หนุ่มหาของป่าผจญอาถรรพ์เขาแก้ว_ภาคสอง

สวัสดีครับทุกท่าน มาพบกันอีกครั้งในภาคสองของ หนุ่มหาของป่าผจญอาถรรพ์เขาแก้ว 
ซึ่งผมได้เขียนค้างไว้ ว่าจะหาโอกาสมาต่อให้จบบริบูรณ์ หวังว่าจะยังจำเรื่องราวในภาคเเรกได้นะครับ
เหตุการณ์จะต่อเนื่องจากคณะติดตามคนหาย ได้หลบหนีออกมาจากเมืองร้าง โดยที่ได้เพียงกระดูกคนหายกลับมา
ซึ่งตัวร้ายคือ อำมาตย์ค่างผีผู้มักใหญ่ใฝ่สูงยังอยู่  เมืองแก้วได้ถูกปิดผนึกด้วยมนต์อันเข้มขลังของพ่อเฒ่าทองคำ 
เพื่อไม่ให้มีคนเข้าไปได้อีก เมื่อพ่อเฒ่าเสียชีวิต ไม่ได้คลายมนต์ ทำให้เมืองนี้กลายเป็นเมืองลับแล
ซึงการจะเปิดผนึกเมืองลับเเลอีกครั้ง จะต้องทำลายผนึกที่ว่านี้ให้ได้เสียก่อน 

ผมขอใช้นามสมมุติว่าหนุ่มนะครับ ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ดูแลอาคารสถานที่ ในมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งในภาคเหนือ
ถ้าเอ่ยชื่อออกไปต้องรู้จักกันเเน่ งานก็คล้าย ๆ ภารโรง เพราะเป็นคนโสด ไม่มีครอบครัวเลยได้อยู่เวรกลางคืนบ่อย
กลางคืนถ้ายังไม่ดึก จะพบเห็นนักศึกษาทำกิจกรรมอยู่ทั่วไปตามใต้ถุนอาคาร ซุ้มม้าหินอ่อน ลานจอดรถพอว่างจะเปลี่ยนเป็น
สนามบอลให้รุ่นพี่ว่าที่บัณฑิตเตะบอลแข่งกับรุ่นน้อง เล่นกันมืด ๆ เสียงดังเอะอะตึงตังอยู่พักหนึ่ง พอใกล้สองทุ่มจะเเยกย้ายกันไป
นักศึกพวกนี้ถ้าไม่กลับ จะเข้าไปพักผ่อนหลับนอนในสโมสร ที่อยู่ด้านหลังสหกรณ์  

ผมจะดูแลอาคารคณะมนุษย์ศาสตร์กับคณะรัฐศาสตร์เป็นหลัก
บางตืนอาจะเเวะไปพูดคุยกับเพื่อนพนักงานด้วยกัน ที่เข้าเวรดูแลอาคารคณะศิลปศาสตร์ 
ตามประสาคนทำงานกลางคืน  อาจเหงาเป็นบางเวลา หัวข้อที่พูดคุยส่วนใหญ่ ไม่พ้นเรื่องชวนขนหัวลุกแหละครับ 
โดยเฉพาะอาคารคณะศิลปศาสตร์ซึ่งพึ่งก่อสร้างเสร็จใหม่ พื้นที่ด้านอาคารมีต้นก้ามปูยืนต้นเด่น ยังไม่ได้ปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์
พวกเจ้าหน้าอยู่เวรดึกก็เจอดีเเล้ว บรรยายให้ผมฟังถึงสาวชุดแดงเเรงฤทธิ์ ผิวขาวอวบอัด แต่งหน้าทาปากดูสวยคม

ผมได้ยินร้องโอ้โห อยากเจอบางเเล้ว ตามประสาคนหนุ่ม เเต่เจ้าคนนั้นบอกด้วยสีหน้าเหยเก หล่อนมาเเค่ครึ่งเดียวน่ะเซ่
บางทีท่อนล่างมาครบ แต่ดันไม่เอาหัวมาด้วย ลองนึกภาพหุ่นโชว์เสื้อผ้าเดินได้สิครับ เล่นเจอคนเดียวกลางดึก
ถึงผมจะบอกไม่กลัวผีสาว แต่มันก็ทำเอาหลอน ขนหัวลุกได้เหมือนกัน

