(ตลอดประวัติศาสตร์ของโลก การปะทุของภูเขาไฟขนาดมหึมาได้ทำลายอารยธรรมและชีวิตของผู้คนมากมาย)
" Campi Flegrei " หรือ Phlegraean Fields ยักษ์ใหญ่ที่มีชื่อเสียงที่สุดในอ่าว Naples ของยุโรปกำลังแสดงสัญญาณของการตื่นขึ้นใหม่จากการหลับใหลอันยาวนาน ชื่อของภูเขาไฟแปลว่า " ทุ่งเผาไหม้ " เป็น supervolcano ที่ประกอบด้วยเครือข่ายใต้ดินที่กว้างใหญ่และซับซ้อน โดยก่อตัวขึ้นเมื่อหลายร้อยหลายพันปีก่อน ทอดยาวจากชานเมือง Naples ไปจนถึงทางใต้ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
ตอนนี้ มีผู้คนประมาณครึ่งล้านอาศัยอยู่ในแอ่งภูเขาไฟที่มีความยาว 7 ไมล์ของ Campi Flegrei ที่เกิดจากการปะทุครั้งใหญ่เมื่อ 200,000, 39,000, 35,000 และ 12,000 ปีก่อน ซึ่งที่ผ่านมา 500 ปี Campi Flegrei อยู่อย่างเงียบสงบและไม่มีการปะทุเลยตั้งแต่ปี 1538 แม้ว่าก่อนหน้าจะมีเหตุการณ์ปะทุเล็กๆน้อยๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาประวัติศาสตร์ ส่งผลให้เกิดการก่อตัวของภูเขาใหม่ที่ชื่อ " Monte Nuovo " และทุกวันนี้ ไม่มีสัญญาณของการตื่นขึ้นของกิจกรรม แต่เหตุการณ์ล่าสุดชี้ให้เห็นว่าช่วงเวลาแห่งความสงบนี้อาจสิ้นสุดลง
จากสัญญาณมากมายของการมีอยู่ของแมกมาใต้เปลือกโลก ที่ยังคงทำงานอยู่ในรูปแบบของ solfataras (ปล่องภูเขาไฟตื้นที่มีการพ่นไอน้ำกำมะถัน) น้ำพุร้อนอุ่น การปล่อยก๊าซภายในแอ่งภูเขาไฟ (caldera) ทำให้ในเดือนธันวาคม 2016 รัฐบาลอิตาลีได้เพิ่มระดับการคุกคามของภูเขาไฟจากระดับสีเขียวเป็นระดับสีเหลือง
Campi Flegrei ของอิตาลีหรือที่รู้จักกันในชื่อ Phlegrean Fields
เป็นพื้นที่ภูเขาไฟที่ซับซ้อนซึ่งประกอบด้วยเครือข่ายของหลุมอุกกาบาตและแหล่งความร้อนใต้พิภพ
ภาพถ่ายโดย CHRISTIAN JUNGEBLODT/LAIF/REDUX
ความกลัวยิ่งเพิ่มมากขึ้นเมื่อรู้ว่าแมกมาที่อยู่ลึกเข้าไปใน Campi Flegrei อาจมีจุดแรงดันขั้นวิกฤติ (critical degassing pressure) ของการปล่อยก๊าซขนาดใหญ่อย่างกะทันหัน ที่สามารถฉีดความร้อนเข้าไปในของเหลวและหินจากความร้อนใต้พิภพในทันที เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นในระดับที่มีนัยสำคัญ มันสามารถทำให้เกิดความหายนะร้ายแรงของหินภายในภูเขาไฟจนทำให้เกิดการปะทุ โดยผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature Communications เมื่อเดือนพฤษภาคม 2017 พบหลักฐานว่าภูเขาไฟลูกนี้กำลังก่อตัวขึ้นสู่การปะทุมานานหลายทศวรรษ
