*****เหมือนเรามาระบายให้ฟังยังไงไม่รู้ค่ะ พิมพ์ไปพิมพ์มา ย้อนกลับมาพิมพ์บรรทัดนี้
******ถ้าขี้เกียจอ่านเยอะไป ข้ามไปอ่านครึ่งหลังก็ได้ค่ะ
เรารู้สึกว่าเราเริ่มไม่ปกติ ตอนเริ่มท้องอ่อนๆ เรารู้สึกว่าไม่ค่อยหาความสุขหรือความสนุกสนานได้ซักเท่าไหร่ แต่เราคิดว่า เราคงเรียนรู้การใช้ชีวิตแบบผู้ใหญ่อยู่ แน่นอนว่านั้นมันแค่ปลอบใจตัวเราเอง
พอเวลาเริ่มผ่านไป เหมือนเป็นมากขึ้น บางครั้งเกิดเรื่องให้ไม่สบายใจ มันระบายออกมาไม่ได้ มันไม่ร้องไห้ มันไม่พูดอะไรทั้งนั้น แต่อารมณ์สวิงมากๆ แบบคิดตลอดเวลาว่าทำไมมันต้องเป็นบบนี้ ทำไมต้องเป็นแบบนี้ เป็นอยู่อย่างนั้น วนไป วนมา ... ซึ่งอาการเหล่านี้ มาจากปัจจัยรอบข้างหรือสิ่งแวดล้อมของเราทั้งสิ้นค่ะ ไม่ว่าจะเป็นงาน และการตั้งท้อง ซึ่งแพ้ท้อง นอนไม่หลับ ครอบครัว และอื่นๆ
ณ ขณะ ตอนตั้งท้อง เรายังคิดว่าคงเป็นแค่อาการคนตั้งครรภ์ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ จนกระทั่งคลอด ซึ่งมันเป็นเยอะขึ้น คือ เวลามีเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจ หรือเรื่องที่ทำให้เราเครียด เราสามารถเล่าหรือระบายออกมาเป็นการร้องไห้ได้ แต่ตอนนี้ไม่แม้แต่น้ำตาจะไหล ไม่ไหลเลย ถึงแม้จะโหยหาการร้องไห้แค่ไหน มันอึดอัดค่ะ พยายามทำให้น้ำตาไหลเพื่อจะได้ระบายบ้าง แต่ไม่เลย อึดอัดกว่าเดิม
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้อยากร้องไห้แทบตาย แต่น้ำตาไม่ยอมไหล มันทรมาณมากๆ ค่ะ อึดอัดจนเราหายใจไม่ออกเลยค่ะ (เริ่มคิดถึงกาฆ่าตัวตายแล้ว แต่ไม่ถึงกับว่าเราจะหนจากอาการที่เราเป็นอยู่)
จนเวลาผ่านไปเป็นปี ระหว่างนั้น เพื่อนก็ทักว่าเป็นหรือเปล่า คือ บ้านอยู่ใกล้กันแต่แทบจะไม่ได้ไปมาหากันเลย แต่เราก็ได้พูดแค่เล่นๆไป ว่าเป็นแล้ว ถ้าจะบ้าแล้วแน่ๆ คิดว่าเป็นซึมเศร้าหลังคลอด เพราะ 1 เดือนแรก ไม่ได้นอนเลย น้ำหนกลดฮวบ ตาโบ๋ เหมือนแม่หลังคลอดทั่วไปค่ะ ผลพวงมาจากสามีไม่ค่อยสนใน และใส่ใจที่จะดูลูกช่วยด้วย เราเลยคิดมาก จนเครียด และเราเหนื่อย เหนื่อยมาก จนเกิดการสะสม