บันทึกชีวิตโสด 8 ปี

บันทึกฉบับนี้เป็นการเรียบเรียงความคิด อารมณ์ และความรู้สึกของผมที่โสดเป็นเวลา 8 ปี ผมเขียนไว้เผื่อมีใครสักคนที่อยากรู้จักชีวิต และตัวตนของผมมากขึ้นได้เข้ามาอ่าน และเขียนไว้เผื่อมีเพื่อนสมาชิกในพันทิปได้เข้ามาแบ่งปันความคิดความรู้สึก เหตุผลที่ผมเลือกเขียนลงพันทิป เพราะกระทู้แรกที่ผมเขียนลงในพันทิปก็คือปีแรกที่ผมโสด  และเว็บพันทิปไม่ค่อยมีใครรู้จักหรือสนใจผมเหมือนช่องทางการสื่อสารอื่น 

          ปีนี้ผมอายุ 35 ปี ถ้าย้อนกลับไปตอนผมอายุ 21 ปี ผมกำลังเรียนอยู่ปี 2 เป็นช่วงชีวิตที่ผมมีความสุขมาก ผมเริ่มออกจากเฟรชชี่เป็นรุ่นพี่ปี 2 มีทั้งรุ่นพี่คอยเอ็นดู และน้องใหม่ให้ดูแล ผมมีเพื่อนผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่(ความจริงคณะผมก็มีแต่ผู้หญิง) ผมรู้จักผู้หญิงคนหนึ่ง เธอเป็นเพื่อนของเพื่อน ที่คอยมาติวหนังสือให้พวกเราในกลุ่ม นานเข้าเธอก็แทบกลายจะเป็นหัวหน้าแก๊ง พวกเราสนิทกันจากการติวหนังสือ แต่ผมจะพิเศษหน่อยเพราะผมเป็นผู้ชายคนเดียวในกลุ่มที่มีหน้าที่ไปส่งเธอกลับบ้านเวลาที่เราติวหนังสือดึกๆ เพราะเธอไม่ได้อยู่หอเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ เธอมีบ้านอยู่ห่างจากมหาวิทยาลัยราว 3 กิโลฯ และเป็น 3 กิโลฯที่ค่อนข้างเปลี่ยว 

          ความสัมพันธ์เราพัฒนาขึ้นเรื่อยๆจากเพื่อนติวหนังสือ หัวหน้าแก๊ง เพื่อนส่งเพื่อน เพื่อนกินข้าว เพื่อนคุยโทรศัพท์ เพื่อนที่ซื้อของให้กัน จนเริ่มรู้สึกมากกว่าเพื่อน ในเวลาที่ผมรู้สึกมากกว่าเพื่อน ผมพยายามออกห่างหนีหน้า ในตอนนั้นผมรู้สึกสนุกกับการมีเพื่อนมากกว่ามีแฟน เพราะผมรู้สึกว่าถ้าผมมีแฟน เพื่อน รุ่นพี่ รุ่นน้องก็จะเริ่มหมดความสำคัญและหายไป แต่ผมก็หนีไม่พ้น เธอมาทวงถามว่าผมเป็นอะไร? ทำไมไม่เหมือนเดิม วันนั้นเราจึงได้บอกความรู้สึกของกันและกัน และเราตัดสินใจร่วมกันว่าเราจะไม่หนี เพราะเราเชื่อว่าความสัมพันธ์นี้มันจะไม่ยาวนาน  สุดท้ายเราจะเบื่อกันและกัน เราคบกันเหมือนไม่คบ เพราะเราไม่ได้ตั้งใจจะคบกันตั้งแต่แรก ทุกอย่างมันพัฒนาไปตามเวลา เราให้อิสระแก่กัน แต่ผมน่าจะได้อิสระมากกว่า ผมแทบจะใช้ชีวิตเหมือนเดิม เป็นตัวของตัวเอง มีเพื่อนเยอะอย่างไรก็ยังเยอะอย่างนั้น ผมมีเวลาให้เพื่อนมากกว่าเธอ ในความสัมพันธ์ของเราความรู้สึกผมคงที่ แต่เธอมากขึ้นทุกวัน และเข้ามามีความสำคัญในชีวิตผมเรื่อยๆ ทั้งเรื่องการเรียน การใช้ชีวิต เสื้อผ้า หน้าผม การแต่งตัว แม้แต่เรื่องสุขภาพการกินเธอเข้ามาดูแลทั้งหมด ความสัมพันธ์ของเราเป็นอย่างนี้จนกระทั้งปี 4 ที่เธอและเพื่อนผมเรียนจบ แต่ผมยังเรียนไม่จบ

