ค่ำคืน
ในป่าช้าหลังวัดร้าง
"เฮ้ย ที่นี่มันจะดีเหรอ"
"จะหลอกคน มันก็ต้องหลอกในป่าช้าสิ"
"แล้วผีในป่าช้านี่จะไม่ออกมาเล่นงานข้าก่อนหรือ"
"ไม่มีหรอก โดนกวาดไปหมดแล้ว" ป๊อกพูด เหมือนนึกขึ้นได้ "เออ เอ็งเพิ่งอยู่ใหม่ ยังไม่รู้เรื่องป่าช้าหลังวัดร้างนี่ใช่ไหม"
"เรื่องเป็นไงวะ" ทินถามอย่างอยากรู้
"เมื่อก่อนมีโรคห่-อะไรไม่รู้ระบาด ผู้หญิงท้องตายกันเพียบ ก็เลยเอามาฝังไว้ที่นี่ ที่นี้ก็กลายเป็นสวรรค์ของหมอผีน่ะสิ แห่มาขุดผีตายทั้งกลม ลนน้ำมันพรายกันสนุกสนาน จนกระทั่งไปปลุกผีเฮี้ยนเข้า ไล่หักคอหมอผี ตามเข้าไปถึงในวัด ไปเข้าสิงพระ แล้วไล่กินเณรในวัด ตั้งแต่นั้น วัดก็เลยกลายเป็นวัดร้าง พระ เจ้า อยู่ไม่ได้ ต้องเรียกหมอผีสิบกว่าคนมาช่วยกันปราบ กว่าจะเอาอยู่ เพราะอีผีเฮี้ยนนั่นมันก็มีพวกพ้องทั้งป่าช้า ไอ้พวกหมอผีก็เลยต้องกวาดไปพร้อมกันจนเกลี้ยงป่าช้า หลังจากนั้นก็ไม่มีใครกล้าฝังศพตรงนี้อีก ว่ากันว่าที่ตรงนี้มันแรง ศพฝังแล้วผีมันจะเฮี้ยน"
"มันจะมีคนมาแถวนี้แน่เหรอ" ทินยังไม่แน่ใจ
"เออ เอ็งรออยู่หลังต้นขนุนนี่นะ พอมีคนมาก็หลอกเลย"
"คนมันจะกลัวข้าเหรอ"
"ไม่กลัวหรอกมั้ง ถ้าเอ็งเปิดหน้าแบบนี้ ใส่หน้ากากนี่ไว้สิ"
ป๊อกเอาหน้ากาก รัดหนังสติ๊กแปะหน้าทิน
"เอาผ้าคลุมตัวไว้แบบนี้ บวกกับหน้ากากนี่ รับรอง ใครเห็นต้องกลัวจนฉี่ราดแน่ เอาเว้ย เอ็งดักหลอกคนตรงนี้นะ ข้าจะไปหาเหยื่อของข้าตรงอื่น "
ป๊อกยกนิ้วโป้งให้ทิน แล้วไปอีกทาง
แค่เดี๋ยวเดียว ทินก็รู้สึกได้ ว่ามีใครบางคนกำลังมาทางนี้จริงๆ
ทินรอจังหวะ โผล่ออกไปจากหลังต้นขนุน
"
แแฮฮฮรรร่ ... ..แอ๋"
เป็นทินที่ตกใจ เมื่อหลอกใส่ความว่างเปล่า แต่พอมองลงไปเบื้องล่าง ก็เห็นชายสูงอายุกำลังนั่งอยู่ที่โคนต้นขนุน เงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างแปลกใจ
"อ้าว ลุง ไม่กลัวผีเลยเหรอ"
"คงกลัวหรอก ถ้าเอ็งใส่หน้ากากอุลตร้าแมนอย่างนั้นน่ะ"
ทินถอดหน้ากากออกมาดู เป็นอุลตร้าแมนจริงๆ
"หนอย ไอ้ป๊อก" ทินเหวี่ยงหน้ากากทิ้งอย่างอารมณ์เสีย "ลุงมาทำอะไรมืดๆ คนเดียวอย่างนี้ล่ะ"