ซึ่งอาจมาจากคำพูดเขานะตอนนั้นและจนถึง ณ ตอนนี้ด้วย มันทำให้เรารู้สึกว่า เราคงผิดมากที่คอยบอกคอยเตือนเขา เราอาจก้าวก่ายชีวิตเขามากเกินไป ซึ่งคำพูดที่เราได้ยินจากเขา บ่อยที่สุด คือ แล้วจะมาหาเรื่องทำไม คือเราไม่ได้หาเรื่องเลย เราแค่ขอร้องเขา และเตือนเขาแค่นั้นเอง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เรื่องสามีเรา เขามีเพื่อนค่ะ สังสรรค์ ปาร์ตี้ ไปเที่ยว ซึ่งเขาจะแคร์เพื่อนเขา คือชวนก็ไป ปฏิเสธไม่เป็น ถ้าเราไม่ให้ไปหรือห้าม คือจะไม่พูดกับเราเลย ถ้าพูดจะบอกเราว่าหยุดพูด แล้วเวลาไปบอกแปปเดียว แต่กลับมา ตี 2 ตี 3 ดีไม่ดีสว่างคาตาก็มี แต่ถ้าเราชวนเขาจะห้ามกินค่ะ ชวนเที่ยวก็บอกวัดหยุดไม่ตรงกัน แลกไม่ได้ ไม่มีวันลา แต่กลับเพื่อนไม่เป็นแบบนั้นเลย และตอนเราท้องเราเหม็นบุหรี่มากๆๆๆ มากว่าปกติที่ว่าเหม็นอยู่แล้ว จนคลอดยังไม่หาย เราเตือนเขาว่าให้งดหรือเลิกไปเลย เขาไม่ทำให้เราค่ะ (ใครสูบบุหรี่เราได้กลิ่นเรารู้เลย บางที่กลิ่นลอยมา เราตะโกนออกไปเลย ว่าเหม็นบุหรี่ เหม็นจนหายใจไม่ได้เลยค่ะ) แต่นั้นแหละ เขาของชอบของเขา (เรื่องสามีมีเยอะมากค่ะ)
และอีกอย่างเราเจอปัญหาที่ทำงาน หัวหน้างานใหม่ ไม่รู้รายละเอียดงานเหมือนเรา คือเราต้องหาเองค่ะ อันไหนที่จะต้องทำต้องไปถามคนอื่นแล้วกลับมาบอกหัวหน้าด้วย ตอนแรกไม่ค่อยเท่าไหร่ถือว่าเรียนรู้งานกันไป จะได้แข็งแกร่ง เข็มแข็ง และเข้าใจหัวหน้าแกก็ไม่เคยทำเหมือนกัน แต่แล้วมันเริ่มไม่ไหวค่ะ ตนเดียวทำงาน 2 อย่าง(ธุรการและพัสดุ) แต่เอาจริงๆ มันแสนแปดอย่างค่ะ ธุรการไม่เท่าไหร่ค่ะ เจอพัสดุ 1 งาน คือต้องเทธุรการค่ะ แต่มันเทไม่ได้ ก้มหน้ารับชะตากรรมต่อไป (คนเก่า เราเพิ่งเข้าไป สอนงานเราได้แค่อย่างเดียว แกก็เสียค่ะ) คือ เหมือนอาการมันล้า เดินหน้าต่อไม่ไหว หาแรงบรรดาลใจในการดำเนินชีวิตได้น้อยมากๆ
