เมื่อวันที่ 15/9/64 ที่ผ่านมา อยู่ๆก็มีคำสั่งฟ้าผ่าลงมาว่าให้ออกจากงาน หรือภาษาบ้านๆคือไล่ออก อันผลมาจากการกระทำของหัวหน้าที่กระทำการบางอย่างที่ทำให้อยู่ในจุดที่มองว่าทุจริต ซึ่งเราทำงานให้เขาก็เลยถูกมองไปแบบนั้นด้วย เราก็ไม่อยากจะโทษหัวหน้าหรอก มันเหมือนออกแนวการกระทำอันประมาทเลินเล่อนำไปสู่ความเสียหายขององค์กรอย่างมาก ซึ่งอาจจะมีส่วนที่จริงบ้างส่วนหนึ่ง แต่เราเชื่อว่ามันไม่ใช่สาเหตุทั้งหมด แต่ทำไงได้ ในเมื่อรับคำสั่งมาก็ต้องทำ และผลคือถูกเรียกสอบ 2 หน แต่หนที่สองครั้งนี้ดูไม่เหมือนครั้งก่อน คณะกรรมการดูนิ่งมากเหมือนมีคำตอบในใจแล้ว ไม่ถามอะไรให้มากความแต่ยื่นให้ข้อเสนอมาสองอย่าง จะดำเนินการทางคดี หรือจบกันเองด้วยการเซ็นต์ยินยอมลาออกเอง ขึ่งใครอยากให้โดนคดีละก็ต้องยินยอมลาออกอยู่แล้ว ทั้งๆที่ก็กำลังงงๆอยู่นิดหน่อยว่ามันร้ายเเรงถึงขนาดนี้เลยหรือ ที่คิดๆไว้ก่อนหน้านี้คงโดนภาคทัณฑ์ หรือตัดเงิน หรือใบเตือน แต่กลับกลายเป็นว่าถูกไล่ออก แบบบังคับให้เซ็นต์อ่ะแหละ โดนกันสี่คนแบบไม่ทันตั้งตัว และถูกตราหน้าว่าทุจริตไปด้วย ทำงานมาได้ 5 ปี 11 เดือน อีกสองเดือน ก็จะปีที่6ละ มันก็เป็นงานที่ทำอยู่นานมากที่สุดในชีวิต ด้วยอายุ33 ปี ไม่คิดไม่ฝันว่าจะโดนออกด้วยสาเหตุนี้ทั้งๆที่ก็ซื่อสัตย์มาตลอด แต่ใจกลับนิ่งกว่าที่คาดคนอื่นร้องไห้ น้ำตาซึมเรากลับเฉยๆ ก็มันเป็นไปแล้วให้ทำไงอ่ะ ยังไงก็เปลี่ยนแปลงผลไม่ได้ ก็หางานใหม่ หาไม่ได้ก็คงไปลงทุนไรสักอย่าง แต่ยังนึกไม่ออกจริงๆว่าอยากจะทำอะไร อารมณ์แบบว่าอีกไม่กี่ปีตูก็ตายละ ไม่ค่อยอยากพยายามอะไรเหมือนสมัยหนุ่มๆ ก็ไม่รู้แปลกรึเปล่า เศร้าก็ไม่ได้เศร้าขนาดนั้น แต่แค่รู้สึกไม่ดีเวลาไปเฉียดคนที่ทำงานเก่าเขาก็จะมองด้วยสีหน้าแปลกๆ เหมือนยิ้มเยาะไงชอบกล แล้วเขาก็ให้มีผลออกทันทีอย่างไว แบบรุ่งขึ้นไม่ต้องมาแล้ว วันนี้ก็ตกงานมาได้วันนึงแล้ว แต่ผมก็ยังไปนั่งซักผ้าอยู่ แล้วก็คิดว่ามาถึงจุดนี้ได้ไง 555 แถมตกตอนโควิดอีก แต่กลับไม่อยากไปเดินสายสมัครงานเหมือนแต่ก่อน ทั้งๆที่รายจ่ายก็มีนะ แต่มันกลับรู้สึกแบบนี้ซะงั้น ยังดีมีเงินเก็บในองค์กรที่พออยู่ได้ไประยะนึงด้วยรึเปล่าเลยคิดแบบนี้เเปลกมากเลย
คิดไว้มันคงต้องมีสักวันที่ตกงานและแล้ว ก็ตกงานแล้ว แบบฟ้าแล่บ แต่ใจกลับนิ่งกว่าที่คาดใครตกงานตอนนี้บ้าง