(ความคิด กลางๆ ดี ไม่ดี(เช่นความกำหนัด) จะเกิดกับจิต ให้จิตรับรู้)
5. วิญญาณ (คือจิต ที่ออกมารู้สัมผัส เรียกวิญญาณทางนั้น ที่วิญญาณทางตา ทางหู ...
จิต ที่ไม่ได้ออกมารับรู้ เรียกว่า ภวังคจิต(เวลาหลับสนิท)
จิต ที่เข้าฌานติดเนื่องกันไป เรียก ฌานจิต
,จิต ที่เกิดใหม่ครั้งแรกในภูมิภพใหม่เรียก ปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิวิญญาณ,
จิต ที่ดับครั้งสุดท้ายในภพเก่า ถ้ายังมีกิเลสอบู(และมีจิตใหม่เกิดอีก)เรียกว่า จุติจิต(จิตดับ) )
จิต เป็นที่เกิดของ เวทนา สัญญา สังขาร และรับรู้เวทนา สัญญา สังขาร นั้นๆ
+++++++++
ความจริง เป็นขันธ์ แต่ละชุด ที่ไม่คงที่ ไม่ใช่ใครมาตั้งแต่ต้น
เมื่อดับครั้งสุดท้ายในภพเก่า(จิตเกิดดับตลอดเวลา) ก็ดับไป
ถ้าจิตนั้นไม่มีตัณหาแล้ว(จิตที่บรรลุอรหัตตผล) ก็ไม่มีเหตุปัจจัยให้มีจิตใหม่หรือขันธ์ชุดใหม่เกิดในภพใหม่
ไม่มีสภาวะที่เป็นตัวตน หรือสภาวะของคำว่า" อรหันต์" ที่แท้จริง มีเพียงขันธ์ที่เกิดและดับ
คำว่า พระอรหันต์ตาย เป็นภาษาแบบชาวโลกให้เข้าใจ ว่า ขันธ์ชุดใด ดับไป(และไม่มีขันธ์ใหม่เกิดอีก)
ความจริงแท้ จึงไม่ใช่คำแบบชาวโลกเข้าใจแบบเป็นบุคคล ว่า พระอรหันต์ ตาย และ จึงไม่ใช่ พระอรหันต์ตายแล้วสูญ (เพราะไม่มีใคร แบบเป็นบุคคลมาตั้งแต่ต้นแล้ว)
(หรือ ไม่ใช่พระอรหันต์ตายแล้วเกิด หรือ ไม่ใช่คำอื่นที่พูดแบบบุคคล ว่าเกิดอีก ไม่เกิดอีก )
ต้องกล่าวว่า ขันธ์5 ไม่เที่ยง(ไม่คงทน ไม่คงที่) ดับไปแล้ว
สิ่งนั้นดับไปแล้ว
ถึงแล้วซึ่งการตั้งอยู่ไม่ได้
เมื่อท่านพระสารีบุตร เทศนาให้ฟัง
(เนื้อหา อรรถะ พระธรรม ความเดียวกับพระธรรมเทศนา ที่พระศาสดาทรงตรัสเทศนาไว้ ในพระธรรมบทอื่น
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=17&A=2586&Z=2679
๔. อนุราธสูตร
ว่าด้วยสัตว์บุคคลไม่มีในขันธ์ ๕
)
ให้เห็น และเข้าใจ ว่า คำว่า
พระอรหันต์
(หรือ คน เทวดา สัตว์ใดๆ)
ความจริงแท้ คือ ชุดของขันธ์5. ที่ไม่คงที่ ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บคคล มาตั้งแต่ต้น
ท่านพระยมกะ ได้ฟัง จิตรับรู้ เข้าใจ จิตตัดกิเลส(มัคคสมังคีในจิต ตัดกิเลสแต่ละขั้น 4 ขั้น)
บรรลุธรรม 4 ขั้น ถึง อรหัตตผล
(เรียกแบบสมมตเป็นบคคลให้ขาวโลกเข้าใจ ว่า พระอรหันต์)
-------
**********
๓. ยมกสูตร
ว่าด้วยพระขีณาสพตายแล้วสูญหรือไม่
[๑๙๘] สมัยหนึ่ง ท่านพระสารีบุตร อยู่ที่พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถ-
*บิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี.
ก็โดยสมัยนั้นแล ยมกภิกษุเกิดทิฏฐิอันชั่วช้าเห็นปานนี้ว่า
เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรม ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วว่า
พระขีณาสพเมื่อตายไปแล้ว
ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดอีก.