ทำงานได้ประมาณครึ่งปี ชวงโควิดรอบแรกเลยค่ะ (ก.พ. 63) ตัดสินใจซื้อบ้านค่ะ เป็นบ้านสั่งสร้าง ปัญหาแสดแปดเหมือนกัน (แนะนำไม่ต้องซื้อแบบเราค่ะ ซื้อแบบสร้างเสร็จเอาโครงการที่ไว้ในได้นะคะ) อันนี้ก็เป็นปัญหาสะสม แทนที่บ้านจะเสร็จใน 4 เดือน เป็นปีกว่าจะเสร็จปัญหาก็ตามมาอีก โครงการไม่ตามงาน ให้เราตามเอง ไม่มีมาตรฐานเลยค่ะ เราเหนื่อยจนไม่รู้จะเดินต่อยังไง ตอนนี้อยู่บ้านหลังนี้ค่ะ แบบสัญญาประกันบ้านอะไรก็ไม่เสร็จค่ะ เพราะเขาไม่ยอมเข้ามาซ่อมให้เสร็จ ตามจนไม่รู้จะตามยังไงค่ะ (เบื่อโลกใบนี้มาก ใจร้ายกับเรามากเกินไป แต่เราก็ยังอยู่สู้ต่อไปค่ะ)
ซึ่งแน่นอนค่ะ ตอนนี้โควิดนะทุกคน ปัญหาเรื่องการทำงาน WFH สลับกันไปค่ะ เรื่องบ้าน เรื่องครอบครัว สามี ลูก (2 ขวบ ครึ่ง) อีก (เด็กวัยนี้โอ้โห !! มากๆ ต่อต้านอันดับหนึ่ง) เราคิดเรื่องความตาย การฆ่าตัวตาย ซึ่งมันผุดขึ้นมาเองค่ะ เราไม่ได้อยากตายนะทุกคน แต่มันเหนื่อยล้าจนบางทีแบบตายไปเลย นอนหลับไปไม่ต้องตื่นขึ้นมาเลยดีกว่า ไม่อยากเจอวันพรุ่งนี้เลย ไม่มีพลังในการใช้ชีวิต กินข้าวไม่อร่อย ฟังเพลงไม่สนุก ไม่เล่นไม่หัวเราะ เหม่อลอย นอนไม่หลับ ตื่นสาย เหมือนโรคขี้เกียจ แต่เราเป็นมากกว่าขี้เกียจ เราไม่อยากพบเจอใคร ไม่อยากทำอะไร คิดถึงแต่ความตาย แต่ก็นั่นแหละ เรายังคิดว่าเราไม่เป็นอะไร เพราะเราก็ยังตื่นไปทำงาน ถึงแม้มันจะไม่มีแรงบันดาลใจในการทำงานก็เถอะ
********จนวันที่เราตัดสินใจไปหาหมอ ช่วง มิ.ย. 64 เป็นวันที่เราทรมาณมากๆ และเป็นวันี่เรารู้สึกว่าเราจะรอดจากการคิดถึงความตาย เลิกคิดว่าตายไปแล้วมันจะดีขึ้น ซึ่งเราคิดว่ามันเห็นแก่ตัว คนข้างหลังเราจะเป็นยังไง ในวันนั้นตัดสินใจพบหมอในตอนบ่าย เนื่องจาก ตอนเช้าขับรถไปทำงานแล้วความคิดผุดขึ่นในหัวว่า ถ้าเราขับรถชนหรือขับรถด้วยความเร็วทะลุแบร์ริเอร์ลงในแม่น้ำ แล้วตายไปเลยคงจะดีมากๆ แต่เราก็กลัวตัวเองไปด้วยค่ะ ถึงทีทำงานปรึกษาพี่ที่ทำงานและหัวหน้า จนเราไม่ไหวค่ะ วันนั้นเราร้องไห้หลายรอบมากค่ะ มันอึดอัดว่าเราคิดถึงมันมากขนาดนั้นได้ยังไง
ไปเจอแพทย์ประจำบ้านค่ะ ซักประวัติ อาการ (เราร้องไห้ แบบกลั้นไม่ให้ร้อง แต่คือสะอึกสะอึ้นไม่อายหมอเลยค่ะ) นัดให้พบจิตแพทย์ สั่งยาแก้ปวดหัวไมเกรนให้เรา (เราเพิ่งเกิดอาการไมเกรนก่อนหน้านี้ ซักๆม่ถึงปีค่ะ เป็น 4-5 รอบได้ และวันนั้นเราก็เป็นค่ะ)
