" Black Gold " เชื้อราที่โดดเด่นบนลำต้นของต้นเบิร์ชในอลาสก้า




เห็ดส่วนใหญ่มักงอกขึ้นมาจากดิน แต่ไม่ใช่เห็ด Chaga หรือชื่อเล่นว่า " Black Gold " นี้ ซึ่งจากชื่ออาจจินตนาการได้ถึงพืชที่มีประกายระยิบระยับที่ห้อยลงมาจากต้นไม้ ทั้งที่ในความจริง chaga เป็นกาฝากอยู่บนลำต้นของต้น boreal birch โดยเป็นกระเปาะสีดำคล้ายเปลือกไม้มากกว่า โดย " mushroom ” ในภาษารัสเซียเป็นที่รู้จักในทางวิทยาศาสตร์ว่า " Inonotus obliquus " โดยเชื้อรานี้เติบโตบนเปลือกของต้นเบิร์ชในสภาพอากาศหนาวเย็น เช่นเดียวกับในแคนาดา ไซบีเรีย และยุโรปเหนือ
 
ถึงจะเป็นเชื้อรา แต่ Chaga ก็เป็นเชื้อราที่ทรงพลัง โดยผู้คนในรัสเซีย ยุโรปเหนือและบางส่วนของเอเชียได้ใช้มันเป็นยาแผนโบราณมาเป็นเวลาหลายพันปี เพื่อปรับปรุงสุขภาพโดยรวมและภูมิคุ้มกัน โดยจะขูดเห็ดให้เป็นผงละเอียดแล้วชงเป็นชาสมุนไพร รวมทั้งรักษาโรคต่างๆ และ chaga อาจเป็นยาที่มีศักยภาพมากที่สุดในป่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับชาว Alaskan 

ต่อมา chaga เริ่มได้รับความนิยมในวัฒนธรรมตะวันตกมากขึ้น ซึ่งที่โดดเด่นน่าจะเป็นในอลาสก้า ที่ซึ่งวัฒนธรรมการหาอาหารและยามีความแข็งแกร่งพอกัน และแม้ว่า Chaga อาจดูเหมือนถ่านที่ไหม้ไฟ แต่ข้างในจะมีเนื้อเยื่อสีส้มคล้ายจุกไม้ก๊อก จึงเป็นที่มาของชื่อ “ black gold ” ที่ขึ้นชื่อเรื่องสารต้านอนุมูลอิสระ (Chaga มีค่า Oxygen Radical Absorbance Capacity (ORAC) อยู่ที่ 146,700)

ซึ่งตามรายงานของวารสารวิทยาศาสตร์ " International Journal of Biological Macromolecules " ระบุว่า polysaccharide ของ Chaga มีสารต้านอนุมูลอิสระในระดับสูงสุดในโลกธรรมชาติ ซึ่งช่วยความสามารถของร่างกายในการต่อสู้กับอนุมูลอิสระ ที่นำไปสู่ความเสียหายที่ไม่พึงประสงค์ในเซลล์ของเรา

ในการแพร่พันธุ์นั้น สปอร์ Chaga ที่ลอยอยู่ในอากาศจะตกลงบนรอยแยกที่เปิดอยู่ของต้นเบิร์ช ที่เกิดจากกระรอกและแมลงกินกิ่งไม้เพื่อหาน้ำยาง หรือกิ่งที่หักเพราะลม จากนั้น สปอร์จะเข้าสู่ต้นไม้และค่อยๆ กระจายไปทั่วป่า ซึ่งมันเป็นกระบวนการที่ช้ามาก ที่อาจใช้เวลานานถึง 80 ปีกว่าที่ Chaga จะฆ่าต้นไม้ที่เป็นโฮสต์ได้ในที่สุด และเมื่อโฮสต์ของมันตายแล้ว เห็ดจะใช้ภายในของต้นไม้เพื่อสร้างผลที่กระจายสปอร์เข้าไปในป่ามากขึ้น 

Chaga นั้นจะแตกต่างจากเห็ดทั่วไปที่กินเป็นอาหาร เพราะใน Chaga จะมี mycelium ซึ่งเป็นเครือข่ายของการเจริญเติบโตของเชื้อราที่มาจากพืชที่เป็นโครงสร้างของราก  โดย mycelium ของ Chaga จะปรากฏเป็นสีดำด้านนอกและสีส้มด้านใน ที่แสดงให้เห็นถึงการเจริญเติบโตผิดปกติที่ด้านนอกของต้นเบิร์ช และการเจริญเติบโตเหล่านี้จะหนาแน่นอย่างไม่น่าเชื่อ 