"ข้าก็มากินข้าวหลามของข้าที่นี่ทุกคืนแหละ"
ว่าแล้ว ลุงแกก็หยิบกระบอกข้าวหลามรุ่นดัดแปลงออกมาจุดไฟให้อุ่น จะได้กินอร่อยๆ
"ลุง มากินข้าวหลามในป่าช้า ไม่กลัวผีเหรอ"
"กลัวทำไม ข้าก็เคยเป็นสัปเหร่อมาก่อน อีกอย่าง ที่นี่ก็ไม่ใช่ป่าช้าด้วย"
"อ้าว ที่นี่ไม่ใช่ป่าช้าหลังวัดร้างเหรอ"
"ก็แค่ชาวบ้านเรียกกัน แต่ความจริงไม่ใช่หรอก"
"ทำไมเขาเรียกกันอย่างนั้นล่ะครับ" ทินนั่งยองๆลง จะได้คุยถนัด
หลังจากอุ่นข้าวหลามร้อนได้ที่ ลุงแกก็สูดกลิ่นข้าวหลาม ยิ้มด้วยความหอมชื่นใจ ก่อนจะพูดว่า
"ตอนจะถางป่า ขยายพื้นที่วัด ดันเจอศพฝังอยู่เรียงเป็นแถว เลยนึกกันไปเองว่าที่นี่เคยเป็นป่าช้าเก่า"
"แล้วไม่ใช่เหรอ"
"ก็ไม่ใช่น่ะสิ ศพที่เจอน่ะ ความจริงเป็นพวกโจรที่แอบมาขุดรูอยู่หลบตำรวจเมื่อหลายสิบปีก่อน แล้วปีนั้นน้ำป่ามันไหลทะลักมา ซัดจนดินถล่ม หลุมที่ใช้หลบก็เลยกลายเป็นหลุมศพพวกมัน ถ้าไม่ใช่เพราะมีการล้างป่าช้า ขุดศพขึ้นมาทำพิธีเผาให้ คงไม่เจอปืนกับเงิน ทำให้รู้ความจริงหรอก"
"อ้าว แล้วทำไมยังเรียกป่าช้าอยู่ละครับ"
"ก็มันเรียกจนติดปากไปแล้ว ขี้เกียจเปลี่ยนชื่อกันมั้ง"
"แล้วเรื่องผีที่อาละวาดเข้าสิงพระไล่กินเณร จนพระหนีกระเจิง ทำให้วัดร้างล่ะครับ"
"เอ็งเคยได้ยินเรื่องพระกินเณรแล้วสินะ"
"ใช่ครับ นั่นก็ลือกันไปเองใช่ไหมครับ ผีที่ไหนจะสิงพระไปกินเณร"
"พระกินเณรน่ะจริง" ลุงแกสูดควันข้าวหลาม หัวเราะอย่างขบขัน ก่อนจะเล่า
"แต่ไม่ได้โดนผีสิง เรื่องของเรื่องน่ะ เณรป๊อกแปด พระป๊อกเก้า เป็นอย่างนี้สามตารวด พระกินเณรหมดตัว"
"เฮ้ย"
ลุงแกเล่าต่อ
"เณรมันไปฟ้องพ่อ หาว่าพระเล่นโกง พ่อของเณรไปเอาเรื่องพระ เรื่องเลยแดง ว่าเล่นไพ่กันในวัด ชาวบ้านก็แจ้งตำรวจ ตำรวจก็ไปจับ พาไปหาเจ้าอาวาสให้จับสึก ก็เจอเจ้าอาวาสกำลังคร่อมสีกา ไปตามรองเจ้าอาวาส บุกเข้าไปในกุฏิ ก็เจอรองเจ้าอาวาสกอดขวดเหล้าหลับไม่รู้เรื่อง ทีนี้ก็เลยโดนจับสึกกันหมดวัด หลังจากนั้น ก็ไม่มีพระมาบวชหรือจำวัดที่นี่อีกเลย วัดนี้ก็กลายเป็นวัดร้างแบบนี้แหละ"
"อ้าว อย่างนี้ก็ไม่มีเรื่องผีเลยสิครับ"
"ก็ไม่มีน่ะสิ"