ขอเล่าเป็นเกล็ดเล็กเกล็ดน้อย หน่อยนะครับ ก่อนจะย้อนกลับมาเข้าเรื่องอาถรรพ์เมืองแก้วกันต่อ
ผมอยู่เวรกะดึกอาคารคณะมนุษย์ศาสตร์ จะมีอาจารย์ทำงานกันอยู่ สู้งานกันจนสว่างก็มี
บางท่านอาจหามุมสงบมานั่งตามระเบียง ที่ม้านั่งชั้นสองของคณะรัฐศาสตร์ เพื่อรับลมธรรมชาติ 

ผมมักจะพบกับ ดร.นิค สุวรรณนาคี นั่งทำงานอยู่ในมุมมืด ๆ 
พอคิดอะไรออกจะเปิดโคมไฟ เพื่อเขียนงานวิจัยของแกไป   เป็นหนุ่มใหญ่อายุประมาณ 35-40 ปี
นิสัยเป็นกันเอง คุยสนุก  พอเครียดจากงาน  มักชวนผมไปคุยด้วยแก้เหงา
พอกระหาย ผมอาสาไปซื้อของกินหลังมอมาให้
ควบจักรยานยนต์ออกไปซื้อมาให้แปบเดียว กาเเฟร้อนส่งถึงมือทันใจ 

หนึ่งในเรื่องที่ผมเอามาเล่าให้อาจารย์นิคฟังก็คืออาถรรพ์เขาแก้ว 
อาจารย์นิคตั้งใจฟังมาก ถามผมย้ำ ๆ ว่ามันมีจริงหรือ
ผมก็บอกไปแบบยิ้มเเค่น ๆ เพราะฟังมาอีกที  มันเป็นตำนานที่เล่าสืบต่อกันมาสมัยปู่จายยังเป็นหนุ่ม 
เรื่องที่อาจารย์นิคสนใจ คือเมืองร้างที่หายสาบสูญครับ เพราะทำงานด้านโบราณคดี อาจารย์บอกว่า
อันตำนานอาจเป็นกระเซ็นสายของเบาะเเส ให้สืบค้นไปถึงเมืองโบราณ ฟังไว้ไม่เสียหาย
วันหน้าอาจารย์จะนำนักศึกไปสืบค้นหาเมืองแก้ว และจะขอให้ผมเป็นผู้นำการสำรวจ
 
ช่วงหลังมานี้ผมรู้สึกเกรงใจอาจารย์นิค  เพราะพึ่งเจอเรื่องหนัก ๆ โดนทั้งคดีอาญา และวินัยสองคดีซ้อน 
เพราะถูกแจ้งความเอาผิดในคดีล่วงละเมิดนักศึกษาหญิง อีกคดีคือยักยอกวัตถุโบราณ ที่พึ่งไปขุดค้นมาได้
คนที่ฟ้องเป็นคหบดีใหญ่ ชื่อพ่อเลี้ยงกำธร เคยเล่นการเมืองเป็นถึงรัฐมนตรี มีอิทธิพลมาก
เขาเป็นผู้ออกเงินสนุบสนุนเป็นทุนวิจัย ให้อาจารย์นิคนำคณะไปค้นหาวัตถุโบราณ
จนไปค้นพบเข้ากับทวารบาลคู่หนึ่ง ศิลปไทยวน เนื่องจากเป็นโบราณวัตถุขนาดใหญ่
ประดิษฐานตรึงเเน่นไว้กับซุ้มประตู ไม่ใช่เรื่องง่ายจะสกัดออกไปได้
แต่เเล้วไม่มีใครคาดคิด ว่าทวารบาลคู่นี้จะสูญหายไปได้

เนื้อหาภาคแรก ทั้งแบบอ่านเอง และเสียงอ่านครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้



แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่