ทีมนักวิทยาศาสตร์แห่งสถาบันวิจัยแห่งชาติอิตาลีด้านธรณีฟิสิกส์ในกรุงโรม ระบุว่า ภูเขาไฟลูกนี้ตั้งอยู่ใน Naples เมืองที่มีประชากรตั้งถิ่นฐานอยู่หนาแน่นแห่งหนึ่งในโลก และจากการตรวจวัดความร้อนรวมถึงการติดตามการเปลี่ยนแปลงทางธรณีในมหาครแห่งนี้ รวมทั้งการปล่อยความร้อนในรูปแก๊สแม่เหล็กเมื่อไม่นานมานี้ มีความเป็นไปได้ว่าในอนาคตอันใกล้ ภูเขาไฟลูกนี้อาจเกิดการประทุครั้งใหญ่ได้ แต่เวลาในการระเบิดนั้นยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด และในปัจจุบัน ยังไม่สามารถทำนายได้
Antonio Costa จากสถาบันธรณีฟิสิกส์และภูเขาไฟแห่งชาติใน Bologna ส่วนหนึ่งของทีมตรวจสอบ supervolcano กล่าวว่า " Campi Flegrei " อยู่ในสถานะวิกฤตในแง่ความน่าจะเป็น เราคาดหวังว่าจะเป็นการปะทุของสิ่งที่เรียกว่า 'violent Strombolian eruption' จากค่อนข้างเล็กจนถึงการปะทุที่รุนแรง อย่างไรก็ตาม มันไม่ง่ายที่จะบอกว่ามีการปะทุที่แน่นอนในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า แต่ในช่วงเวลาที่อยู่ภายใต้การสังเกตการณ์นี้ Campi Flegrei ยังไม่ปะทุ
Monte Nuovo
การปะทุอย่างรุนแรงของ 'violent Strombolian eruption' นั้น จะทำให้หินหลอมเหลวและก๊าซภูเขาไฟระเบิดขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศไม่กี่พันฟุต ซึ่งอาจต้องอพยพผู้คนหลายแสนคน แต่ในบริบทของอดีตของ " Campi Flegrei " มันถือเป็นเหตุการณ์เล็กน้อยเท่านั้น ส่วนการปะทุที่โด่งดังที่สุดของภูเขาไฟคือ การปะทุของ Campanian Ignimbrite เมื่อ 39,000 ปีก่อน
มันคือการระเบิดของภูเขาไฟเป็นการปะทุของภูเขาไฟครั้งใหญ่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (จัดอยู่ในอันดับที่ 7 ในดัชนีการระเบิดของภูเขาไฟ) มันเจาะหินหลอมเหลวประมาณ 300 ลูกบาศก์กม.ขึ้นไปในชั้นบรรยากาศสตราโตสเฟียร์ 70 กม. พร้อมกับซัลเฟอร์ไดออกไซด์ประมาณ 450,000 ตัน เมฆเถ้าลอยไปไกลประมาณ 2,000 กม.ถึงตอนกลางของรัสเซีย ทั้งนี้ การปะทุเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่พื้นที่ส่วนใหญ่ของยุโรปกำลังผ่านช่วงน้ำแข็งที่ยาวนาน และคาดว่าผลที่ตามมาจะทำลายล้างทวีปส่วนใหญ่เป็นเวลาหลายศตวรรษ
สำหรับ " Campi Flegrei " เป็นภาษาอิตาลีมีความหมายว่า “พื้นที่ที่ลุกเป็นไฟ” ภูมิภาคภูเขาไฟแห่งนี้รู้จักในนาม Phlegraean และก็เหมือนกับภูเขาไฟขนาดใหญ่ที่อื่น อย่างเช่นโครงสร้างแนวความร้อนใต้พิภพในอุทยานแห่งชาติ Yellowstone มันไม่ได้มีแค่ปากปล่องภูเขาไฟเพียงอันเดียว แต่มันคือโครงสร้างซับซ้อนขนาดใหญ่ที่ประกอบด้วย 24 ปล่องภูเขาไฟ และทอดตัวอยู่ใต้แผ่นพิภพรวมถึงใต้ทะเลเมดิเตอเรเนียน นอกจากนี้ ยังพบทั้งน้ำพุร้อนและท่อที่พ่นแก๊สร้อน ๆ ออกมาตามแนวภูเขาไฟด้วย