"ป่าช้าหลังวัดร้างมันก็ไม่มีจริงใช่ไหมครับ"
"มีสิ มี"
"อยู่ที่ไหนครับ"
"อยู่ที่ใจไงล่ะ ถ้าเอ็งคิดว่ามี มันก็มี ถ้าเอ็งคิดว่าเป็น มันก็เป็น เหมือนอย่างชาวบ้านแถวนี้ไง เรียกที่นี่ว่า ป่าช้าหลังวัดร้าง ที่นี่ก็เป็นป่าช้าหลังวัดร้าง
ถ้าเอ็งเรียกตัวเองว่าเป็นคนดี พูดบ่อยๆเข้า เอ็งก็กลายเป็นคนดีเอง อย่างน้อยเอ็งก็จะเชื่ออย่างนั้น"
"แค่เรียกชื่อมันอย่างนั้น มันก็จะเป็นอย่างนั้นได้ไงครับ"
"ได้สิ ถ้าเอ็งเป็น สXX สXXไม่ต้องสนความจริง คิดเอาเองก็พอ"
"แล้วอย่างนี้ประเทศชาติจะรอดได้ยังไง"
"เฮ้ย แต่ข้าชอบสXXนะ" ลุงแกขัด สูดควันอีกปื้ด "หลังจากดูดไอ้นี่เข้าไป ของหวานๆอะไร ข้าชอบหมดแหละ" ว่าแล้วก็หัวเราะคิกๆ
"ขอบคุณมากนะลุง ได้คุยกับลุงทำให้ผมรู้อะไรเพิ่มขึ้นมากเลย"
"เออๆ ข้าก็ไม่ค่อยได้คุยกับใครมาตั้งนานเหมือนกัน"
"ผมขออะไรลุงอีกสักอย่างได้ไหม"
"อะไรล่ะ"
ทินลุกขึ้น ใบหน้าเปลี่ยนสีเป็นขาวซีดอมเขียว ถอดผ้าคลุมออก ร่างที่เน่าเปื่อยก็ปรากฏมาให้เห็น
"อย่างที่เห็นนี่แหละลุง ช่วยทำบุญให้ผมด้วยได้ไหม"
"นี่เอ็งเพิ่งมาอยู่ใหม่สินะ ถึงไม่รู้จักข้า" ลุงแก จากหัวเราะคิกๆ กลายเป็นหัวเราะก๊ากๆ
"ตอนที่ข้าแอบกินข้าวหลาม มีตำรวจจะมาจับ ข้าเลยปีนหนีขึ้นไปบนต้นขนุนนี่ แล้วตกลงมาตาย เพราะงั้น เรื่องนี้ข้าคงช่วยเอ็งไม่ได้หรอกว่ะ"
ลุงแกยังคงหัวเราะก๊าก ขณะที่ค่อยๆเลือนหายไป เหลือเพียงเสียงหัวเราะที่แผ่วจางไปกับสายควัน
"ฮึ่ม กู ทำไมโง่อย่างนี้วะ ก็ว่าอยู่ ชื่อก็บอก ป่าช้าหลังวัดร้าง มันจะมีคนมาเดินผ่านตอนกลางคืนได้ยังไง มันก็เหลือเกิน รับน้องใหม่กันอย่างนี้เชียว
หลอกซ้ำหลอกซ้อนเลยนะ สมเป็นผีที่อยู่มานานจริงๆ"
ทินลอยไปหาป๊อกที่กำลังหัวเราะอยู่ในที่ห่างไกล
สรรพสิ่งกลับคืนสู่ความเงียบสงบ
ในป่าช้าหลังวัดร้าง
ที่โคนต้นขนุน มีแค่บ้องไม้ไผ่ผุพังที่วางพิงหนุนรากของมันเพียงลำพังอย่างเดียวดาย
............................................................................................................................................................................./...
