วิตามินอี เป็นอีกหนึ่งในวิตามินที่สำคัญของคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ มาดูไปพร้อมกันดีกว่า จริง ๆ แล้ว วิตามินอีนั้นมีประโยชน์ต่อคุณแม่ตั้งครรภ์อย่างไรบ้าง? และสามารถช่วยเรื่องของพัฒนาการทางร่างกายของทารกในครรภ์ได้มากน้อยแค่ไหน ไปดูกัน
วิตามินอี คือ?
Vitamin E หรือ วิตามินอี เป็นวิตามินที่สามารถละลายได้ในไขมัน พบในอาหารหลากหลายชนิด นอกจากนี้ยังมีอาหารเสริมที่ช่วยเสริมวิตามินอีอีกด้วย ส่วนใหญ่แล้วจะใช้ในผู้ที่มีภาวะขาดวิตามินอี ซึ่งหาได้ยาก แต่อาจเกิดขึ้นได้ในผู้ที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรมบางอย่าง และในทารกที่คลอดก่อนกำหนดที่มีน้ำหนักตัวต่ำมาก
ประโยชน์ของวิตามินอี มีอะไรบ้าง?
วิตามินอีเป็นวิตามินที่สำคัญที่จำเป็นสำหรับการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายอย่างเหมาะสม อีกทั้งยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งหมายความว่าช่วยชะลอกระบวนการที่สร้างความเสียหายให้กับเซลล์ นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ต่อร่างกายอีกมากมาย ดังต่อไปนี้
- ป้องกันโรคอัลไซเมอร์ได้ โดยผู้ที่ป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์อาจทานวิตามินอีควบคู่กับยาต้านอัลไซเมอร์บางชนิดเพื่อทำให้ความจำเสื่อมช้าลงได้ แต่ทั้งนี้จะต้องอยู่ในดุลพินิจของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
- ลดระดับโปรตีนในเลือด เพื่อป้องกันความผิดปกติของเลือดที่เรียกว่า เบต้าธาลัสซีเมีย (beta-thalassemia)
- ลดอาการปวดท้องประจำเดือน โดยการทานวิตามินเป็นเวลา 2 วันก่อนการเป็นประจำเดือนและ 3 วันหลังเป็นประจำเดือนจะช่วยลดอาการปวดท้องได้
- ช่วยเพิ่มอัตราการตั้งครรภ์ของผู้ชายที่มีภาวะมีบุตรยา จะช่วยเพิ่มอัตราความสำเร็จมากขึ้น
- ลดอาการของกลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน (Premenstrual Syndrome : PMS) ที่เป็นเรื่องของความวิตกกังวล ความอยากอาหาร และภาวะซึมเศร้าในผู้หญิงบางคนที่อยู่ในช่วงก่อนมีประจำเดือน
หากได้รับวิตามินอีจำนวนมากเกินไปจะส่งผลอย่างไร?
การทานวิตามินเสริมไม่ว่าจะเป็นอาหารเสริมเพื่อสุขภาพ หรืออาหารที่มีวิตามินอีในปริมาณที่มากกว่าความจำเป็นของร่างกายที่ต้องการในแต่ละวันอาจส่งผลทำให้เกิดผลข้างเคียงดังต่อไปนี้
- คลื่นไส้
- ท้องร่วง
- ปวดท้อง
- อ่อนเพลีย อ่อนแรง
- ปวดศีรษะ
- ตาพร่ามัว
- มีผื่นขึ้น
- พบรอยช้ำ และมีเลือดออก
ภาวะขาดวิตามินอี สามารถเกิดขึ้นได้หรือไม่?
เนื่องจากวิตามินอีสามารถพบได้ในอาหารทั่วไปอย่างเช่นผัก ผลไม้ต่าง ๆ และสามารถทานอาหารเสริมวิตามินอีได้ ภาวะขาดวิตามินอีนั้นจึงเป็นเรื่องที่พบน้อย แต่สำหรับผู้ที่มีภาวะขนาดวิตามินอีกนั้น จะพบว่ามีความผอดปกติของระบบย่อยอาหาร หรือไม่สามารถดูดซึมไขมันได้อย่างเหมาะสม ซึ่งมีสาเหตุมาจากภาวะตับอ่อนอักเสบ โรคซิติกไฟโบรซิส () และโรค celiac โดยโรคเหล่านี้เป็นสัญญาณของโรคร้ายอื่น ๆ ที่จะตามมา ได้แก่
- ความผิดปกติของจอตา (Retinopathy) เป็นความเสียหายของเรตินาของดวงตาที่อาจทำให้การมองเห็นบกพร่อง
- ปลายประสาทอักเสบ (Peripheral Neuropathy ) เป็นความเสียหายของเส้นประสาทส่วนปลาย มักจะอยู่ที่มือหรือเท้า ทำให้อ่อนแรงหรือเจ็บปวด
- โรคสูญเสียการทรงตัว (Ataxia) อาการเดินเซ ซึ่งเกิดจากความไม่สมดุลและการไม่ประสานงานกันของอวัยวะที่เคลื่อนไหวของแขนและขา ทำให้เดินได้ลำบาก
- การทำงานของภูมิคุ้มกันลดลง
วิตามินอี มีประโยชน์ต่อคนท้องอย่างไรบ้าง?
สำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์นั้น วิตามินอีถือเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ละลายในไขมันได้ โดยวิตามินอีมีส่วนช่วยเสริมสร้าง ป้องกัน และบำรุงรักษาร่างกายของคุณแม่ตั้งครรภ์ดังต่อไปนี้
- ช่วยให้ร่างกายของคุณแม่สร้าง และรักษาเซลล์เม็ดเลือดแดงที่บริเวณผิวหนัง และดวงตาให้มีความแข็งแรงมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพด้วย
- ช่วยปกป้องเซลล์ของร่างกายจากความเสียหายจากอนุมูลอิสระที่เป็นอันตรายอย่าง สารอนุมูลอิสระ (Reactive oxygen species : ROS) รวมถึงยังมีส่วน - ช่วยในการสังเคราะห์คอลลาเจนและเมแทบอลิซึมของธาตุเหล็กและโฟเลตอีกด้วย
- ช่วยป้องกันความเครียดจากปฏิกิริยาออกซิเดชัน ซึ่งเป็นความไม่สมดุลของปริมาณอนุมูลอิสระที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของคุณแม่ และการต่อต้านอนุมูลอิสระภายในร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันการพัฒนาภาวะการตั้งครรภ์สู่ภาวะครรภ์เป็นพิษ ความเสี่ยงของการจำกัดการเจริญเติบโตของมดลูก และภาวะน้ำเดิน หรือการคลอดก่อนกำหนด (PROM)
- ช่วยลดโอกาสที่จะทารกในครรภ์จะเป็นโรคหอบหืด และมีปัญหาทางระบบทางเดินหายใจหลังจากคลอดได้
ร่างกายคุณแม่ตั้งครรภ์ต้องการวิตามินอีเท่าไหร่?
แม้ว่าจะเป็นสารอาหารที่จำเป็นสำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ ที่ช่วยในการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์แล้ว แต่สิ่งที่สำคัญคือการรับประทานวิตามินอีเพื่อสุขภาพที่ดี ซึ่งนั่นหมายความว่าคุณไม่ควรที่จะทานมาก หรือน้อยจนเกินไป โดยปริมาณที่คุณหมอแนะนำให้กับคุณแม่ตั้งครรภ์คือ 3 มิลลิกรัมต่อวัน และคุณแม่ไม่ต้องกังวลเรื่องของการทานอาหารและจะได้รับวิตามินอีในจำนวนที่มากจนเกินไป เพราะการได้รับวิตามินอีในปริมาณที่สูงจากอาหารเพียงอย่างเดียวเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก
คนท้องสามารถทานอาหารเสริมวิตามินอี ได้ไหม?
วิตามินอีกนั้นถือว่าปลอดภัยสำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ ทั้งช่วยเสริมสร้างร่างกายของคุณแม่ให้มีสุขภาพที่แข็งแรงแล้ว ยังมีส่วนช่วยในพัฒนาการของทารกในครรภ์อีกด้วย แต่ถึงอย่างไรก็ตามการทานอาหารเสริมวิตามินอีนั้นอาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ได้ในช่วงการตั้งครรภ์ระยะแรก หรือช่วงไตรมาสแรก ดังนั้นคุณแม่ไม่ควรรับประทานอาหารเสริมวิตามินอีในช่วง 8 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ ทั้งนี้คุณแม่ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หรือแพทย์ที่ดูแลครรภ์ก่อนทานเสริม เพื่อความปลอดภัยของตนเองและทารกในครรภ์นะคะ
เป็นอย่างไรกันบ้างคะ สำหรับประโยชน์ของวิตามินอี สามารถหาทานได้ง่าย และยังมีประโยชน์ต่อร่างกายของคุณแม่และทารกในครรภ์อีกด้วย แต่ถึงอย่างไรก็ตาม หากคุณแม่ท่านใดต้องการที่จะทานอาหารเสริมวิตามินอีแล้วละก็ อย่าลืมปรึกษาแพทย์ที่ดูแลครรภ์ก่อนนะคะ เพราะไม่อยากงั้นอาจส่งผลอันตรายต่อตัวคุณแม่และทารกน้อยในครรภ์ได้
https://th.theasianparent.com/vitamin-e-in-pregnancy
วิตามินอี ดีต่อคุณแม่ตั้งครรภ์อย่างไร? อันตรายต่อทารกในครรภ์หรือไม่?
