คิดถึง 2 บทที่ 73

กระทู้สนทนา

.
        
                  ไดอารี่ความคิดถึง

                 ….‘สำพอล่ะแหมะอยากกินข้าวหนมหมก นึกอยากกินจนว่าสิให้แม่กับยายห่อส่งมาให้กิน บัดใดแท้มื้อหนิบุญข้าวประดับดิน ฮา’…

                 เธอโพสต์เอาไว้ในหน้าฟีดข่าวเฟซบุ๊ก นึกตลกตนเองจริง ๆ รู้สึกแบบนั้นจริง ๆ รู้สึกอยากทานจริง ๆ โดยที่ไม่รู้เลยว่าวันนี้เป็นวันอะไร พอเลื่อนดูฟีดข่าวเฟซบุ๊กไปเรื่อย ๆ เห็นคนแชร์ประเพณีทางภาคอีสานมากมาย ฮีตสิบสองคองสิบสี่ ‘บุญข้าวประดับดิน’ เธอถึงกับหัวเราะตนเองเสียงดังอยู่คนเดียว ณ ที่ทำงาน

                 “เธอ… เธอหัวเราะอีหยังอยู่คนเดียวคะ คุณสุนิสา ! “ อรวีทัก เพราะเห็นเธอขำอยู่คนเดียว เธอไม่รู้จะอธิบายอย่างไรให้ผู้จัดการเข้าใจกับสิ่งที่เธอเป็น มันอธิบายด้วยเหตุและผลให้เข้าใจไม่ได้ ทว่าเธอเข้าใจในสิ่งที่ตนเองเป็นอยู่ ณ ขณะนี้ ถึงอรวีจะมีเลือดคนอีสานทั้งพ่อแและแม่ ทว่าอรวีก็เกิดและโตที่นี่ แทบจะพูดอีสานไม่เป็น ยังดีที่พอพูดได้พูดคุยกับเธอได้บ้าง

                 บอสหัวเราะตาเป็นประกาย หันไปมองผู้จัดการ มันไม่มีคำอธิบายจริง ๆ แต่มันบังเอิญมาก “พี่ออข่อยหัวกวนจะของหนิล่ะ”

                 “เรื่อง !” อรวีสนใจนิดหน่อย

                 “เอ๋าพี่ออเจ้ากะเบิ่งแน อิหยังสิบังเอิญคักขนาด คึดอยากกินขนมหมก อ้อ ขนมเทียนนั่นล่ะ ว่าสิโทรให้แม่ห่อส่งมาให้กินว่าซั่น อยากอิหลิเด๊เมื่อคืนนั่น นอนคิดอยากน้อ ตื่นมายามเช้าเห็นคนแชร์บุญข้าวประดับดินเต็มเฟซบุ๊กเลยหนิ ฮา สำพอกูคิดอยากกินล่ะแมะ ฮา “ เธออธิบายพร้อมหัวเราะตลกตนเอง แม้อรวีจะไม่ค่อยเข้าใจก็ตาม ทว่าเธอเข้าใจในความเป็นไปของตนเอง ตลกตนเองจริง ๆ

                  “เนี่ยฉันเห็นเธอโพสต์แล้วกะหัว ฉันกะงง ๆ อยู่นั่งหัวพุเดียว” อรวีพูดพร้อมชูหน้าจอโทรศัพท์ของตนเองให้เธอดู เป็นโพสต์ที่เธอโพสต์เอาไว้นั่นแหละ “ข้าวประดับดินคุ้น ๆ อยู่ พี่ได้ยินแม่พี่เว้าอยู่ เราว่าเราอยากเมือบ้านเรา เมือเอาบุญว่าซั่น กลับบ่ได้โควิด ฮา ”  

                   “แมน ! เพิ่นห่อข้าวต้มไปหยายแหมะ เอาไปวางนำธาตุ นำกำแพงวัด นำโบสถ์จังสิแหมะ ยายบอสว่าต้องให้ลูกไปหยายเด๊ะ พ่อแม่ที่ล่วงลับไปแล้วจังได้กิน มันมีตำนานที่ไปที่มาแหมะพี่ออ เจ้าอยากฮู้เจ้าไปเสิร์ชหาอ่านเองโลด