ป่าช้าหลังวัดร้าง
ในป่าช้าหลังวัดร้าง
"เฮ้ย ที่นี่มันจะดีเหรอ"
"จะหลอกคน มันก็ต้องหลอกในป่าช้าสิ"
"แล้วผีในป่าช้านี่จะไม่ออกมาเล่นงานข้าก่อนหรือ"
"ไม่มีหรอก โดนกวาดไปหมดแล้ว" ป๊อกพูด เหมือนนึกขึ้นได้ "เออ เอ็งเพิ่งอยู่ใหม่ ยังไม่รู้เรื่องป่าช้าหลังวัดร้างนี่ใช่ไหม"
"เรื่องเป็นไงวะ" ทินถามอย่างอยากรู้
"เมื่อก่อนมีโรคห่-อะไรไม่รู้ระบาด ผู้หญิงท้องตายกันเพียบ ก็เลยเอามาฝังไว้ที่นี่ ที่นี้ก็กลายเป็นสวรรค์ของหมอผีน่ะสิ แห่มาขุดผีตายทั้งกลม ลนน้ำมันพรายกันสนุกสนาน จนกระทั่งไปปลุกผีเฮี้ยนเข้า ไล่หักคอหมอผี ตามเข้าไปถึงในวัด ไปเข้าสิงพระ แล้วไล่กินเณรในวัด ตั้งแต่นั้น วัดก็เลยกลายเป็นวัดร้าง พระ เจ้า อยู่ไม่ได้ ต้องเรียกหมอผีสิบกว่าคนมาช่วยกันปราบ กว่าจะเอาอยู่ เพราะอีผีเฮี้ยนนั่นมันก็มีพวกพ้องทั้งป่าช้า ไอ้พวกหมอผีก็เลยต้องกวาดไปพร้อมกันจนเกลี้ยงป่าช้า หลังจากนั้นก็ไม่มีใครกล้าฝังศพตรงนี้อีก ว่ากันว่าที่ตรงนี้มันแรง ศพฝังแล้วผีมันจะเฮี้ยน"
"มันจะมีคนมาแถวนี้แน่เหรอ" ทินยังไม่แน่ใจ
"เออ เอ็งรออยู่หลังต้นขนุนนี่นะ พอมีคนมาก็หลอกเลย"
"คนมันจะกลัวข้าเหรอ"
"ไม่กลัวหรอกมั้ง ถ้าเอ็งเปิดหน้าแบบนี้ ใส่หน้ากากนี่ไว้สิ"
ป๊อกเอาหน้ากาก รัดหนังสติ๊กแปะหน้าทิน
"เอาผ้าคลุมตัวไว้แบบนี้ บวกกับหน้ากากนี่ รับรอง ใครเห็นต้องกลัวจนฉี่ราดแน่ เอาเว้ย เอ็งดักหลอกคนตรงนี้นะ ข้าจะไปหาเหยื่อของข้าตรงอื่น "
ป๊อกยกนิ้วโป้งให้ทิน แล้วไปอีกทาง
แค่เดี๋ยวเดียว ทินก็รู้สึกได้ ว่ามีใครบางคนกำลังมาทางนี้จริงๆ
ทินรอจังหวะ โผล่ออกไปจากหลังต้นขนุน
"แแฮฮฮรรร่ ... ..แอ๋"
เป็นทินที่ตกใจ เมื่อหลอกใส่ความว่างเปล่า แต่พอมองลงไปเบื้องล่าง ก็เห็นชายสูงอายุกำลังนั่งอยู่ที่โคนต้นขนุน เงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างแปลกใจ
"อ้าว ลุง ไม่กลัวผีเลยเหรอ"
"คงกลัวหรอก ถ้าเอ็งใส่หน้ากากอุลตร้าแมนอย่างนั้นน่ะ"
ทินถอดหน้ากากออกมาดู เป็นอุลตร้าแมนจริงๆ
"หนอย ไอ้ป๊อก" ทินเหวี่ยงหน้ากากทิ้งอย่างอารมณ์เสีย "ลุงมาทำอะไรมืดๆ คนเดียวอย่างนี้ล่ะ"