          เมื่อผมเรียนไม่จบตามเพื่อนคนอื่น ชีวิตผมก็เริ่มเปลี่ยนไป เริ่มไม่สนุก เพื่อนเริ่มไม่ค่อยมี เครียดกับการเรียนเพราะอยากจบ ความสุขที่เคยมีก็น้อยลง ความเหงา การลดทอนคุณค่า และดูถูกตัวเองก็มากขึ้น ช่วงนั้นเธอจึงเป็นความหวังและบุคคลสำคัญเพียงคนเดียวในชีวิตผม เธอดูแลผมมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการเรียน การสอบ แม้เธอจะทำงานอยู่กรุงเทพฯ แต่เสาร์-อาทิตย์เธอจะกลับบ้านเพื่อมาติวหนังสือให้ผมที่บ้านเธอ เวลานั้นผมไปบ้านเธอบ่อยขึ้น ผมสนิทสนมกับครัวครอบเธอมากขึ้น  สุดท้ายผมเรียนจบได้เพราะเธอ เพราะเธอจริงๆ ไม่มีเธอคอยให้กำลังใจ และคอยติวหนังสือให้ ผมไม่มีทางเรียนจบมหาวิทยาลัยแน่ๆ

          ทันทีที่ผมเรียนจบผมก็เรียนต่อ เธอได้กลับมาทำงานที่บ้านเกิดใกล้มหาวิทยาลัย ส่วนผมไปใช้ชีวิตที่กรุงเทพฯ ชีวิตของเราช่วงนี้สวนทางกันอย่างสิ้นเชิง ผมหลงกรุงเทพฯ ผมอยากเรียน อยากทำงาน และอยากใช้ชีวิตที่กรุงเทพฯ แต่เธออยากมีครอบครัว อยากมีลูก และอยากกลับไปใช้ชีวิตที่บ้านเกิด ในตอนแรกเหมือนเธอจะยอมมาใช้ชีวิตในกรุงเทพฯกับผมด้วยการเรียนต่อปริญญาโท เธอไปๆมาๆหาผมที่กรุงเทพฯได้สักพัก เธอก็เลิกล้มความตั้งใจที่จะเรียนต่อ เพราะเธอเคยมาใช้ชีวิตและทำงานที่กรุงเทพฯมาแล้ว เธอเบื่อกรุงเทพฯ และงานใหม่ของเธอก็อยู่ใกล้บ้าน ผมจึงเป็นฝ่ายต้องไปหาเธอที่บ้าน เมื่อผมไปหาเธอเราจะไปอยู่ด้วยกันที่บ้านพี่สาวของเธอ ผมไปกลับระหว่างกรุงเทพฯและบ้านพี่สาวเธออยู่เกือบปี จนชาวบ้านเริ่มตั้งคำถามว่าเราเป็นอะไรกัน เพื่อหยุดคำถามของชาวบ้าน เราจึงตกลงจะหมั้นกัน