                    “เอ้อ ๆ แม่พี่เรากะว่าอยากเมือหยายข้าวประดับดินนั่นล่ะ พี่กะว่าอยู่พี่ได้ยินแม่พี่เราเว้าถึงอยู่พี่กะบ่ได้สนใจแหมะ ย้อนพี่บ่จักล่ะ อีกอันนึงอีหยังว๊า มันสิหยายคือกันนี่ล่ะ” อรวีทำท่าครุ่นคิด

                   “ข้าวสากเหรอ ! ข้าวสากหยายยามกลางเวินแหมะ ข้าวประดับดินหยายยามกลางคืน “ บอสคุยกับเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ เป็นทั้งเพื่อนร่วมงาน เป็นทั้งหัวหน้างานในเวลาเดียวกัน อายุไล่เลี่ยกันห่างกันไม่กี่ปี จึงทำให้การพูดคุยเป็นไปในทางเดียวกัน และ สนุก คำพูดคำจาใช้ศัพท์เดียวกันเข้าใจได้ง่าย ผู้จัดการห่างกับเธอเพียงห้าปีเอง

                  “เว้าเรื่องข้าวสากล่ะกะอยากหัว เทือนึงถืกพ่อด่าน้อพี่ออ พ่อเพื่อนร่วมห้องเด๊ด่าทางอ้อม ฮา เราด่าลูกเราหรอกหวา เราบ่ได้ด่าข่อยหรอก ย้อนว่ามันบ่ค่อยกลับบ้านปานใด วันหยุดมันกะบ่กลับบ้านจักเทือไปหาตะพุอื่นพุ่น ช่วงข่อยเรียนมหาลัยแหมะ พี่สาวนางกะสิบ่ค่อยกลับบ้านคือกันมั้ง” เล่าไปนึกภาพวันนั้นไปแล้วก็หัวเราะไปด้วย

                  “อือ แล้วจังใดต่อ !”  อรวีตอบ

                 “บาดหนิกะเลยพากันกลับบ้านวันหยุดหนิล่ะ สี่คนเลยแฟนพี่สาวมันกะกลับนำ คือแบบ ! กลับแบบบ่ได้นัดกันเลยนะ ต่างคนต่างกลับเพราะมันเป็นวันหยุดแหมะ ไปฮอดเฮือนพ่อเห็นหน้าฮู้บ่เราว่าจังใด “ เธอหยุดหัวเราะ ยิ่งนึกยิ่งตลก “บาดสิว่าให้ลูก ! พากันมากินข้าวสากติว่าซ้านพี่ออ ! ฮา ข่อยกะบ่ปากเด๊ข่อยฮู้ความหมายเราเว้าอยู่ บักนั่นกะบ่ฮู้เรื่องหยังว่าพ่อด่าจะของ” เธอพูดกลั้วหัวเราะ อรวีก็เช่นกัน

                     “ก่อนจะให้มันเป็นเดือดเป็นร้อนน่ะ ถามก่อนว่ามันรู้จักมั้ยว่าข้าวสากคือไรอ่ะ ฮา “ อรวีพูด

                 “เอื้อยเพิ่นกะบ่จักคือกันเด้ แบบนางในเมืองมาก ใส ๆ ผู้ดีน่ะแหมะ ข้าวสากมันเป็นแบบไหนพ่ออร่อยมั้ยพะนะพี่ออ ! ฮา ข่อยเกือบสะมักน้ำลายจะของน้อ แม่เรากะบ่ปากเด๊ แม่อักหัวอยู่พุเดียวพุ่น ฮา “
                
                  “เรากะบ่ฮู้อิหลิเด้พี่ออ บ่แมนเราแกล้งถามพ่อเด๊ ขนมเทียนบ่พ่อ ขนมหมกที่พ่อเอามาจากเฮือนย่าน่ะบ่พะนะ เอาไปเอามาได้มาตอบคำถามลูกสาวจะของน้อเราส่อ ตลกเฮ้ย เฮ็ดหน้าแบบบ่ฮู้อิหลิน้อ ถามจริงจังมาก  “