หาก supervolcano ของ Yellowstone ระเบิด มันสามารถทำลายชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐอเมริกา (Cr.ภาพ iStock)
(มุมมองทางอากาศของ Grand Prismatic Spring น้ำพุร้อนที่ใหญ่ที่สุด ที่ Midway Geyser Basin, อุทยานแห่งชาติ Yellowstone ไวโอมิง)
แม้ว่าภูเขาไฟขนาดใหญ่มักเกิดขึ้นโดยปล่องภูเขาไฟ หรือแรงกดดันตามรอยแยกของเปลือกโลก แต่ภูเขาไฟ " Campi Flegrei " มีแรงกดดันที่ว่านี้ทอดผ่านอยู่ใต้เมือง Naples ทางตะวันตกยาวกว่าเจ็ดไมล์
รูปร่างของ Campi Flegrei ในปัจจุบัน ถือกำเนิดขึ้นเมื่อกว่าหนึ่งพันปีที่แล้ว แต่จากประวัติศาสตร์ทางธรณีของภูมิภาคแห่งภูเขาไฟนี้ มันเคยเกิดการระเบิดครั้งใหญ่เมื่อสองแสนปีที่แล้ว ปล่อยเถ้าถ่านปกคลุมท้องฟ้าสีครามให้กลายเป็นสีหม่น ครอบคลุมพื้นที่เกือบทั้งโลก และเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า
“ หิมะภูเขาไฟ ” ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นการระเบิดครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของทวีปยุโรป
ภูเขาไฟแห่งนี้ระเบิดอีกครั้งเมื่อ 35000 และ 12000 ปีที่แล้วตามลำดับ โดยมีการตั้งสมมติฐานกันว่า การระเบิดของภูเขาไฟในยุคนั้น เป็นสาเหตุที่มนุษย์
นีแอนเดอร์ทัลอำลาโลกไป การระเบิดครั้งล่าสุดเกิดขึ้นในปี 1538 แม้จะไม่ใช่การระเบิดที่สร้างความเสียหายมากแต่มันก็กินเวลานานถึงแปดวัน และได้สร้างภูเขาลูกใหม่ขึ้นมาชื่อ Monte Nuovo นับจากวันนั้น มันก็หลับใหลอย่างเงียบ ๆ เป็นเวลากว่าห้าร้อยปี
ทีมนักวิทยาศาสตร์บอกว่า เราอาจมีชีวิตไม่ถึงช่วงที่เกิดการระเบิดครั้งถัดไป แต่ก็ไม่มีความแน่นอนหรือชัดเจนที่จะยืนยันได้ว่ามันจะระเบิดอีกครั้งเมื่อไหร่ ดังนั้น การเฝ้าสังเกตุ ติดตาม และการศึกษาทางธรณีวิทยาจึงเป็นส่วนสำคัญที่จะให้เรารู้จักภูเขาไฟลูกนี้มากขึ้น
La Garita Caldera จากการปะทุของภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่เกิดขึ้นในเทือกเขา San Juan ของโคโลราโด เมื่อประมาณ 28 ล้านปีก่อน
ซึ่งขับหินหลอมเหลวออกไป 5,000 ลูกบาศก์กม. มีความกว้างประมาณ 22 ไมล์และยาว 62 ไมล์ และทำให้เกิดธรณีวิทยาที่โดดเด่นที่สุด
ต่อมา ในปี 2018 ทีมนักวิจัยได้ตรวจสอบคุณสมบัติทางเคมีของหินภูเขาไฟและกําซจากการปะทุของประวัติศาสตร์อย่างละเอียดอีกครั้ง โดยใช้ข้อมูลที่
จะสร้างแบบจำลองคอมพิวเตอร์เพื่อจำลองสภาพที่นำไปสู่การระเบิด เพื่อให้เข้าใจวงจรการตื่นและการนอนหลับของภูเขาไฟที่ก่อให้เกิดหายนะเหล่านี้ ซึ่งการศึกษาของพวกเขาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Science Advances ในปีเดียวกันระบุว่า ภูเขาไฟไม่ได้กำลังมุ่งหน้าไปสู่หายนะโดยเร็วแต่อย่างใด