          
          แต่ชีวิตคนเรามันถึงเวลาต้องร้างลา เรื่องง่ายๆก็ไม่ง่าย จากเรื่องเล็กๆแค่หมั้นหมายกันกลายเป็นเรื่องใหญ่ กลายเป็นเรื่องที่เราต้องแต่งงานกัน และจากเรื่องแต่งงานบานปลายกลายเป็นเราต้องเลิกกัน สาเหตุของการเลิกกันเกิดขึ้นในทุกระดับ ในระดับครอบครัว เพราะเราต่างวัฒนธรรม ครอบครัวผมเป็นคนไทยแท้ ครอบครัวเธอเป็นคนจีน ครอบครัวเราเถียงกันว่าแต่งกันแล้วฝ่ายไหนควรไปอยู่บ้านใคร ประเพณีของครอบครัวไทย ผู้ชายต้องออกไปอยู่บ้านผู้หญิง ส่วนประเพณีครอบครัวจีน ผู้หญิงต้องออกไปอยู่บ้านผู้ชาย แต่ไม่ว่าอย่างไรผมยังเรียนอยู่กรุงเทพฯ ส่วนเธอต้องทำงานใกล้ที่บ้านเธอ เธอจะมาอยู่บ้านผมไม่ได้เพราะผมไม่อยู่บ้าน และเธอยืนยันว่าจะทำงานที่บ้าน ส่วนผมจะมาอยู่ที่บ้านเธอก็ไม่ได้ ครอบครัวเธอไม่ยอมผิดประเพณีจีน อีกเรื่องหนึ่งคือเรื่องจัดงานเลี้ยงวันแต่งงาน ประเพณีไทย ฝ่ายหญิงต้องเป็นฝ่ายจัด ไม่ใช่ฝ่ายชาย ส่วนประเพณีจีนฝ่ายหญิงจัดเฉพาะญาติฝ่ายหญิง ผู้หญิงเมื่อออกเรือนไปอยู่บ้านผู้ชาย บ้านฝ่ายชายจึงต้องเป็นฝ่ายจัดเลี้ยง นี่เป็น 2 เรื่องที่ครอบครัวเราตกลงกันไม่ได้ แต่ที่หนักไปกว่านั้นคือเรื่องสินสอดทองหมั้น ครอบครัวเรามีการเจรจากัน 2 ครั้ง ครั้งแรกตากับยายผมเป็นเถ้าแก่ไปคุยกับอาม่าของเธอที่เคร่งเรื่องประเพณีมาก นอกจากเรื่องประเพณีที่อาม่ายืนยันว่าต้องเอาตามประเพณีจีนแล้วเรื่องสินสอดอาม่าฝ่ายหญิงก็ไม่ยอมลดเลย การสู่ขอครั้งแรกจึงล้มเหลว ตากับยายผมกลับไปด้วยความผิดหวัง ครั้งที่สอง แม่ผมมาเอง แม่ผมเป็นแม่ค้า นิสัยแม่ค้าก็ไม่ยอมเสียเปรียบใครอยู่แล้ว อาม่าเองก็ไม่ยอมใครเช่นกัน ความบรรลัยเลยเกิด แม่ผมไปทะเลาะกับอาม่า เราเลยต้องพักเรื่องงานแต่งงานไว้ยาว และเมื่อผมกลับบ้าน ผมก็ทะเลาะกับแม่เรื่องสินสอด ผมขอให้แม่เพิ่มเงินกับทองตามที่อาม่าต้องการ แต่แม่ผมไม่ยอมและสวนกลับมาว่า “ถ้าอยากได้มากกว่านี้ก็ไม่ทำหาเอาเอง แต่งกันมาถ้าเลิกกันไปก็เสียเงินฟรีๆ” ตั้งแต่วันนั้นผมโกรธคำพูดนี้ของแม่มาก และปฏิญาณเลยว่า ถ้าจะแต่งงานก็จะหาเงินแต่งเองให้ได้ 

          ในระดับส่วนตัวระหว่างผมกับเธอ เราคุยกันมานานแล้วและหาข้อยุติไม่ได้ เพราะผมยังไม่อยากแต่งงาน ผมอยากเรียนต่อ และหางานทำในกรุงเทพฯ แต่เธออยากทำงานแถวบ้าน เธออยากให้ผมมาอยู่ใกล้ครอบครัวเธอ เปิดร้านขายของ มีลูกด้วยกัน เธออยากมีลูกมานานแล้ว และต้องมีลูกก่อนเธอจะอายุ 30 เธอกลัวว่าถ้าอายุ 30 แล้วเธอจะมีลูกลำบาก 

          ในระดับจิตใจ เราต่างรู้ความต้องการของอีกฝ่าย และเป็นความต้องการคู่ขนานที่ประนีประนอมกันไม่ได้  ในมุมของผม ผมขอเวลาเรียนให้จบและหาประสบการณ์การทำงานในกรุงเทพฯ ถ้าผมได้ตามเงื่อนไขนี้ผมถึงกลับบ้านไปอยู่กับเธอตามที่เธอต้องการ ในขณะที่เงื่อนไขของเธอคือมีลูกก่อนอายุ 30 มีครอบครัวที่พ่อแม่ลูกอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา เงื่อนไขของเธอมีเรื่องเวลามาเกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับผม ผมเรียนจบมหาวิทยาลัยช้าไป 2 ปี และผมไปเรียนต่อปริญญาตรีกฎหมายในกรุงเทพฯ ผมจบปริญญาตรีใบแรกตอนอายุ 25 ปี การเรียนกฎหมายสำหรับผม ผมตอบเธอไม่ได้จริงๆว่าผมจะจบกี่ปี และผมอยากเรียนกฎหมายเพื่อเป็นทนายความ ผมต้องฝึกงานและหาประสบการณ์ในอาชีพนี้ที่กรุงเทพฯ ผมรู้ดีว่าเป้าหมายนี้กว่าจะสำเร็จผมและเธอก็คงอายุเกิน 30 ปีแน่ๆ เราคุยเรื่องนี้กันตั้งแต่ผมเรียนไม่จบ เราหว่านล้อมกันเผื่อใครจะยอมลดเงื่อนของตัวเองลงมาบ้าง แต่เวลาพิสูจน์แล้วว่าต่างฝ่ายต่างไม่ยอม และเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ก็จะตึงเครียดใส่กันตลอด    