ภิกษุหลายรูป ได้ฟังแล้วว่า ได้ยินว่า ยมกภิกษุเกิด
ทิฏฐิอันชั่วช้าเป็นปานนี้
ว่า เรารู้ทั่วถึงธรรม ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วว่า พระขีณาสพ
เมื่อตายไปแล้ว ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดอีก. ครั้งนั้น ภิกษุเหล่านั้น
จึงพากัน
เข้าไปหาท่านยมกภิกษุถึงที่อยู่ ได้สนทนาปราศรัยกับท่านยมกภิกษุ
ครั้นผ่านการสนทนาปราศรัย
ชวนให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. ครั้นแล้ว
จึงถามท่านยมกภิกษุว่า
ดูกรท่านยมกะ
ทราบว่า ท่านเกิดทิฏฐิอันชั่วช้า เห็นปานนี้ว่า เรารู้ว่าทั่วถึงธรรม ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วว่า
พระขีณาสพเมื่อตายไปแล้ว ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดอีก
จริงหรือ?
ท่านยมกะกล่าวว่า อย่างนั้น อาวุโส.
ภิ. ดูกรอาวุโสยมกะ ท่านอย่าได้พูดอย่างนั้น
อย่าได้กล่าวตู่พระผู้มีพระภาค
การกล่าวตู่พระผู้มีพระภาคไม่ดีเลย
เพราะพระผู้มีพระภาคไม่พึงตรัสอย่างนี้ว่า
พระขีณาสพเมื่อ
ตายไปแล้ว ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดอีก.
ท่านยมกะ เมื่อถูกภิกษุเหล่านั้นกล่าวแม้อย่างนี้ [u}ยังขืน[/u}กล่าวถือทิฏฐิอันชั่วช้านั้น อย่าง
หนักแน่นอย่างนั้นว่า
เรารู้ทั่วถึงธรรม ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วว่า พระขีณาสพเมื่อ
ตายไปแล้ว ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดอีก.
ภิกษุเหล่านั้น ย่อมไม่อาจเพื่อจะยังท่านยมกะ ให้ถอนทิฏฐิอันชั่วช้านั้นได้
จึงลุกจาก
อาสนะ เข้าไปหาท่านพระสารีบุตรจนถึงที่อยู่ ครั้นแล้ว จึงกล่าวกะท่านพระสารีบุตรว่า
ข้าแต่
ท่านสารีบุตร ยมกภิกษุเกิดทิฏฐิอันชั่วช้าเห็นปานนี้ว่า เรารู้ทั่วถึงธรรม ตามที่พระผู้มีพระภาค
ทรงแสดงแล้วว่า พระขีณาสพเมื่อตายไปแล้ว ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดอีก ขอ
โอกาสนิมนต์ท่านพระสารีบุตรไปหายมกภิกษุถึงที่อยู่ เพื่ออนุเคราะห์เถิด. ท่านพระสารีบุตรรับ
นิมนต์โดยดุษณีภาพ.
....
ย. ข้าแต่ท่านพระสารีบุตร เมื่อก่อนผมไม่รู้อย่างนี้ จึงได้เกิดทิฏฐิอันชั่วช้าอย่างนั้น แต่
เดี๋ยวนี้ ผมละทิฏฐิอันชั่วช้านั้นได้แล้ว และผมก็ได้บรรลุธรรมแล้วเพราะฟังธรรมเทศนานี้ ของ
ท่านพระสารีบุตร.
[๒๐๔] สา. ดูกรท่านยมกะ ถ้าชนทั้งหลาย พึงถามท่านอย่างนี้ว่า
ท่านยมกะ ภิกษุ
ผู้ที่เป็นพระอรหันตขีณาสพ เมื่อตายไปแล้ว ย่อมเป็นอะไร
ท่านถูกถามอย่างนั้น จะพึงกล่าวแก้
ว่าอย่างไร?
ย. ข้าแต่ท่านสารีบุตร ถ้าเขาถามอย่างนั้น ผมพึงกล่าวแก้อย่างนี้ว่า
รูปแลไม่เที่ยง
สิ่งใดไม่เที่ยง
สิ่งนั้นเป็นทุกข์
สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นดับไปแล้ว
ถึงแล้วซึ่งการตั้งอยู่ไม่ได้
เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณไม่เที่ยง
สิ่งใดไม่เที่ยง
สิ่งนั้นเป็นทุกข์
สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นดับไป
แล้ว ถึงแล้วซึ่งการตั้งอยู่ไม่ได้
ข้าแต่ท่านสารีบุตร ผมถูกเขาถามอย่างนั้น พึงกล่าวแก้อย่างนี้.
[๒๐๕] สา. ดีละๆ ยมกะ ถ้าอย่างนั้น เราจักอุปมาให้ท่านฟัง เพื่อหยั่งรู้ความข้อ
นั้นให้ยิ่งๆ ขึ้น.
ดูกรท่านยมกะ เปรียบเหมือนคฤหบดี หรือบุตรของคฤหบดีผู้มั่งคั่ง ...
**********
https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_line.php?B=17&A=2447
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๗ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๙
สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค
๓. ยมกสูตร
ว่าด้วยพระขีณาสพตายแล้วสูญหรือไม่
**********
.