“ นักเรียนคนไหนสนใจไปเรียนภาษาจีนเพิ่มเติมที่ปักกิ่ง ช่วงเดือนเมษายน ไปลงชื่อได้ที่ห้องพักครูได้นะ”
ครูสุรดากล่าวกับนักเรียนก่อนที่จะเดินออกจากขั้นเรียนไป
“เดือน..เดือน ตะเองจะไปหรือเปล่าปักกิ่ง”
เกรียมใจถามฉัน ซึ่งเธอเป็นเพื่อนสนิทของฉันตั้งแต่อนุบาล และครอบครัวของเกรียมใจก็สนิทกับครอบครัวของฉันมานานมาก
“ กลับไปถามแม่ดูก่อนนะ ว่าแม่จะให้ไปหรือเปล่าเพราะไปนานเป็นเดือนเลย แม่อาจจะไม่ให้ไป”
ฉันรีบตอบเกรียมใจเพื่อนสนิทไป และเข้าไปกอดคอเกรียมใจด้วยความสนิทสนม และเดินกลับบ้านพร้อมกัน
ซึ่งทำแบบนี้มาจนเคยชิน และเธอก็ชอบให้ฉันกอดคอเช่นกัน
เช้าวันต่อมาเกรียมใจเดินยิ้มหน้าบานมาหาฉัน และพูดว่า
“ ลองทายซิว่าแม่ของเราให้ไปปักกิ่งหรือเปล่า” เกรียมใจทำหน้าเฉย รอให้ฉันทายออกมา ฉันก็ทำหน้าตาเฉยและพูดขึ้นมาว่า
“ แม่ตะเองให้ไปปักกิ่งอยู่แล้ว เพราะแม่เราอนุญาตให้เราไปปักกิ่ง ฮ่าๆๆ”
เป็นคำตอบที่ทำให้เกรียมใจกระโดดกอดฉัน และตะโกนขึ้นมาอย่างดีใจ
“ ไชโย...ดีใจจังเราได้ไปเที่ยวปักกิ่งด้วยกันแล้ว” เรากอดกันกลมเลย ฮ่าๆๆ
จำนวนนักเรียนโรงเรียนประครองรัฐทั้งหมด 15 คนเตรียมตัวเดินทางไปเรียนภาษาจีนเพิ่มเติมที่ปักกิ่ง เป็นเวลา 4 สัปดาห์
ทุกคนเตรียมตัวกันพร้อมผจญภัยในต่างแดน
กระเป๋าใบใหญ่ถูกจัดเสื้อผ้าและเครื่องใช้ หนังสือตำราภาษาจีน และของกินเล่นเล็กน้อย
เพราะสถานที่ที่จะไปเรียนมีทุกอย่างให้เพียบ พร้อม ไม่ต้องเตรียมอะไรไปมากมาย สิ่งที่ต้องเตรียมไปให้เต็มที่คือ
“ ใจ “ เพราะจะต้องไปเรียน
ซึ่งวิชาที่ต้องเรียนก็ไม่ใช่แต่ภาษาจีนเท่านั้น ยังมีการวาดรูป ร้องเพลงจีน มวยจีน การใช้พู่กันจีน และรวมการท่องเที่ยวไปด้วย
เพราะฉะนั้นใจต้องพร้อม กายต้องพร้อม “ลุย” ในเวลา 4 สัปดาห์
อากาศช่วงเดือนเมษายนที่ปักกิ่ง ช่วงเช้าประมาณ 5 องศา กลางวันประมาณ 18 องศา ซึ่งเป็นอากาศที่คนไทยชอบมากกำลังเย็นสบาย
แต่ต้องใส่เสื้อกันหนาว ผ้าพันคอ ถ้าอยู่เมืองไทยจะร้อนมากช่วงเดือนเมษายน ก็ราวๆ 35 องศาขึ้น ต่างกันมากเลยนะ
“ ดีเหมือนกันได้หนีอากาศร้อนจากเมืองไทยไปอยู่เมืองจีนอากาศเย็นสบาย แถมได้เที่ยวอีก ถึงแม้ว่าจะต้องเรียนหลายวิชาก็ตาม
ยอมเหนื่อยหน่อยละกัน”
ฉันคิดในใจ และปลอบใจตัวเองไปตลอดการเดินทาง
กรุงเทพฯถึงปักกิ่งใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง 45 นาที โดยสายการบินไทย บนเครื่องบิน แอร์โฮสเตสสาวงามเสริฟอาหารไทย
กินจนอิ่ม เวลาเหมือนไม่นานเลยในการเดินทางเพราะเกรียมใจชวนคุยตลอดการเดินทาง
ฉันค้นหาข้อมูลการท่องเที่ยวเตรียมมาพร้อม ศึกษาข้อมูลมาก่อน เพื่อให้มีอรรถรสในการท่องเที่ยว เตรียมไดอารี่พร้อมเขียนข้อมูล
และจดบันทึกกิจกรรมและการท่องเที่ยวทั้งหมด แล้วเอาไปเขียนเรื่องสั้นลงเวบท่องเที่ยว จะได้มีโอกาสเป็นนักเขียนสมัครเล่นบ้าง
ก้าวแรกที่เท้าลงถึงผืนแผ่นดินจีน เมืองปักกิ่ง ฉันตั้งจิตอธิษฐานเอาไว้ว่าขอให้อยู่ที่เมืองจีน
ที่ปักกิ่งได้อย่างปลอดภัยและได้พบเจอกับคนจีนที่ใจดี มีเมตตาเคยช่วยเหลือ สาธุ..