นักวิจัยได้ตรวจสอบระบบอย่างแข็งขัน และเข้าใจสัญญาณที่อาจส่งออกมาเหมือนกำลังรอการปะทุนี้ และหากเกิดการระเบิดครั้งใหญ่ขึ้นจริง มันจะเกิดขึ้นในอนาคตอันไกลมากๆ อาจเป็นหลายพันปีหรือนานกว่านั้น อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านความเสี่ยงที่มีอยู่ส่วนใหญ่เห็นพ้องกันว่า " supervolcanos "
20 แห่งที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วโลก เป็นภัยคุกคามทางธรรมชาติที่ก่อให้เกิดความน่าจะเป็นสูงสุดในการสูญพันธุ์ของมนุษย์
Supervolcanoes นั้นสามารถเกิดขึ้นได้ในหลายสถานการณ์ อย่างเช่น ใน Yellowstone อาจเกิดจากจุดร้อนของมวลแมกมาที่เพิ่มขึ้นจากส่วนลึกภายในโลก จุดร้อนทำให้เกิดเส้นทางของภูเขาไฟในขณะที่แผ่นเปลือกโลกเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ เคลื่อนตัวผ่านรอยแยกส่วนใหญ่ที่หยุดนิ่ง เช่น ภูเขาไฟที่ทอดยาวเป็นลูกโซ่ของหมู่เกาะฮาวาย และการปะทุของ supervolcano มีความสามารถมากกว่าการหลั่งไหลปกติหลายพันเท่า โดยการปะทุด้วย Volcanic Explosivity Index (VEI) ที่ 8 เป็นค่าดัชนีการระเบิดของภูเขาไฟที่บันทึกไว้มากที่สุด
Volcano Tambora เรียกอีกอย่างว่า Mount Tamboro ภูเขาไฟบนชายฝั่งทางเหนือของเกาะ Sumbawa ประเทศอินโดนีเซีย
ในเดือนเมษายน 1815 ได้ระเบิดจากการปะทุของภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
supervolcano : มหาภูเขาไฟล้างโลก
ตอนนี้ มีผู้คนประมาณครึ่งล้านอาศัยอยู่ในแอ่งภูเขาไฟที่มีความยาว 7 ไมล์ของ Campi Flegrei ที่เกิดจากการปะทุครั้งใหญ่เมื่อ 200,000, 39,000, 35,000 และ 12,000 ปีก่อน ซึ่งที่ผ่านมา 500 ปี Campi Flegrei อยู่อย่างเงียบสงบและไม่มีการปะทุเลยตั้งแต่ปี 1538 แม้ว่าก่อนหน้าจะมีเหตุการณ์ปะทุเล็กๆน้อยๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาประวัติศาสตร์ ส่งผลให้เกิดการก่อตัวของภูเขาใหม่ที่ชื่อ " Monte Nuovo " และทุกวันนี้ ไม่มีสัญญาณของการตื่นขึ้นของกิจกรรม แต่เหตุการณ์ล่าสุดชี้ให้เห็นว่าช่วงเวลาแห่งความสงบนี้อาจสิ้นสุดลง
จากสัญญาณมากมายของการมีอยู่ของแมกมาใต้เปลือกโลก ที่ยังคงทำงานอยู่ในรูปแบบของ solfataras (ปล่องภูเขาไฟตื้นที่มีการพ่นไอน้ำกำมะถัน) น้ำพุร้อนอุ่น การปล่อยก๊าซภายในแอ่งภูเขาไฟ (caldera) ทำให้ในเดือนธันวาคม 2016 รัฐบาลอิตาลีได้เพิ่มระดับการคุกคามของภูเขาไฟจากระดับสีเขียวเป็นระดับสีเหลือง