2วันถัดมา ไปตามนัด แต่จิตแพทย์หยุดค่ะ ซึ่งมันเป็นวันหยุดราชการ เจอแพทย์ประจำบ้านอีกตามเคย ซักประวัติ ถามอาการ วินิจฉัยว่าเราเป็นซึมเศร้า แล้วจ่ายยานอนหลับให้เราก่อนอันดับแรก นัดจิตแพทย์ให้อีกตามเคยค่ะ
อาทิตย์ถัดมา เข้าพบจิตแพทย์ ซักถามอาการ ประวัติต่างๆที่เราเป็น พยายามหาสาเหตุ และหมอแจ้งว่าเราหมกหมุ่นกับการคิดถึงการฆ่าตัวตายมากเกินไป แล้วเราไม่มีความสุขในการทำกิจกรรมในแต่ละวันของเรา แค่เปิดเพลงฟังยังไม่อยากฟัง ไม่อินกับอไรทั้งนั้นในโลกนี้ เข้าขั้นเป็นซึมเศร้าแล้วนะ ประมาณนี้ค่ะ หมอสั่งยาปรับอารมณ์และนอนหลับให้เราเพิ่ม พร้อมนัดอีก 1 สัปดาห์ข้างหน้าค่ะ
และหลังจากนัดก็ไปพบหมอตามนัดทุกครั้งกินยาให้ครบ (ห้ามหยุดยาเอง ยกเว้นยานอนหลับให้กินเฉพาะวันที่นอนไม่หลับจริงๆ)
ณ ปัจจุบันนี้ น่าจะ 3 เดือน ที่เข้ารับการรักษา ดีขึ้นไม่ค่อยคิดถึงการตาย เริ่มฟังเพลงสนุกขึ้น แต่กินข้าวไม่อร่อย ไม่หิว และขี้หลงขี้ลืมสุดๆ ค่ะ แต่ถ้าวันไหนลืมกินยา มันจะเข้ามาอยู่ในหัวเราแบบแว๊บๆ นะคะ แต่เราว่าเราดีขึ้น เราเอ็นจอยกับการฟังเพลงมาก
ใครรูสึกว่า ตัวเองคิดถึงการฆ่าตัวตายแล้วคิดว่ามันดี แต่ที่จริงรู้สึกว่า ก็ไม่ได้อยากตายจริงๆ หรือเครียดเพราะเจอปัญหาสารพัดอย่างถาโถมเข้าในในชีวิต แก้ไม่ได้ จนเครียดสะสม เราแนะนำว่า ให้เข้าปรึกาาจิตแพทย์นะคะ เราว่าช่วยได้เยอะมากๆ
ตอนนี้เราหาเรื่อง ที่ทำให้คลายเครียด ได้โดย เราจะทำในสิ่งที่เราทำแล้วสบายใจค่ะ ไม่เดือดร้อนคนอื่นด้วยนะคะ คือ การทำแปลงปลูกผักเล็กๆ ปลูกดอกไม้ แต่งสวน ฟังเพลง ซึ่งเราแฮปปี้กับมันค่ะ ค่อยๆ เป็นค่อยๆไปค่ะ
สุดท้ายแล้ว เราไม่ได้อยากได้คำว่าสู้ๆ (แต่อันที่จริงก็ดีนะคะ อย่างน้อยๆ คุณก็ยังอยู่ข้างๆ เราตรงนี้ เราจะบอกว่าเราสู้กับมันและเราก็สู้กับตัวเองด้วยค่ะ) แค่อยู่ข้างๆ รับฟังเราบ้างก็พอ ให้เรารู้สึกว่าเราได้ระบายมันออกไปบ้าง สวมกอดเราบ้าง ทำเรื่องตลกๆให้เราขำบ้าง จุ๊บเราสักทีนึง ถามว่ากินข้าวยัง นอนหลับไหม เหนื่อยหรือเปล่ากับเราบ้าง เราอยากได้กำลังใจ แบบนี้จริงๆ ค่ะ แต่คนข้างๆ เขาไม่แม้แต่จะถามว่าเรากินข้าวยังเลยค่ะ แต่เราก็ยังเดินหน้าต่อค่ะ เพราะภาระเยอะเหลือเกินค่ะ ทิ้ให้คนอื่นรับผิดชอบไม่ได้ เกรงใจเขาค่ะ