          เมื่องานแต่งงานถูกเลื่อนออกไป ความสัมพันธ์เราก็แย่ลงเป็นลำดับ โดยเฉพาะเธอ เธอเย็นชา แข็งกร้าว เริ่มเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น เริ่มไม่ว่าง เริ่มมีงานมากขึ้น เริ่มพูดประชดประชัน เริ่มไม่แคร์ความรู้สึกกัน บางครั้งอยู่ๆเธอก็ร้องไห้ บ่นว่าอยากใช้ชีวิตอิสระ ไม่อยากมีครอบครัว ไม่อยากมีลูกแล้ว ตอนนั้นผมไม่รู้หรอกว่ามันคือสัญญาณของการหมดใจ ผมพยายามง้อ พยายามเอาใจ พยายามทำถูกอย่างให้กลับเป็นปกติ พยายามด้วยความมั่นใจว่า เดี๋ยวเธอก็ใจอ่อนเหมือนทุกครั้ง แต่ไม่ใช่ครั้งนี้

          เธอยืนคำขาดว่าให้เราห่างกันสักพัก ขอเวลาเผื่ออะไรจะดีขึ้น เธอเริ่มหนีหน้าและไม่ยอมให้ผมไปหา และตามมาด้วยการให้เพื่อนสนิทของเธอมาพูดให้ผมไปหางานทำ เพราะผมไม่มีความเป็นผู้ใหญ่ คอยแต่ให้พ่อแม่เลี้ยง ไม่มีความรับผิดชอบ ผมเลิกเรียนต่อและหางานทำเพื่อไปง้อเธอตามเงื่อนไขที่เธอเสนอ และผมอยากพิสูจน์ตัวเองว่าผมไม่ได้แย่อย่างที่เธอกล่าวหา แต่ก็ไม่สำเร็จ เธอหมดใจไปนานแล้ว

          หลังจากนั้นผมติดต่อเธอไม่ได้ ผมแอบไปหาเธอที่บ้าน แต่เธอไม่ยอมออกมาพบผม ผมไปบ้านพี่สาวเธอ พี่สาวเธอบอกให้ทำใจเพราะเธอเปลี่ยนไปเหมือนคนละคน แต่งตัวเก่งขึ้น ชอบออกไปเที่ยว กลับบ้านดึก ติดต่อไม่ได้ ไม่รู้ว่าเธอไปไหน พี่สาวเธอแย้มมาว่า เธออาจมีคนใหม่ไปแล้ว ให้ผมอย่าคิดมาก เดี๋ยวผ่านไปก็ดีขึ้น ไม่นานผมก็รู้ว่าเธอมีคนใหม่ เป็นเพื่อนร่วมงานของเธอที่มีอายุมากกว่า และพร้อมกว่าผมทุกอย่าง ไม่นานเธอก็แต่งงาน 

          ใช่! เดี๋ยวมันก็ดีขึ้น 3 เดือนผ่านไปหลังเธอแต่งงาน ไม่กี่เดือนผ่านมาผมได้ข่าวว่าเธอท้อง ชีวิตผมโครตดิ่ง ผมไม่เคยเตรียมตัวเตรียมใจรับสถานการณ์นี้ ที่สำคัญเธอเป็นแฟนคนแรกในชีวิตผม  และครั้งนี้ก็เป็นการอกหักครั้งแรกของผม หลังจากที่เราคบกันเกือบ 7 ปี ชีวิตผมไม่เคยรู้สึกโดดเดียว ไร้ค่า ไร้ความหมายเท่าครั้งนี้ ผมได้แต่คิดวนเวียนว่า “กรูผิดเหรอ” “กรูผิดอะไร” ในขณะเดียวกันผมก็พยายามหาคนใหม่มาแทนที่ ใครก็ได้ที่จะไม่ทำให้ผมรู้สึกโดดเดี่ยว ไร้ค่า แต่ยิ่งผมดิ้น ผมยิ่งหาใครไม่ได้ ตอนนั้นผมพยายามอ่านหนังสือทำความเข้าใจตนเอง พยายามหาเหตุผลอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น และพยายามใช้เหตุผล ศึกษาทฤษฏีเกี่ยวกับชีวิตคู่ และความรักเพื่อทำใจยอมรับความจริงว่ามันจบแล้ว มันเป็นเรื่องธรรมชาติที่เกิดขึ้นได้ และทุกอย่างมันก็จะผ่านไป ผมต้องเริ่มต้นใหม่

         

          ใช่! ผมต้องเริ่มต้นใหม่ แต่ไม่ใช่กลับไปเรียนต่อ ตรงกันข้ามผมกลับไปหางานทำ และไม่ใช่การทำงานเพื่อไปง้อใคร หรือพิสูจน์ให้ใครเห็น แต่ผมต้องการพิสูจน์ตัวเอง กู้ชีวิตและจิตใจกลับคืนมา ไม่จมกลับความไร้ค่า โดดเดี่ยว ไร้ความหมาย
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่