                   “แต่วันนี้ข้าวประดับดินแมนบ่” อรวีถาม

                “แมน… เดือนเก้าบุญข้าวประดับดิน เดือนสิบเอ็ดพุ่นบุญข้าวสาก มันกะบังเอิญจังสิล่ะ พากันกลับบ้านโดยที่บ่ฮู้นะว่าเป็นบุญหยังน่ะ งึดหลาย ! บาดสิวามากินข้าวสากติพะนะเฮ๊ย ฮา “

                 “เป็นหยัง !” อรวีถามด้วยความสงสัย

                 “เอ๋า กะผีตั้วน้อ ! เขาหยายข้าวสากหาผีบ่มีญาติ ผีตายแฮก “ พวกเธอทั้งสองคนหัวเราะให้กัน ก่อนจะแยกย้ายไปมุมใครมุมมัน อรวีขอตัวไปคุยโทรศัพท์กับแฟนและทำงานของตนเอง ส่วนเธอก็ทำงานของตนเองเช่นกัน และ วันนี้ทำให้หวนคิดถึงวันวานที่สวยงามอีกทั้งมีความสุขอีกแล้ว

                  “สูสิกินหยังแนหนิ เอาสาคูบ่ ! หือเอาตะแป้ง” ยายถามก่อนจะเดินไปร้านค้าของป้าสุ่ม เพราะวันนี้เป็นบุญข้าวประดับดิน ทุก ๆ บ้านจะต้องทำขนมเทียนไปทำบุญที่วัด ซึ่งวัตถุดิบในการห่อมีทั้งแป้งข้าวเหนียวและสาคู ซึ่งสาคูจะมีทั้งสีขาวกับสีเขียว บอสชอบทานสาคูสีเขียวมากกว่า

                    พี่ชายสองคนไม่ค่อยมีใครสนใจเรื่องนี้นัก ยายทำอะไรมาทานได้หมด ทั้งบ้านคนที่เรื่องมากเห็นจะเป็นเธอ แม้กระทั่งไส้ขนมก็ต้องเลือก หากทำไส้ที่ไม่ชอบเธอจะไม่แตะเลย และ ขนมเทียนของยายก็จะไม่หมด เนื่องจากไม่มีคนทานนั่นเอง

                   “เอาสีขาวแหมะยาย ที่มันเป็นข้าวสีขาวน่ะ บ่แมนสาคูขาวเด้อล่ะ แป้งสีขาว ! ส่วนสาคูเอาสีเขียวนำกะได้” บอสบอกแก่ยาย สีขาวที่ว่าก็คือแป้งข้าวเหนียวนั่นแหละ ส่วนสีเขียวก็คือสาคู สาคูสีเขียวบอสรู้สึกว่ามันอร่อยกว่าสีขาวมาก ๆ “พี่แป้งกินบ่สาคูเขียว พี่ปาวกินบ่” หันไปถามพี่สาวทั้งสองคน

                  “กิน ! เอาตะสาคูเขียวกับแป้งข้าวเหนียวกะได้ยาย” พี่แป้งตอบ

                  “ยายของบอสเอาไส้ถั่วเหลืองล้วนเด้อ บ่ผสม” เธอกำชับ

                 “ยายแป้งเอาไส้ถั่วดินกับบักพร้าว” พี่แป้งก็ไม่ยอมเช่นกัน

                  “ตายล่ะบาดหนิ ! ยายคือสิเมิดเงินหลายแถะบาดหนิ สูเอาซำหนิแมนบ่หนิแป้งเฮ็ดขนม บ่เอาสีขาวแมนบ่” ยายย้ำก่อนจะเดินไปร้านค้าลูกสาวของตนเอง ป้าของเธอนั่นแหละ

                  “เอาซำนั่นล่ะ บ่เอาตะสาคูสีขาว” บอสย้ำกับยายอีกรอบ ค่ำของวันนี้พวกเธอจะห่อขนมเทียนช่วยยาย เพราะถ้าจะทำพรุ่งนี้กลัวว่าจะไม่ทัน เนื่องจากบุญข้าวประดับดินตรงกับวันจันทร์ พวกเธอต้องไปโรงเรียน ไม่มีใครทำช่วยยาย จึงจำเป็นต้องทำในวันนี้