ปล.อันที่จริงรายละเอียดก่อนจะเป็นซึมเศร้ามันสะสมเยอะๆ มากๆ มันลืมค่ะตอนนี้ มันนึกออกจริงๆ นี่คือ เอฟเฟ็คหลังเราเริ่มรับยาค่ะ แต่ก่อนไม่เป็นขนาดนี้ค่ะ
ปล.2 ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน และอยู่ตรงนี้ข้างเราค่ะ
ภาวะของโรคซึมเศร้า ที่เรากำลังเป็นอยู่ ณ ขณะนี้ (10/8/64)
******ถ้าขี้เกียจอ่านเยอะไป ข้ามไปอ่านครึ่งหลังก็ได้ค่ะ
เรารู้สึกว่าเราเริ่มไม่ปกติ ตอนเริ่มท้องอ่อนๆ เรารู้สึกว่าไม่ค่อยหาความสุขหรือความสนุกสนานได้ซักเท่าไหร่ แต่เราคิดว่า เราคงเรียนรู้การใช้ชีวิตแบบผู้ใหญ่อยู่ แน่นอนว่านั้นมันแค่ปลอบใจตัวเราเอง
พอเวลาเริ่มผ่านไป เหมือนเป็นมากขึ้น บางครั้งเกิดเรื่องให้ไม่สบายใจ มันระบายออกมาไม่ได้ มันไม่ร้องไห้ มันไม่พูดอะไรทั้งนั้น แต่อารมณ์สวิงมากๆ แบบคิดตลอดเวลาว่าทำไมมันต้องเป็นบบนี้ ทำไมต้องเป็นแบบนี้ เป็นอยู่อย่างนั้น วนไป วนมา ... ซึ่งอาการเหล่านี้ มาจากปัจจัยรอบข้างหรือสิ่งแวดล้อมของเราทั้งสิ้นค่ะ ไม่ว่าจะเป็นงาน และการตั้งท้อง ซึ่งแพ้ท้อง นอนไม่หลับ ครอบครัว และอื่นๆ
ณ ขณะ ตอนตั้งท้อง เรายังคิดว่าคงเป็นแค่อาการคนตั้งครรภ์ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ จนกระทั่งคลอด ซึ่งมันเป็นเยอะขึ้น คือ เวลามีเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจ หรือเรื่องที่ทำให้เราเครียด เราสามารถเล่าหรือระบายออกมาเป็นการร้องไห้ได้ แต่ตอนนี้ไม่แม้แต่น้ำตาจะไหล ไม่ไหลเลย ถึงแม้จะโหยหาการร้องไห้แค่ไหน มันอึดอัดค่ะ พยายามทำให้น้ำตาไหลเพื่อจะได้ระบายบ้าง แต่ไม่เลย อึดอัดกว่าเดิม
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