รถบัสของโรงเรียนสาธิตมัธยมปักกิ่งจอดรอรับนักเรียนจากเมืองไทย
“ นักเรียนทุกคนค่ะ จำเอาไว้นะค่ะว่าตอนนี้เรามาอยู่เมืองปักกิ่งแล้ว ทุกคนต้องห้ามพูดภาษาไทยด้วยกันนะค่ะ
ให้ฝึกใช้ภาษาจีนหรือภาษาอังกฤษเท่านั้นค่ะ”
ครูสุรดาผู้ควบคุมนักเรียนมาสั่งนักเรียนอย่างจริงจัง เพราะต้องการให้นักเรียนได้ภาษาจีนให้คุ้มค่าที่สุดกับการบุกป่าฝ่าดง
ข้ามน้ำข้ามทะเล มาเรียนภาษาจีนถึงเมืองจีน
“ ตื่นเต้นจริงๆเลยเดือน อากาศเย็นมาก ตะเองไม่หนาวเหรอ” เกรียมใจพูดไปสั่นไป สำหรับฉันนะเหรอ ชอบอากาศเย็นแบบนี้มาก
ฟินตอนดูหนังจีนหนังเกาหลี นางเอกลุยหิมะ เข้าไปช่วยพระเอกซึ่งเป็นคนต่างชาติหลงเข้าไปในป่าและกองหิมะ ชอบๆๆ..
“ จริงๆก็เย็นนะ แต่เราใส่ลองจอนไว้ข้างใน อิอิ..” ฉันพูดไปกอดคอเกรียมใจไป
“ เรานอนเตียงบนเองนะเดือน เพราะเราจะปีนเก่งกว่าตะเอง”
เกรียมใจขอจองนอนเตียงชั้นบน ในห้องหนึ่งมีทั้งหมด 10 เตียง ซึ่งห้องนอนจะเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ นักเรียนไทยอยู่ในห้องโถงนี้
ส่วนนักเรียนชาติอื่นจะอยู่ห้องโถงถัดไป ส่วนใหญ่จะเป็นนักเรียนมาจากแถบเอเชียด้วยกัน มีมาจากญี่ปุ่น เกาหลี ลาว พม่า และเขมร
ทุกคนจัดของเรียบร้อยแล้ว ต้องออกไปประชุมร่วมกันเพื่อฟังคำแนะนำและข้อบังคับของโรงเรียน
เพื่อให้นักเรียนทุกคนอยู่ในระเบียบแบบแผนของทางโรงเรียน
“ สวัสดีนักเรียนทุกคนที่มาจากประเทศต่างๆ ครูขอต้อนรับนักเรียนทุกคนด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่ง”
เสียงจากผู้อำนวยการโรงเรียน ภาษาจีนเริ่มต้องใช้จริงๆแล้วซิ ฉันพอได้แต่ยังฟังไม่ชัดเจนเท่าไหร่
อาจเป็นไปได้ว่าครูที่สอนในโรงเรียนที่เมืองไทย สำเนียงของครูจะต่างจากสำเนียงของผู้อำนวยการโรงเรียนซึ่งเป็นคนจีนแท้ๆ
ที่ไม่สามารถพูดไทยได้ ทำให้ฉันต้องปรับการฟังในระยะแรกๆก่อน อีกไม่นานก็น่าจะคุ้นเคย
“ นักเรียนทุกคนจะต้องจับฉลากว่าจะได้อยู่กลุ่มอะไร เพราะนักเรียนมาจากหลายประเทศ ทางโรงเรียนจึงต้องการให้นักเรียน
กระจายกันไป ขึ้นอยู่กับว่าจะจับฉลากอยู่กับใคร”
เป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นมากเพราะเกรียมใจกับฉันคงไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกันแน่นอน และฉันก็คงต้องไปอยู่รวมกลุ่มกับนักเรียนชาติอื่น
นักเรียนที่มาเรียนภาษาจีนในครั้งนี้มีทั้งหมด 60 คน ครูผู้ช่วยให้ฉันจับกลุ่มและได้ไปอยู่กลุ่มรวมกันทุกชาติ
เกรียมใจหน้าเสียเพราะไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกับฉัน แต่ฉันก็คิดไว้แล้วว่าคงต้องแยกกันอยู่
แต่ก็มีนักเรียนจากไทยบางคนได้อยู่รวมกันกลุ่มละ 3-4 คน ก็ถือว่าเป็นความโชคดีของพวกเขา ฉันก็จะโชคร้ายแบบนี้ตลอด ฮ่าๆๆ..