วิตามินอี คือ?
Vitamin E หรือ วิตามินอี เป็นวิตามินที่สามารถละลายได้ในไขมัน พบในอาหารหลากหลายชนิด นอกจากนี้ยังมีอาหารเสริมที่ช่วยเสริมวิตามินอีอีกด้วย ส่วนใหญ่แล้วจะใช้ในผู้ที่มีภาวะขาดวิตามินอี ซึ่งหาได้ยาก แต่อาจเกิดขึ้นได้ในผู้ที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรมบางอย่าง และในทารกที่คลอดก่อนกำหนดที่มีน้ำหนักตัวต่ำมาก
ประโยชน์ของวิตามินอี มีอะไรบ้าง?
วิตามินอีเป็นวิตามินที่สำคัญที่จำเป็นสำหรับการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายอย่างเหมาะสม อีกทั้งยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งหมายความว่าช่วยชะลอกระบวนการที่สร้างความเสียหายให้กับเซลล์ นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ต่อร่างกายอีกมากมาย ดังต่อไปนี้
- ป้องกันโรคอัลไซเมอร์ได้ โดยผู้ที่ป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์อาจทานวิตามินอีควบคู่กับยาต้านอัลไซเมอร์บางชนิดเพื่อทำให้ความจำเสื่อมช้าลงได้ แต่ทั้งนี้จะต้องอยู่ในดุลพินิจของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
- ลดระดับโปรตีนในเลือด เพื่อป้องกันความผิดปกติของเลือดที่เรียกว่า เบต้าธาลัสซีเมีย (beta-thalassemia)
- ลดอาการปวดท้องประจำเดือน โดยการทานวิตามินเป็นเวลา 2 วันก่อนการเป็นประจำเดือนและ 3 วันหลังเป็นประจำเดือนจะช่วยลดอาการปวดท้องได้
- ช่วยเพิ่มอัตราการตั้งครรภ์ของผู้ชายที่มีภาวะมีบุตรยา จะช่วยเพิ่มอัตราความสำเร็จมากขึ้น
- ลดอาการของกลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน (Premenstrual Syndrome : PMS) ที่เป็นเรื่องของความวิตกกังวล ความอยากอาหาร และภาวะซึมเศร้าในผู้หญิงบางคนที่อยู่ในช่วงก่อนมีประจำเดือน
หากได้รับวิตามินอีจำนวนมากเกินไปจะส่งผลอย่างไร?
การทานวิตามินเสริมไม่ว่าจะเป็นอาหารเสริมเพื่อสุขภาพ หรืออาหารที่มีวิตามินอีในปริมาณที่มากกว่าความจำเป็นของร่างกายที่ต้องการในแต่ละวันอาจส่งผลทำให้เกิดผลข้างเคียงดังต่อไปนี้
- คลื่นไส้
- ท้องร่วง
- ปวดท้อง
- อ่อนเพลีย อ่อนแรง
- ปวดศีรษะ
- ตาพร่ามัว
- มีผื่นขึ้น
- พบรอยช้ำ และมีเลือดออก
ภาวะขาดวิตามินอี สามารถเกิดขึ้นได้หรือไม่?
เนื่องจากวิตามินอีสามารถพบได้ในอาหารทั่วไปอย่างเช่นผัก ผลไม้ต่าง ๆ และสามารถทานอาหารเสริมวิตามินอีได้ ภาวะขาดวิตามินอีนั้นจึงเป็นเรื่องที่พบน้อย แต่สำหรับผู้ที่มีภาวะขนาดวิตามินอีกนั้น จะพบว่ามีความผอดปกติของระบบย่อยอาหาร หรือไม่สามารถดูดซึมไขมันได้อย่างเหมาะสม ซึ่งมีสาเหตุมาจากภาวะตับอ่อนอักเสบ โรคซิติกไฟโบรซิส () และโรค celiac โดยโรคเหล่านี้เป็นสัญญาณของโรคร้ายอื่น ๆ ที่จะตามมา ได้แก่
- ความผิดปกติของจอตา (Retinopathy) เป็นความเสียหายของเรตินาของดวงตาที่อาจทำให้การมองเห็นบกพร่อง
- ปลายประสาทอักเสบ (Peripheral Neuropathy ) เป็นความเสียหายของเส้นประสาทส่วนปลาย มักจะอยู่ที่มือหรือเท้า ทำให้อ่อนแรงหรือเจ็บปวด
- โรคสูญเสียการทรงตัว (Ataxia) อาการเดินเซ ซึ่งเกิดจากความไม่สมดุลและการไม่ประสานงานกันของอวัยวะที่เคลื่อนไหวของแขนและขา ทำให้เดินได้ลำบาก
- การทำงานของภูมิคุ้มกันลดลง
วิตามินอี มีประโยชน์ต่อคนท้องอย่างไรบ้าง?
สำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์นั้น วิตามินอีถือเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ละลายในไขมันได้ โดยวิตามินอีมีส่วนช่วยเสริมสร้าง ป้องกัน และบำรุงรักษาร่างกายของคุณแม่ตั้งครรภ์ดังต่อไปนี้
- ช่วยให้ร่างกายของคุณแม่สร้าง และรักษาเซลล์เม็ดเลือดแดงที่บริเวณผิวหนัง และดวงตาให้มีความแข็งแรงมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพด้วย
- ช่วยปกป้องเซลล์ของร่างกายจากความเสียหายจากอนุมูลอิสระที่เป็นอันตรายอย่าง สารอนุมูลอิสระ (Reactive oxygen species : ROS) รวมถึงยังมีส่วน - ช่วยในการสังเคราะห์คอลลาเจนและเมแทบอลิซึมของธาตุเหล็กและโฟเลตอีกด้วย
- ช่วยป้องกันความเครียดจากปฏิกิริยาออกซิเดชัน ซึ่งเป็นความไม่สมดุลของปริมาณอนุมูลอิสระที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของคุณแม่ และการต่อต้านอนุมูลอิสระภายในร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันการพัฒนาภาวะการตั้งครรภ์สู่ภาวะครรภ์เป็นพิษ ความเสี่ยงของการจำกัดการเจริญเติบโตของมดลูก และภาวะน้ำเดิน หรือการคลอดก่อนกำหนด (PROM)
- ช่วยลดโอกาสที่จะทารกในครรภ์จะเป็นโรคหอบหืด และมีปัญหาทางระบบทางเดินหายใจหลังจากคลอดได้
ร่างกายคุณแม่ตั้งครรภ์ต้องการวิตามินอีเท่าไหร่?
แม้ว่าจะเป็นสารอาหารที่จำเป็นสำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ ที่ช่วยในการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์แล้ว แต่สิ่งที่สำคัญคือการรับประทานวิตามินอีเพื่อสุขภาพที่ดี ซึ่งนั่นหมายความว่าคุณไม่ควรที่จะทานมาก หรือน้อยจนเกินไป โดยปริมาณที่คุณหมอแนะนำให้กับคุณแม่ตั้งครรภ์คือ 3 มิลลิกรัมต่อวัน และคุณแม่ไม่ต้องกังวลเรื่องของการทานอาหารและจะได้รับวิตามินอีในจำนวนที่มากจนเกินไป เพราะการได้รับวิตามินอีในปริมาณที่สูงจากอาหารเพียงอย่างเดียวเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก
คนท้องสามารถทานอาหารเสริมวิตามินอี ได้ไหม?
วิตามินอีกนั้นถือว่าปลอดภัยสำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ ทั้งช่วยเสริมสร้างร่างกายของคุณแม่ให้มีสุขภาพที่แข็งแรงแล้ว ยังมีส่วนช่วยในพัฒนาการของทารกในครรภ์อีกด้วย แต่ถึงอย่างไรก็ตามการทานอาหารเสริมวิตามินอีนั้นอาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ได้ในช่วงการตั้งครรภ์ระยะแรก หรือช่วงไตรมาสแรก ดังนั้นคุณแม่ไม่ควรรับประทานอาหารเสริมวิตามินอีในช่วง 8 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ ทั้งนี้คุณแม่ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หรือแพทย์ที่ดูแลครรภ์ก่อนทานเสริม เพื่อความปลอดภัยของตนเองและทารกในครรภ์นะคะ
เป็นอย่างไรกันบ้างคะ สำหรับประโยชน์ของวิตามินอี สามารถหาทานได้ง่าย และยังมีประโยชน์ต่อร่างกายของคุณแม่และทารกในครรภ์อีกด้วย แต่ถึงอย่างไรก็ตาม หากคุณแม่ท่านใดต้องการที่จะทานอาหารเสริมวิตามินอีแล้วละก็ อย่าลืมปรึกษาแพทย์ที่ดูแลครรภ์ก่อนนะคะ เพราะไม่อยากงั้นอาจส่งผลอันตรายต่อตัวคุณแม่และทารกน้อยในครรภ์ได้
https://th.theasianparent.com/vitamin-e-in-pregnancy