จนเวลาผ่านไปเป็นปี ระหว่างนั้น เพื่อนก็ทักว่าเป็นหรือเปล่า คือ บ้านอยู่ใกล้กันแต่แทบจะไม่ได้ไปมาหากันเลย แต่เราก็ได้พูดแค่เล่นๆไป ว่าเป็นแล้ว ถ้าจะบ้าแล้วแน่ๆ คิดว่าเป็นซึมเศร้าหลังคลอด เพราะ 1 เดือนแรก ไม่ได้นอนเลย น้ำหนกลดฮวบ ตาโบ๋ เหมือนแม่หลังคลอดทั่วไปค่ะ ผลพวงมาจากสามีไม่ค่อยสนใน และใส่ใจที่จะดูลูกช่วยด้วย เราเลยคิดมาก จนเครียด และเราเหนื่อย เหนื่อยมาก จนเกิดการสะสม ซึ่งอาจมาจากคำพูดเขานะตอนนั้นและจนถึง ณ ตอนนี้ด้วย มันทำให้เรารู้สึกว่า เราคงผิดมากที่คอยบอกคอยเตือนเขา เราอาจก้าวก่ายชีวิตเขามากเกินไป ซึ่งคำพูดที่เราได้ยินจากเขา บ่อยที่สุด คือ แล้วจะมาหาเรื่องทำไม คือเราไม่ได้หาเรื่องเลย เราแค่ขอร้องเขา และเตือนเขาแค่นั้นเอง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
และอีกอย่างเราเจอปัญหาที่ทำงาน หัวหน้างานใหม่ ไม่รู้รายละเอียดงานเหมือนเรา คือเราต้องหาเองค่ะ อันไหนที่จะต้องทำต้องไปถามคนอื่นแล้วกลับมาบอกหัวหน้าด้วย ตอนแรกไม่ค่อยเท่าไหร่ถือว่าเรียนรู้งานกันไป จะได้แข็งแกร่ง เข็มแข็ง และเข้าใจหัวหน้าแกก็ไม่เคยทำเหมือนกัน แต่แล้วมันเริ่มไม่ไหวค่ะ ตนเดียวทำงาน 2 อย่าง(ธุรการและพัสดุ) แต่เอาจริงๆ มันแสนแปดอย่างค่ะ ธุรการไม่เท่าไหร่ค่ะ เจอพัสดุ 1 งาน คือต้องเทธุรการค่ะ แต่มันเทไม่ได้ ก้มหน้ารับชะตากรรมต่อไป (คนเก่า เราเพิ่งเข้าไป สอนงานเราได้แค่อย่างเดียว แกก็เสียค่ะ) คือ เหมือนอาการมันล้า เดินหน้าต่อไม่ไหว หาแรงบรรดาลใจในการดำเนินชีวิตได้น้อยมากๆ
ทำงานได้ประมาณครึ่งปี ชวงโควิดรอบแรกเลยค่ะ (ก.พ. 63) ตัดสินใจซื้อบ้านค่ะ เป็นบ้านสั่งสร้าง ปัญหาแสดแปดเหมือนกัน (แนะนำไม่ต้องซื้อแบบเราค่ะ ซื้อแบบสร้างเสร็จเอาโครงการที่ไว้ในได้นะคะ) อันนี้ก็เป็นปัญหาสะสม แทนที่บ้านจะเสร็จใน 4 เดือน เป็นปีกว่าจะเสร็จปัญหาก็ตามมาอีก โครงการไม่ตามงาน ให้เราตามเอง ไม่มีมาตรฐานเลยค่ะ เราเหนื่อยจนไม่รู้จะเดินต่อยังไง ตอนนี้อยู่บ้านหลังนี้ค่ะ แบบสัญญาประกันบ้านอะไรก็ไม่เสร็จค่ะ เพราะเขาไม่ยอมเข้ามาซ่อมให้เสร็จ ตามจนไม่รู้จะตามยังไงค่ะ (เบื่อโลกใบนี้มาก ใจร้ายกับเรามากเกินไป แต่เราก็ยังอยู่สู้ต่อไปค่ะ)