“ แต่ก็ช่างเถอะ ไปลุยเอาข้างหน้าหละกัน ไหนๆก็มาแล้ว ในกลุ่มฉันมีคนไทยคนเดียว ฮ่าๆๆ ..” ต้องลุยอย่างเดียวจึงจะอยู่รอด
ครูจีนเรียกรวมกลุ่ม ซึ่งกลุ่มที่ฉันอยู่มี 7 คน มีฉันกับเพื่อนฟิลิปปินส์เป็นผู้หญิง นอกนั้นเป็นผู้ชายหมด 5 หนุ่มที่เหลือ
มาจากญี่ปุ่น 2 คน เกาหลี 1 คน พม่า 1 คนและอังกฤษ 1 คน
ครูจีนที่คุมกลุ่มฉันชื่อครูซือหวัง เป็นครูหนุ่มที่กระฉับกระเฉงว่องไว เขาส่งแผ่นกระดาษให้ทุกคน เป็นโปรแกรมที่ต้องเรียนใน 4 สัปดาห์
เห็นแล้วรู้สึกสนุกนะ มีหลากหลายวิชามากจริง น่าสนใจทั้งนั้น
มีวิชาติวแนวข้อสอบ HSK , ศิลปะการต่อสู้แบบจีน,ทำอาหาร,การเขียนพู่กันจีน,วาดรูป,ตัดกระดาษ,ดนตรีจีน,คอมพิวเตอร์และชมภาพยนตร์จีน
ที่จะยากกว่าวิชาอื่นๆก็น่าจะศิลปะการต่อสู้แบบจีน เพราะฉันไม่ถนัดแนวนี้เท่าไหร่
“ ทุกคนต่อไปนี้ต้องเป็นเพื่อนกันนะครับ ถ้ามีอะไรให้ปรึกษากันและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ถ้าทำอะไรไม่ได้บอกครูนะครับ
ครูจะช่วยเหลือครับ”
ครูซือหวังบอกกับนักเรียนกลุ่มฉัน ซึ่งดูท่าทางของครูซือหวังจะเป็นห่วงฉันกับเพื่อนฟิลิปปินส์ เพราะมีแค่ 2 สาวในกลุ่มชายหนุ่มทั้ง 5
เพราะกลุ่มอื่นส่วนใหญ่มีแต่ผู้หญิง เป็นความบังเอิญเหลือเกินที่ฉันมาอยู่ในกลุ่มที่มีผู้ชายเยอะ และมากันหลายประเทศ
แต่ก็ถือว่าเป็นโอกาสดีที่จะได้รู้จักเพื่อนหลายประเทศ คิดแง่บวกเข้าไว้หละกัน
ช่วงเช้าเรียนตามโปรแกรม ช่วงบ่ายครูซือหวังจะพาเที่ยว วันนี้จะได้ไปเที่ยวกำแพงเมืองจีน วันนี้อากาศเย็นกว่าทุกวัน
ต้องเตรียมเสื้อกันหนาวหนาไปด้วย เพราะกำแพงเมืองจีนจะอยู่สูงลมน่าจะแรงและหนาวกว่าพื้นล่าง
กำแพงเมืองจีน สิ่งมหัศจรรย์ของโลก กำแพงหมื่นลี้จากฝีมือมนุษย์ ตำนานความเกรียงไกรของประเทศจีน