                 และแล้วก็ถึงเวลาทำขนมเทียนสักที หลังทานข้าวมื้อเย็นกันเสร็จ ยายกับพวกเธอก็ทำการห่อขนมเทียนช่วยกัน พี่ชายสองคนนั่งดูเฉย ๆ ไม่ขอทำช่วยเพราะทำไม่เป็น ส่วนตานั่งฝนยาสมุนไพรชื่อสามสิบบีฝนใส่น้ำแล้วดื่ม บอสขอลองดื่มขมปี๋เลย ตานั่งทานกับตาป้อมอยู่ข้างนอก วันนี้ตาป้อมมาที่บ้าน

                 ก่อนจะถึงบุญข้าวประดับดินหนึ่งถึงสองวัน ยายได้เตรียมใบตองตากแดดไว้รอแล้ว เพื่อนำมาห่อขนมเทียนในวันนี้ ต้องใช้ใบตองที่เหี่ยว ๆ หน่อยจะได้ไม่แตก หากใช้ใบตองสด ๆ ใบตองจะแตกทำให้ห่อขนมไม่ได้ และ ขนมข้างในเสียหายไม่สวย เนื่องจากต้องเอาไปทำบุญตักบาตรด้วย

                  “บอสเอาถั่วเหลืองไปแช่น้ำไว้แหมะของมืงน่ะ” ยายบอกให้เธอนำถั่วเหลืองที่ซื้อมาไปซาวน้ำทำความสะอาด และ แช่ไว้ให้อ่อน พออ่อนแล้วค่อยเอาไปนึ่งอีกที “แป้งเอาไนถั่วดินไปคั่วแล้วตำให้มุน ๆ แหลก ๆ เด้อ บอมขูดบักพร้าวให้ยาย” ยายจัดแจงหน้าที่ให้แต่ละคน แล้วทุกคนก็ทำตามที่ยายสั่ง

                  “ยายให้บีมห่อซอยเด้อ” น้องบีมอยากมีส่วนร่วม

                  “บ่ ๆ อย่ามากวนหนีไปหาเบิ่งโทรทัศน์พุ่นไป” ยายไม่ยอมให้หลานสาวคนเล็กช่วยทำ

                  “บ่ ! น้องบีมสิห่อของน้องบีมนั่นเด้ยาย ฮ่วย” น้องบีมเถียง ซึ่งยังไม่ทันได้ทำ แค่เตรียมไส้ขนมเทียนเท่านั้น ไส้พร้อมถึงจะห่อได้ ขณะนี้ยายก็กำลังนวดแป้งและสาคูรอ

                    “เอ๋าห่อกะห่อสั่น หองาม ๆ เด้อเอาไปตักบาตรชาติหน้าสิได้ผู้งาม ๆ “ ยายพูดปนหัวเราะพร้อมปรายตามองหลานสาวคนเล็ก “เอาหนิเอาผ้าเช็ดฝุ่นออกจากใบตองให้ยายก่อนเร็ว ๆ ซามเฮ็ดไส้ขนมแล้ว” น้องบีมก็ไม่รอช้าหยิบผ้ามาเช็ดให้ยายทันที นั่งทำช่วยยาย

                 “นี่ตัดใบตองให้ยายเป็นกลม ๆ มล ๆ จังสิ อะปาวตัด” ยายวานพี่ปาวให้ช่วยตัดใบตอง โดยพับครึ่งก่อนจากนั้นใช้กรรไกรตัดปลายทั้งสองด้าน พอคลี่ออกใบตองก็จะเป็นรูปทรงกลม จากเดิมเป็นสี่เหลี่ยม

                  พี่ปาวกับเธอช่วยกันตัดใบตองให้ยายคนละไม้คนละมือ น้องบีมเช็ดฝุ่นออกจากใบตอง ยายนวดแป้งกับสาคูรอ พี่แป้งตำถั่วลิสง พี่บอมขูดมะพร้าว ส่วนพี่บอลนั่งให้กำลังใจพี่แป้งในการตำถั่วลิสงทำไส้ขนม ผลัดกันตำบ้าง เธอปรายตามองพี่ ๆ ทั้งสองคน จะเห็นเพียงพี่บอลตำอยู่คนเดียว คนนั่งดูเห็นจะเป็นพี่แป้งมากกว่า