ซึ่งแน่นอนค่ะ ตอนนี้โควิดนะทุกคน ปัญหาเรื่องการทำงาน WFH สลับกันไปค่ะ เรื่องบ้าน เรื่องครอบครัว สามี ลูก (2 ขวบ ครึ่ง) อีก (เด็กวัยนี้โอ้โห !! มากๆ ต่อต้านอันดับหนึ่ง) เราคิดเรื่องความตาย การฆ่าตัวตาย ซึ่งมันผุดขึ้นมาเองค่ะ เราไม่ได้อยากตายนะทุกคน แต่มันเหนื่อยล้าจนบางทีแบบตายไปเลย นอนหลับไปไม่ต้องตื่นขึ้นมาเลยดีกว่า ไม่อยากเจอวันพรุ่งนี้เลย ไม่มีพลังในการใช้ชีวิต กินข้าวไม่อร่อย ฟังเพลงไม่สนุก ไม่เล่นไม่หัวเราะ เหม่อลอย นอนไม่หลับ ตื่นสาย เหมือนโรคขี้เกียจ แต่เราเป็นมากกว่าขี้เกียจ เราไม่อยากพบเจอใคร ไม่อยากทำอะไร คิดถึงแต่ความตาย แต่ก็นั่นแหละ เรายังคิดว่าเราไม่เป็นอะไร เพราะเราก็ยังตื่นไปทำงาน ถึงแม้มันจะไม่มีแรงบันดาลใจในการทำงานก็เถอะ
********จนวันที่เราตัดสินใจไปหาหมอ ช่วง มิ.ย. 64 เป็นวันที่เราทรมาณมากๆ และเป็นวันี่เรารู้สึกว่าเราจะรอดจากการคิดถึงความตาย เลิกคิดว่าตายไปแล้วมันจะดีขึ้น ซึ่งเราคิดว่ามันเห็นแก่ตัว คนข้างหลังเราจะเป็นยังไง ในวันนั้นตัดสินใจพบหมอในตอนบ่าย เนื่องจาก ตอนเช้าขับรถไปทำงานแล้วความคิดผุดขึ่นในหัวว่า ถ้าเราขับรถชนหรือขับรถด้วยความเร็วทะลุแบร์ริเอร์ลงในแม่น้ำ แล้วตายไปเลยคงจะดีมากๆ แต่เราก็กลัวตัวเองไปด้วยค่ะ ถึงทีทำงานปรึกษาพี่ที่ทำงานและหัวหน้า จนเราไม่ไหวค่ะ วันนั้นเราร้องไห้หลายรอบมากค่ะ มันอึดอัดว่าเราคิดถึงมันมากขนาดนั้นได้ยังไง
ไปเจอแพทย์ประจำบ้านค่ะ ซักประวัติ อาการ (เราร้องไห้ แบบกลั้นไม่ให้ร้อง แต่คือสะอึกสะอึ้นไม่อายหมอเลยค่ะ) นัดให้พบจิตแพทย์ สั่งยาแก้ปวดหัวไมเกรนให้เรา (เราเพิ่งเกิดอาการไมเกรนก่อนหน้านี้ ซักๆม่ถึงปีค่ะ เป็น 4-5 รอบได้ และวันนั้นเราก็เป็นค่ะ)
2วันถัดมา ไปตามนัด แต่จิตแพทย์หยุดค่ะ ซึ่งมันเป็นวันหยุดราชการ เจอแพทย์ประจำบ้านอีกตามเคย ซักประวัติ ถามอาการ วินิจฉัยว่าเราเป็นซึมเศร้า แล้วจ่ายยานอนหลับให้เราก่อนอันดับแรก นัดจิตแพทย์ให้อีกตามเคยค่ะ