ภาพถ่ายโดย CHRISTIAN JUNGEBLODT/LAIF/REDUX
ทีมนักวิทยาศาสตร์แห่งสถาบันวิจัยแห่งชาติอิตาลีด้านธรณีฟิสิกส์ในกรุงโรม ระบุว่า ภูเขาไฟลูกนี้ตั้งอยู่ใน Naples เมืองที่มีประชากรตั้งถิ่นฐานอยู่หนาแน่นแห่งหนึ่งในโลก และจากการตรวจวัดความร้อนรวมถึงการติดตามการเปลี่ยนแปลงทางธรณีในมหาครแห่งนี้ รวมทั้งการปล่อยความร้อนในรูปแก๊สแม่เหล็กเมื่อไม่นานมานี้ มีความเป็นไปได้ว่าในอนาคตอันใกล้ ภูเขาไฟลูกนี้อาจเกิดการประทุครั้งใหญ่ได้ แต่เวลาในการระเบิดนั้นยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด และในปัจจุบัน ยังไม่สามารถทำนายได้
Antonio Costa จากสถาบันธรณีฟิสิกส์และภูเขาไฟแห่งชาติใน Bologna ส่วนหนึ่งของทีมตรวจสอบ supervolcano กล่าวว่า " Campi Flegrei " อยู่ในสถานะวิกฤตในแง่ความน่าจะเป็น เราคาดหวังว่าจะเป็นการปะทุของสิ่งที่เรียกว่า 'violent Strombolian eruption' จากค่อนข้างเล็กจนถึงการปะทุที่รุนแรง อย่างไรก็ตาม มันไม่ง่ายที่จะบอกว่ามีการปะทุที่แน่นอนในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า แต่ในช่วงเวลาที่อยู่ภายใต้การสังเกตการณ์นี้ Campi Flegrei ยังไม่ปะทุ
มันคือการระเบิดของภูเขาไฟเป็นการปะทุของภูเขาไฟครั้งใหญ่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (จัดอยู่ในอันดับที่ 7 ในดัชนีการระเบิดของภูเขาไฟ) มันเจาะหินหลอมเหลวประมาณ 300 ลูกบาศก์กม.ขึ้นไปในชั้นบรรยากาศสตราโตสเฟียร์ 70 กม. พร้อมกับซัลเฟอร์ไดออกไซด์ประมาณ 450,000 ตัน เมฆเถ้าลอยไปไกลประมาณ 2,000 กม.ถึงตอนกลางของรัสเซีย ทั้งนี้ การปะทุเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่พื้นที่ส่วนใหญ่ของยุโรปกำลังผ่านช่วงน้ำแข็งที่ยาวนาน และคาดว่าผลที่ตามมาจะทำลายล้างทวีปส่วนใหญ่เป็นเวลาหลายศตวรรษ
สำหรับ " Campi Flegrei " เป็นภาษาอิตาลีมีความหมายว่า “พื้นที่ที่ลุกเป็นไฟ” ภูมิภาคภูเขาไฟแห่งนี้รู้จักในนาม Phlegraean และก็เหมือนกับภูเขาไฟขนาดใหญ่ที่อื่น อย่างเช่นโครงสร้างแนวความร้อนใต้พิภพในอุทยานแห่งชาติ Yellowstone มันไม่ได้มีแค่ปากปล่องภูเขาไฟเพียงอันเดียว แต่มันคือโครงสร้างซับซ้อนขนาดใหญ่ที่ประกอบด้วย 24 ปล่องภูเขาไฟ และทอดตัวอยู่ใต้แผ่นพิภพรวมถึงใต้ทะเลเมดิเตอเรเนียน นอกจากนี้ ยังพบทั้งน้ำพุร้อนและท่อที่พ่นแก๊สร้อน ๆ ออกมาตามแนวภูเขาไฟด้วย
รูปร่างของ Campi Flegrei ในปัจจุบัน ถือกำเนิดขึ้นเมื่อกว่าหนึ่งพันปีที่แล้ว แต่จากประวัติศาสตร์ทางธรณีของภูมิภาคแห่งภูเขาไฟนี้ มันเคยเกิดการระเบิดครั้งใหญ่เมื่อสองแสนปีที่แล้ว ปล่อยเถ้าถ่านปกคลุมท้องฟ้าสีครามให้กลายเป็นสีหม่น ครอบคลุมพื้นที่เกือบทั้งโลก และเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า