ซึ่งเชื้อรากลุ่มนี้ ที่เติบโตเฉพาะในป่าเบิร์ชทางเหนือในซีกโลกเหนือนั้นมีความโดดเด่นเป็นพิเศษในป่าทึบของอลาสก้า โดย chaga อาจใช้เวลาถึง 20 ปี กว่าจะเติบโตเป็นชิ้นขนาดเท่าเกรปฟรุตจากด้านข้างของต้นเบิร์ชที่ใหญ่พอที่จะเก็บเกี่ยวได้ และเนื่องจากการเจริญเติบโตของเชื้อราไมซีเลียมจะปรากฏขึ้นก่อนที่เชื้อราจะฆ่าต้นไม้จนตาย ดังนั้น ต้นเบิร์ชต้นเดียวจึงสามารถผลิต Chaga ได้เป็นเวลาหลายทศวรรษ ซึ่ง Chaga ทั้งหมดในโลกเก็บเกี่ยวจากป่าด้วยมือเท่านั้น 


Chaga ต้องการอุณหภูมิที่เย็นจัดเพื่อเติบโตยิ่งมากยิ่งดี (เครดิต: Arctic Chaga)
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าชุมชนพื้นเมืองในอลาสก้า จะมีประวัติศาสตร์อันยาวนานในการใช้ Chaga ในอาหารและใช้เป็นยาธรรมชาติ แต่ข้อมูลเฉพาะหลายอย่างและเรื่องราวเกี่ยวกับการใช้ ถูกเล่าแบบปากเปล่าสืบทอดมาหลายชั่วอายุคนโดยผู้อาวุโสของชนเผ่า ซึ่งในปัจจุบัน นักหาอาหารในท้องถิ่นและหมอรักษาในอลาสก้า จะแบ่งปันความมหัศจรรย์ของ Chaga เช่น การแช่น้ำที่เย็นกว่าปกติ การต้มเดือดนานจนได้ชาที่มีกลิ่นหอม เป็นต้น ให้ผู้เข้าชมสามารถเรียนรู้และการเตรียมการเชิงปฏิบัติได้

ทั้งนี้ โดยพื้นฐานแล้ว Chaga ถือเป็นปรสิตที่อาศัยอยู่นอกต้นเบิร์ช แต่นี่คือความสำเร็จอันน่าอัศจรรย์ของธรรมชาติ ซึ่งทำให้พวกมันพร้อมใช้งานทางชีวภาพสำหรับมนุษย์ โดย chaga นั้นต้องการอุณหภูมิที่เย็นจัดเพื่อเติบโตยิ่งมากยิ่งดี แต่ในความเป็นจริง อุณหภูมิที่นี่จะเปลี่ยนแปลงไปตลอดทั้งปีทำให้ต้นเบิร์ชมีความเครียดมากขึ้นเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น

แต่นั่นก็ยิ่งทำให้ chaga มีสารอาหารหนาแน่นมากขึ้น ซึ่งในอลาสก้า ที่มีอุณหภูมิเกิน 32C (90F) ในฤดูร้อน และต่ำกว่า -45C (-50F) ในฤดูหนาว กลายเป็นพื้นที่ปลูกตามธรรมชาติที่ดีที่สุด นั่นหมายความว่าอลาสก้าอาจเป็นบ้านของ chaga ที่มีศักยภาพมากที่สุดในโลก (และเป็นสถานที่ที่ดีในการรับมือกับเชื้อราในท้องถิ่น) ซึ่งในการทดสอบโดย Arctic Chaga จำนวนสารต้านอนุมูลอิสระของ chaga ในพื้นที่นั้นสูงกว่าพันธุ์ไซบีเรียนเกือบ 40%

จนถึงปัจจุบัน แม้ว่ายังไม่มีการเผยแพร่การทดลองทางคลินิกในมนุษย์เกี่ยวกับผลการรักษาของ Chaga แต่ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาพบว่ามีการวิจัยทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับเชื้อรานี้เพิ่มขึ้นอย่างน่าทึ่ง และขณะนี้ ยังมีการศึกษาหลายสิบชิ้นของ Chaga ที่ค้นพบสิ่งที่น่าทึ่งบางประการ ซึ่งยังต้องทำการวิจัยต่อไป

Chaga มีวิตามิน แร่ธาตุ และสารอาหารมากกว่า 200 ชนิด (Credit: Alisha McDarris)



ในอลาสก้า ผู้หาอาหารมองหาเชื้อรา ผลเบอร์รี่ และพืชที่รับประทานได้และเป็นยาอื่นๆ ในถิ่นทุรกันดาร 
(Credit: mlharing/Getty Images)
Cr.https://yoursuper.com/pages/chaga-mushroom-benefits
Cr.https://www.earth.com/earthpedia-articles/what-is-chaga-intro-to-the-alaskan-medicinal-mushroom/ โดยEvan Levy
Cr.http://www.bbc.com/travel/story/20210609-alaskas-mushroom-of-immortality?referer=https%3A%2F%2Fwww.bbc.com%2Fnews / โดย Alisha McDarris
Cr.https://www.medicalnewstoday.com/articles/318527

(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่