เป็นความฝันของฉันเลยนะที่จะได้ไปยืนบนกำแพงเมืองจีน
“ นักเรียนทุกคนต้องใส่รองเท้าผ้าใบไปนะครับ เพราะอากาศเย็นกว่าทุกวัน ควรมีหมวกไปด้วยครับ”
ครูซือหวังเป็นห่วงนักเรียน เพราะวันนี้อากาศเย็นกว่าทุกวัน
ฉันแอบมองดูครูซือหวังอยู่ห่างๆ หน้าตาครูซือหวังเหมือนพระเอกซีรี่ย์จีน ซึ่งฉันเป็นติ่งซีรี่ย์จีนอยู่แล้ว ครูซือหวังมีรูปร่างสูง
แต่ดูแข็งแรงว่องไว ฉันชอบที่ครูซือหวังเขาคอยแนะนำและดูแลฉันกับควีนสาวฟิลิปปินส์ ดูเป็นความหวังดีและห่วงใยที่มาจากใจจริงๆ
“ เย้..เย้..ได้มาถึงแล้วกำแพงเมืองจีน” ฉันคุยกับควีน ซึ่งเธอเองก็ดีใจไม่ต่างไปจากฉัน วันนี้ลมแรงจริงๆ ดีที่ตัดสินใจใส่หมวกไหมพรมมา
รู้สึกอุ่นและไม่ปลิวตามลม
“ กำแพงเมืองจีนนั้น หลายๆ คนคงรู้อยู่แล้วว่ามันเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ความยาวกว่า 20,000 กิโลเมตร
กำแพงเมืองจีนนั้นมีความสำคัญในเชิงจุดยุทธศาสตร์สำคัญในสมัยราชวงศ์ฉิน เพื่อป้องกันการบุกรุกจากชาวฮั่น
หรือชนเผ่าเร่ร่อนบนหลังม้าในสมัยนั้น ซึ่งจะคอยมารุกรานชาวจีนตามแนวชายแดนอยู่เนืองๆ ซึ่งกำแพงนี้ก็ได้เริ่มสร้างกันมาตั้งแต่ก่อนสมัยของ
จิ๋นซีฮ่องเต้ แล้วโดยก๊ก หรือแคว้นที่อยู่ตามแนวชายแดนต่างสร้างขึ้นเพื่อป้องกันตนเอง”
ครูซือหวังบรรยายให้ฟัง เพื่อฝึกให้พวกเราฟังภาษาจีนและเข้าใจเรื่องราวของกำแพงเมืองจีน
ซึ่งฉันเองก็ศึกษาอ่านข้อมูลมาแล้วก่อนจะมาปักกิ่ง
ฉันฟังไปมองวิวลงไปข้างล่าง ไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่เป็นฝีมือของคนจริงๆ กำแพงเมืองจีน ทั้งยาวและสูง
ถ้าสร้างบนพื้นราบก็ไม่น่ามหัศจรรย์ แต่นี่สร้างบนเทือกเขาซึ่งสูงมากคิดแล้วก็น่าสงสารคนที่สร้างกำแพงเมืองจีนในยุคนั้นจริงๆ
คงเหนื่อยแสนสาหัส สงสารจัง..