                   “ยายอ่อนแล้วถั่วเหลือง” บอสเดินไปดูถั่วเหลืองที่แช่เอาไว้ พร้อมใช้นิ้วบี้เมล็ดถั่วดูพบว่ามันอ่อนตัวแล้ว

                  “อ่อนแล้วกะเอาไปนึ่งถะแหมะ นึ่งสุกกะเอามาตำใส่น้ำตาลมันกะแล้วท่อนตั้วประสาไส้ถั่วเหลือง” ยายบอกกับเธอ ให้เธอทำเองทั้งหมด อยากทานก็ต้องทำเอง ส่วนพี่แป้งอยากทานไส้ถั่วลิสงกับมะพร้าวก็ต้องทำเองเช่นกัน

                 “นึ่งคือนึ่งข้าวหนิบ่ยาย” เธอถาม ไม่เคยทำมาก่อน

                  “แมน !” ยายตอบ “ซาวใส่หวดคือนึ่งข้าวนั่นล่ะ” จากนั้นเธอก็ไปจัดการทำตามที่ยายสั่ง โดยเปิดแก๊สในการนึ่งจะได้ไม่เสียเวลาก่อเตาไฟ

                  “เอ๋าคือบ่ใช่เตาถ่าน ไฟกะยั๊งอยู่ เปิดให้มันเปลืองแก๊สเฮ็ดหยัง” ยายบ่นให้เธอที่เห็นเปิดแก๊สนึ่งถั่วเหลือง ส่วนเธอแอบกลอกตาให้ยาย ซื้อเตาแก๊สมาไม่ใช้กลัวเปลืองจะซื้อมาทำไม ซื้อมาโชว์หรืออย่างไร “เอาถ่านใส่เตาไว้ให้ยายนำแน ยายสินึ่งข้าวต้ม นึ่งเตาถ่านมันจังแซ่บ” ยายวานให้ทำอีกเรื่อง เธอก็จัดการทำให้ยายโดยทันที

                 “ยายตำแหลกแล้ว” พี่แป้งบอกยาย เนื่องจากตำถั่วลิสงจนได้ที่แล้ว

                 “เอาไปคั่วใส่บักพร้าวใส่น้ำตาลมันกะแล้วท่อนตั้ว ฟ้าวไปคั่วมาห่อมันเดิกแล้วหนิ เทือสินึ่งข้าวต้มสุก บักนั่นมืงขูดแล้วล่ะบ่บักพร้าว” ยายหันไปถามหลานชายคนโต

                “แล้วล่ะอะเอาไป” พี่บอมยื่นถาดที่มีเนื้อมะพร้าวให้พี่แป้ง มิพอหยิบเส้นมะพร้าวเข้าปากไปอีก เธอหัวเราะให้กับภาพที่เห็น เพราะพี่บอมโดยยายเอ็ดเข้าให้

                    “น้องบีมกินนำอ้ายบอม” พูดจบน้องบีมก็เอื้อมมือไปหยิบเส้นมะพร้าวที่ขูดแล้วในถาด หว่านเข้าปากไปเหมือนกัน

                  “โอ้ย ! ตาย ๆ กูละบ่ได้เฮ็ดไส้ขนมบาดหนิ ล่ะพากันซาวกินจนเมิด” ยายดุหลานคนโตสุดกับหลานคนเล็กสุดของบ้าน ทว่าน้องบีมกับพี่บอมก็ไม่สะทกสะท้านกับคำดุของยาย “หนีฟ้าวเอาไปเฮ็ด มาหาห่อให้มันแล้ว เทือสินึ่งสุก”

                  พี่แป้งกับพี่ปาวลุกไปจัดการไส้ขนมของตนเอง ส่วนเธอดูเตานึ่งถั่วเหลือง พอสุกแล้วจึงนำมาตำให้ละเอียดเช่นกัน “มาใส่หน่อยแท้น้ำตาลมันสิหวานบ่” ยายทักท้วงเมื่อเห็นเธอโรยน้ำตาลลงไปเพียงนิดเดียว “มาบ่ใส่จักเคิ่งถุงนั่นเป็นหยัง ใส่หน่อยปานนั้นมันมาสิมีรสชาติ”
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่