อาทิตย์ถัดมา เข้าพบจิตแพทย์ ซักถามอาการ ประวัติต่างๆที่เราเป็น พยายามหาสาเหตุ และหมอแจ้งว่าเราหมกหมุ่นกับการคิดถึงการฆ่าตัวตายมากเกินไป แล้วเราไม่มีความสุขในการทำกิจกรรมในแต่ละวันของเรา แค่เปิดเพลงฟังยังไม่อยากฟัง ไม่อินกับอไรทั้งนั้นในโลกนี้ เข้าขั้นเป็นซึมเศร้าแล้วนะ ประมาณนี้ค่ะ หมอสั่งยาปรับอารมณ์และนอนหลับให้เราเพิ่ม พร้อมนัดอีก 1 สัปดาห์ข้างหน้าค่ะ
และหลังจากนัดก็ไปพบหมอตามนัดทุกครั้งกินยาให้ครบ (ห้ามหยุดยาเอง ยกเว้นยานอนหลับให้กินเฉพาะวันที่นอนไม่หลับจริงๆ)
ณ ปัจจุบันนี้ น่าจะ 3 เดือน ที่เข้ารับการรักษา ดีขึ้นไม่ค่อยคิดถึงการตาย เริ่มฟังเพลงสนุกขึ้น แต่กินข้าวไม่อร่อย ไม่หิว และขี้หลงขี้ลืมสุดๆ ค่ะ แต่ถ้าวันไหนลืมกินยา มันจะเข้ามาอยู่ในหัวเราแบบแว๊บๆ นะคะ แต่เราว่าเราดีขึ้น เราเอ็นจอยกับการฟังเพลงมาก
ใครรูสึกว่า ตัวเองคิดถึงการฆ่าตัวตายแล้วคิดว่ามันดี แต่ที่จริงรู้สึกว่า ก็ไม่ได้อยากตายจริงๆ หรือเครียดเพราะเจอปัญหาสารพัดอย่างถาโถมเข้าในในชีวิต แก้ไม่ได้ จนเครียดสะสม เราแนะนำว่า ให้เข้าปรึกาาจิตแพทย์นะคะ เราว่าช่วยได้เยอะมากๆ
ตอนนี้เราหาเรื่อง ที่ทำให้คลายเครียด ได้โดย เราจะทำในสิ่งที่เราทำแล้วสบายใจค่ะ ไม่เดือดร้อนคนอื่นด้วยนะคะ คือ การทำแปลงปลูกผักเล็กๆ ปลูกดอกไม้ แต่งสวน ฟังเพลง ซึ่งเราแฮปปี้กับมันค่ะ ค่อยๆ เป็นค่อยๆไปค่ะ
สุดท้ายแล้ว เราไม่ได้อยากได้คำว่าสู้ๆ (แต่อันที่จริงก็ดีนะคะ อย่างน้อยๆ คุณก็ยังอยู่ข้างๆ เราตรงนี้ เราจะบอกว่าเราสู้กับมันและเราก็สู้กับตัวเองด้วยค่ะ) แค่อยู่ข้างๆ รับฟังเราบ้างก็พอ ให้เรารู้สึกว่าเราได้ระบายมันออกไปบ้าง สวมกอดเราบ้าง ทำเรื่องตลกๆให้เราขำบ้าง จุ๊บเราสักทีนึง ถามว่ากินข้าวยัง นอนหลับไหม เหนื่อยหรือเปล่ากับเราบ้าง เราอยากได้กำลังใจ แบบนี้จริงๆ ค่ะ แต่คนข้างๆ เขาไม่แม้แต่จะถามว่าเรากินข้าวยังเลยค่ะ แต่เราก็ยังเดินหน้าต่อค่ะ เพราะภาระเยอะเหลือเกินค่ะ ทิ้ให้คนอื่นรับผิดชอบไม่ได้ เกรงใจเขาค่ะ
ปล.อันที่จริงรายละเอียดก่อนจะเป็นซึมเศร้ามันสะสมเยอะๆ มากๆ มันลืมค่ะตอนนี้ มันนึกออกจริงๆ นี่คือ เอฟเฟ็คหลังเราเริ่มรับยาค่ะ แต่ก่อนไม่เป็นขนาดนี้ค่ะ
ปล.2 ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน และอยู่ตรงนี้ข้างเราค่ะ