“ หิมะภูเขาไฟ ” ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นการระเบิดครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของทวีปยุโรป
ภูเขาไฟแห่งนี้ระเบิดอีกครั้งเมื่อ 35000 และ 12000 ปีที่แล้วตามลำดับ โดยมีการตั้งสมมติฐานกันว่า การระเบิดของภูเขาไฟในยุคนั้น เป็นสาเหตุที่มนุษย์
นีแอนเดอร์ทัลอำลาโลกไป การระเบิดครั้งล่าสุดเกิดขึ้นในปี 1538 แม้จะไม่ใช่การระเบิดที่สร้างความเสียหายมากแต่มันก็กินเวลานานถึงแปดวัน และได้สร้างภูเขาลูกใหม่ขึ้นมาชื่อ Monte Nuovo นับจากวันนั้น มันก็หลับใหลอย่างเงียบ ๆ เป็นเวลากว่าห้าร้อยปี
ทีมนักวิทยาศาสตร์บอกว่า เราอาจมีชีวิตไม่ถึงช่วงที่เกิดการระเบิดครั้งถัดไป แต่ก็ไม่มีความแน่นอนหรือชัดเจนที่จะยืนยันได้ว่ามันจะระเบิดอีกครั้งเมื่อไหร่ ดังนั้น การเฝ้าสังเกตุ ติดตาม และการศึกษาทางธรณีวิทยาจึงเป็นส่วนสำคัญที่จะให้เรารู้จักภูเขาไฟลูกนี้มากขึ้น
จะสร้างแบบจำลองคอมพิวเตอร์เพื่อจำลองสภาพที่นำไปสู่การระเบิด เพื่อให้เข้าใจวงจรการตื่นและการนอนหลับของภูเขาไฟที่ก่อให้เกิดหายนะเหล่านี้ ซึ่งการศึกษาของพวกเขาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Science Advances ในปีเดียวกันระบุว่า ภูเขาไฟไม่ได้กำลังมุ่งหน้าไปสู่หายนะโดยเร็วแต่อย่างใด
นักวิจัยได้ตรวจสอบระบบอย่างแข็งขัน และเข้าใจสัญญาณที่อาจส่งออกมาเหมือนกำลังรอการปะทุนี้ และหากเกิดการระเบิดครั้งใหญ่ขึ้นจริง มันจะเกิดขึ้นในอนาคตอันไกลมากๆ อาจเป็นหลายพันปีหรือนานกว่านั้น อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านความเสี่ยงที่มีอยู่ส่วนใหญ่เห็นพ้องกันว่า " supervolcanos "
20 แห่งที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วโลก เป็นภัยคุกคามทางธรรมชาติที่ก่อให้เกิดความน่าจะเป็นสูงสุดในการสูญพันธุ์ของมนุษย์
Supervolcanoes นั้นสามารถเกิดขึ้นได้ในหลายสถานการณ์ อย่างเช่น ใน Yellowstone อาจเกิดจากจุดร้อนของมวลแมกมาที่เพิ่มขึ้นจากส่วนลึกภายในโลก จุดร้อนทำให้เกิดเส้นทางของภูเขาไฟในขณะที่แผ่นเปลือกโลกเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ เคลื่อนตัวผ่านรอยแยกส่วนใหญ่ที่หยุดนิ่ง เช่น ภูเขาไฟที่ทอดยาวเป็นลูกโซ่ของหมู่เกาะฮาวาย และการปะทุของ supervolcano มีความสามารถมากกว่าการหลั่งไหลปกติหลายพันเท่า โดยการปะทุด้วย Volcanic Explosivity Index (VEI) ที่ 8 เป็นค่าดัชนีการระเบิดของภูเขาไฟที่บันทึกไว้มากที่สุด