สารานุกรมปืนตอนที่ 756 ลูกโม่ .357 นกใน S&W MP340

สมิธ ทำปืนลูกโม่แบบนกในมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1887 สมัยที่การคัดปลอกและบรรจุกระสุนยังใช้วิธี “หักคอ” (top-break) ชื่อรุ่นว่า New Departure Safety Hammerless revolver ใช้กระสุน .38 ดั้งเดิมที่ความแรงค่อนข้างต่ำ จุดขายของปืนรุ่นนี้



สมิธ ทำปืนลูกโม่แบบนกในมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1887 สมัยที่การคัดปลอกและบรรจุกระสุนยังใช้วิธี “หักคอ” (top-break) ชื่อรุ่นว่า New Departure Safety Hammerless revolver ใช้กระสุน .38 ดั้งเดิมที่ความแรงค่อนข้างต่ำ จุดขายของปืนรุ่นนี้คือ ไกดับเบิลลากยาว มีหลังอ่อนที่ต้องบีบเข้ากับด้ามไกจึงจะทำงาน โฆษณาว่าปลอดภัยสูงสุดสำหรับบ้านที่มีเด็กเล็ก

ในยุคที่การพกปืนแบบเหน็บกับเข็มขัด หรือใส่กระเป๋ากางเกงเป็นวิธีที่นิยมกันแพร่หลาย ปืนนกในที่ไม่มีหงอนนกเกี่ยวเสื้อผ้า กลายเป็นจุดขายที่ตรงใจลูกค้า แม้ต่อมาสมิธจะออกรุ่นที่เปิดโม่ออกข้าง ใช้กระสุน .38 สเปเชียล ที่แรงกว่าเดิม คือปืน Military & Police โครง K จุหกนัด เริ่มขายในปี1899 ก็ยังมีคนนิยมพกปืนนกในแบบหักคอโครงเล็กจุห้านัด ในลักษณะพกซ่อนมิดชิด สมิธ ทำปืนนกในรุ่นบุกเบิกนี้จนถึงปี 1940 ก่อนสงครามโลกครั้งที่สองเล็กน้อย



 มาถึงปี 1950 หลังสงครามโลก สมิธ ย่อส่วนปืนโครง K ใช้โม่เล็กลงเพื่อการพกซ่อน ได้ปืน “ชีฟ สเปเชียล” โครง J ใช้กระสุน .38 สเปเชียล จุห้านัด ที่ตลาดให้การตอบรับอย่างดี ไม่นานก็มีเสียงเรียกร้องจากลูกค้า ให้ทำปืนนกในตัวเล็กใช้กระสุนแรงสูงขนาดนี้บ้าง สมิธ จึงตอบสนองในปี 1952 ซึ่งเป็นปีที่บริษัทอายุครบ 100 ปีพอดี จึงตั้งชื่อรุ่นปืนโครง J นกในกระบอกนั้นว่า เซนเทนเนียล (Centennial) ที่ต่อมาเมื่อปรับระบบชื่อรุ่นเป็นรหัสตัวเลข เรียกว่าโมเดล 40 วัสดุเป็นเหล็กล้วน ตามด้วย โมเดล 42 โครงอัลลอยด์

มาถึงทศวรรษ1970 ยอดขายปืนนกในทั้งคู่ตกไปมาก อาจเป็นเพราะการยิงปืน “ต่อสู้” ของยุคนั้นเน้นความแม่นยำ ค่อย ๆ ยิงทีละนัด ปืนรุ่นที่ง้างนกยิงซิงเกิลได้ขายดีกว่า สมิธจึงเลิกทำโมเดล 40/42 ในปี1974



ต่อมาอีกเกือบยี่สิบปี ผู้บริหารใหม่ของสมิธ สำรวจความต้องการของตลาด พบว่าปืนเซนเทนเนียลเป็นปืนเก่าที่มีผู้ต้องการซื้อจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มนักนิยมปืนแนวต่อสู้ใช้งานจริง สมิธจึงเปิดสายการผลิต เซนเทนเนียล อีกครั้งหนึ่ง เรียกว่าโมเดล 640 วัสดุสเตนเลสล้วน ตัดหลังอ่อนทิ้งเพราะไม่จำเป็น จากปืนที่ขายไม่ออกเมื่อยี่สิบปีก่อน กลายเป็นปืนยอดนิยม มีรุ่นโครงอัลลอยด์โม่เหล็กคือ 442 แต่งผิวดำ กับ 642 สีเงินนวล ตามออกมาในไม่ช้า โดยสองรุ่นนี้จัดเป็นแบบ “แอร์เวท” (Airweight) น้ำหนักตัวเพียง 415 กรัม เทียบกับรุ่น 640 เหล็กล้วน หนัก 625 กรัม และยังมี 342PD โครงสแกนเดียม โม่ไทเทเนียม เบาสุด “แอร์ไลท์” (Airlite) หนักเพียง 325 กรัม
    
สำหรับปืนนายแบบสัปดาห์นี้ สมิธจัดให้อยู่ในชุด MP (Military & Police) รวมกับปืนกึ่งอัตโนมัติยอดนิยม ตั้งชื่อรุ่นว่า MP340 วัสดุโครงปืนเป็นสแกนเดียมเหมือน 342PD, โม่และลำกล้อง เป็นสเตนเลส น้ำหนักตัวปืนเพิ่มขึ้นเป็น 390 กรัม แต่งผิว PVD (Physical Vapor Deposition) สีดำด้านสวยงาม ติดศูนย์หน้าตรีเตียม Big Dot สูงกว่าแบบศูนย์ทางลาดมาตรฐานเดิม ทำศูนย์หลังคือร่องบนโครงปืนให้กว้างออก รับกัน ไกแต่งจากโรงงาน 10 ปอนด์ เหนี่ยวได้เรียบลื่นดีมาก



  ข้อดีของ MP340 คือ คล่องตัวสูงจับเป้าได้เร็ว, ใช้กระสุนได้หลากหลายตั้งแต่ .38 ซ้อมยิง ไปจน .357 แม็กนั่มแรงสูง, น้ำหนักตัวกำลังพอดี พกได้ทั้งวันโดยรีคอยล์ยังคุมง่ายกว่าปืนตัวเบาพิเศษ, ตัวปืนทนทานดีมาก อายุใช้งานนานกว่าโครงอัลลอยด์ธรรมดา, และเนื่องจากเป็นโครง J มาตรฐาน ชิ้นส่วนทั้งอะไหล่และอุปกรณ์เสริมหาซื้อได้ง่าย.



https://www.dailynews.co.th/article/722337/
...................................
ดร.ผณิศวร ชำนาญเวช


สวัสดีครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่