"ข้าก็มากินข้าวหลามของข้าที่นี่ทุกคืนแหละ"
ว่าแล้ว ลุงแกก็หยิบกระบอกข้าวหลามรุ่นดัดแปลงออกมาจุดไฟให้อุ่น จะได้กินอร่อยๆ
"ลุง มากินข้าวหลามในป่าช้า ไม่กลัวผีเหรอ"
"กลัวทำไม ข้าก็เคยเป็นสัปเหร่อมาก่อน อีกอย่าง ที่นี่ก็ไม่ใช่ป่าช้าด้วย"
"อ้าว ที่นี่ไม่ใช่ป่าช้าหลังวัดร้างเหรอ"
"ก็แค่ชาวบ้านเรียกกัน แต่ความจริงไม่ใช่หรอก"
"ทำไมเขาเรียกกันอย่างนั้นล่ะครับ" ทินนั่งยองๆลง จะได้คุยถนัด
หลังจากอุ่นข้าวหลามร้อนได้ที่ ลุงแกก็สูดกลิ่นข้าวหลาม ยิ้มด้วยความหอมชื่นใจ ก่อนจะพูดว่า
"ตอนจะถางป่า ขยายพื้นที่วัด ดันเจอศพฝังอยู่เรียงเป็นแถว เลยนึกกันไปเองว่าที่นี่เคยเป็นป่าช้าเก่า"
"แล้วไม่ใช่เหรอ"
"ก็ไม่ใช่น่ะสิ ศพที่เจอน่ะ ความจริงเป็นพวกโจรที่แอบมาขุดรูอยู่หลบตำรวจเมื่อหลายสิบปีก่อน แล้วปีนั้นน้ำป่ามันไหลทะลักมา ซัดจนดินถล่ม หลุมที่ใช้หลบก็เลยกลายเป็นหลุมศพพวกมัน ถ้าไม่ใช่เพราะมีการล้างป่าช้า ขุดศพขึ้นมาทำพิธีเผาให้ คงไม่เจอปืนกับเงิน ทำให้รู้ความจริงหรอก"
"อ้าว แล้วทำไมยังเรียกป่าช้าอยู่ละครับ"
"ก็มันเรียกจนติดปากไปแล้ว ขี้เกียจเปลี่ยนชื่อกันมั้ง"
"แล้วเรื่องผีที่อาละวาดเข้าสิงพระไล่กินเณร จนพระหนีกระเจิง ทำให้วัดร้างล่ะครับ"
"เอ็งเคยได้ยินเรื่องพระกินเณรแล้วสินะ"
"ใช่ครับ นั่นก็ลือกันไปเองใช่ไหมครับ ผีที่ไหนจะสิงพระไปกินเณร"
"พระกินเณรน่ะจริง" ลุงแกสูดควันข้าวหลาม หัวเราะอย่างขบขัน ก่อนจะเล่า
"แต่ไม่ได้โดนผีสิง เรื่องของเรื่องน่ะ เณรป๊อกแปด พระป๊อกเก้า เป็นอย่างนี้สามตารวด พระกินเณรหมดตัว"
"เฮ้ย"
ลุงแกเล่าต่อ
"เณรมันไปฟ้องพ่อ หาว่าพระเล่นโกง พ่อของเณรไปเอาเรื่องพระ เรื่องเลยแดง ว่าเล่นไพ่กันในวัด ชาวบ้านก็แจ้งตำรวจ ตำรวจก็ไปจับ พาไปหาเจ้าอาวาสให้จับสึก ก็เจอเจ้าอาวาสกำลังคร่อมสีกา ไปตามรองเจ้าอาวาส บุกเข้าไปในกุฏิ ก็เจอรองเจ้าอาวาสกอดขวดเหล้าหลับไม่รู้เรื่อง ทีนี้ก็เลยโดนจับสึกกันหมดวัด หลังจากนั้น ก็ไม่มีพระมาบวชหรือจำวัดที่นี่อีกเลย วัดนี้ก็กลายเป็นวัดร้างแบบนี้แหละ"
"อ้าว อย่างนี้ก็ไม่มีเรื่องผีเลยสิครับ"
"ก็ไม่มีน่ะสิ"
"ป่าช้าหลังวัดร้างมันก็ไม่มีจริงใช่ไหมครับ"
"มีสิ มี"
"อยู่ที่ไหนครับ"
"อยู่ที่ใจไงล่ะ ถ้าเอ็งคิดว่ามี มันก็มี ถ้าเอ็งคิดว่าเป็น มันก็เป็น เหมือนอย่างชาวบ้านแถวนี้ไง เรียกที่นี่ว่า ป่าช้าหลังวัดร้าง ที่นี่ก็เป็นป่าช้าหลังวัดร้าง
ถ้าเอ็งเรียกตัวเองว่าเป็นคนดี พูดบ่อยๆเข้า เอ็งก็กลายเป็นคนดีเอง อย่างน้อยเอ็งก็จะเชื่ออย่างนั้น"
"แค่เรียกชื่อมันอย่างนั้น มันก็จะเป็นอย่างนั้นได้ไงครับ"
"ได้สิ ถ้าเอ็งเป็น สXX สXXไม่ต้องสนความจริง คิดเอาเองก็พอ"
"แล้วอย่างนี้ประเทศชาติจะรอดได้ยังไง"
"เฮ้ย แต่ข้าชอบสXXนะ" ลุงแกขัด สูดควันอีกปื้ด "หลังจากดูดไอ้นี่เข้าไป ของหวานๆอะไร ข้าชอบหมดแหละ" ว่าแล้วก็หัวเราะคิกๆ
"ขอบคุณมากนะลุง ได้คุยกับลุงทำให้ผมรู้อะไรเพิ่มขึ้นมากเลย"
"เออๆ ข้าก็ไม่ค่อยได้คุยกับใครมาตั้งนานเหมือนกัน"
"ผมขออะไรลุงอีกสักอย่างได้ไหม"
"อะไรล่ะ"
ทินลุกขึ้น ใบหน้าเปลี่ยนสีเป็นขาวซีดอมเขียว ถอดผ้าคลุมออก ร่างที่เน่าเปื่อยก็ปรากฏมาให้เห็น
"อย่างที่เห็นนี่แหละลุง ช่วยทำบุญให้ผมด้วยได้ไหม"
"นี่เอ็งเพิ่งมาอยู่ใหม่สินะ ถึงไม่รู้จักข้า" ลุงแก จากหัวเราะคิกๆ กลายเป็นหัวเราะก๊ากๆ
"ตอนที่ข้าแอบกินข้าวหลาม มีตำรวจจะมาจับ ข้าเลยปีนหนีขึ้นไปบนต้นขนุนนี่ แล้วตกลงมาตาย เพราะงั้น เรื่องนี้ข้าคงช่วยเอ็งไม่ได้หรอกว่ะ"
ลุงแกยังคงหัวเราะก๊าก ขณะที่ค่อยๆเลือนหายไป เหลือเพียงเสียงหัวเราะที่แผ่วจางไปกับสายควัน
"ฮึ่ม กู ทำไมโง่อย่างนี้วะ ก็ว่าอยู่ ชื่อก็บอก ป่าช้าหลังวัดร้าง มันจะมีคนมาเดินผ่านตอนกลางคืนได้ยังไง มันก็เหลือเกิน รับน้องใหม่กันอย่างนี้เชียว
หลอกซ้ำหลอกซ้อนเลยนะ สมเป็นผีที่อยู่มานานจริงๆ"
ทินลอยไปหาป๊อกที่กำลังหัวเราะอยู่ในที่ห่างไกล
สรรพสิ่งกลับคืนสู่ความเงียบสงบ
ในป่าช้าหลังวัดร้าง
ที่โคนต้นขนุน มีแค่บ้องไม้ไผ่ผุพังที่วางพิงหนุนรากของมันเพียงลำพังอย่างเดียวดาย
............................................................................................................................................................................./...