“ ล้อมเดือน เธอเป็นอะไรทำไมหน้าตาเศร้ามาก” ครูซือหวังถามที่เห็นฉันหน้าเศร้า
“ ไม่ได้เป็นอะไรค่ะครู ฉันแค่คิดสงสารคนสมัยนั้นที่ช่วยกันสร้างกำแพงเมืองจีน ทั้งสูงและยาวบนเทือกเขา
พวกเขาคงหายและป่วยล้มตายกันไปเยอะ” ฉันพูดกับครูซือหวัง
“ ใช่แล้วครับ คนสมัยนั้นต้องสละชีวิตกันมากมายเพื่อสร้างกำแพงเมืองจีนนี้”
ปักกิ่ง...ที่รัก ตอน 1
ครูสุรดากล่าวกับนักเรียนก่อนที่จะเดินออกจากขั้นเรียนไป
“เดือน..เดือน ตะเองจะไปหรือเปล่าปักกิ่ง”
เกรียมใจถามฉัน ซึ่งเธอเป็นเพื่อนสนิทของฉันตั้งแต่อนุบาล และครอบครัวของเกรียมใจก็สนิทกับครอบครัวของฉันมานานมาก
“ กลับไปถามแม่ดูก่อนนะ ว่าแม่จะให้ไปหรือเปล่าเพราะไปนานเป็นเดือนเลย แม่อาจจะไม่ให้ไป”
ฉันรีบตอบเกรียมใจเพื่อนสนิทไป และเข้าไปกอดคอเกรียมใจด้วยความสนิทสนม และเดินกลับบ้านพร้อมกัน
ซึ่งทำแบบนี้มาจนเคยชิน และเธอก็ชอบให้ฉันกอดคอเช่นกัน
เช้าวันต่อมาเกรียมใจเดินยิ้มหน้าบานมาหาฉัน และพูดว่า
“ ลองทายซิว่าแม่ของเราให้ไปปักกิ่งหรือเปล่า” เกรียมใจทำหน้าเฉย รอให้ฉันทายออกมา ฉันก็ทำหน้าตาเฉยและพูดขึ้นมาว่า
“ แม่ตะเองให้ไปปักกิ่งอยู่แล้ว เพราะแม่เราอนุญาตให้เราไปปักกิ่ง ฮ่าๆๆ”
เป็นคำตอบที่ทำให้เกรียมใจกระโดดกอดฉัน และตะโกนขึ้นมาอย่างดีใจ
“ ไชโย...ดีใจจังเราได้ไปเที่ยวปักกิ่งด้วยกันแล้ว” เรากอดกันกลมเลย ฮ่าๆๆ
จำนวนนักเรียนโรงเรียนประครองรัฐทั้งหมด 15 คนเตรียมตัวเดินทางไปเรียนภาษาจีนเพิ่มเติมที่ปักกิ่ง เป็นเวลา 4 สัปดาห์
ทุกคนเตรียมตัวกันพร้อมผจญภัยในต่างแดน
กระเป๋าใบใหญ่ถูกจัดเสื้อผ้าและเครื่องใช้ หนังสือตำราภาษาจีน และของกินเล่นเล็กน้อย
เพราะสถานที่ที่จะไปเรียนมีทุกอย่างให้เพียบ พร้อม ไม่ต้องเตรียมอะไรไปมากมาย สิ่งที่ต้องเตรียมไปให้เต็มที่คือ
“ ใจ “ เพราะจะต้องไปเรียน
ซึ่งวิชาที่ต้องเรียนก็ไม่ใช่แต่ภาษาจีนเท่านั้น ยังมีการวาดรูป ร้องเพลงจีน มวยจีน การใช้พู่กันจีน และรวมการท่องเที่ยวไปด้วย
เพราะฉะนั้นใจต้องพร้อม กายต้องพร้อม “ลุย” ในเวลา 4 สัปดาห์
อากาศช่วงเดือนเมษายนที่ปักกิ่ง ช่วงเช้าประมาณ 5 องศา กลางวันประมาณ 18 องศา ซึ่งเป็นอากาศที่คนไทยชอบมากกำลังเย็นสบาย
แต่ต้องใส่เสื้อกันหนาว ผ้าพันคอ ถ้าอยู่เมืองไทยจะร้อนมากช่วงเดือนเมษายน ก็ราวๆ 35 องศาขึ้น ต่างกันมากเลยนะ
“ ดีเหมือนกันได้หนีอากาศร้อนจากเมืองไทยไปอยู่เมืองจีนอากาศเย็นสบาย แถมได้เที่ยวอีก ถึงแม้ว่าจะต้องเรียนหลายวิชาก็ตาม
ยอมเหนื่อยหน่อยละกัน”
ฉันคิดในใจ และปลอบใจตัวเองไปตลอดการเดินทาง
กรุงเทพฯถึงปักกิ่งใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง 45 นาที โดยสายการบินไทย บนเครื่องบิน แอร์โฮสเตสสาวงามเสริฟอาหารไทย
กินจนอิ่ม เวลาเหมือนไม่นานเลยในการเดินทางเพราะเกรียมใจชวนคุยตลอดการเดินทาง
ฉันค้นหาข้อมูลการท่องเที่ยวเตรียมมาพร้อม ศึกษาข้อมูลมาก่อน เพื่อให้มีอรรถรสในการท่องเที่ยว เตรียมไดอารี่พร้อมเขียนข้อมูล
และจดบันทึกกิจกรรมและการท่องเที่ยวทั้งหมด แล้วเอาไปเขียนเรื่องสั้นลงเวบท่องเที่ยว จะได้มีโอกาสเป็นนักเขียนสมัครเล่นบ้าง
ก้าวแรกที่เท้าลงถึงผืนแผ่นดินจีน เมืองปักกิ่ง ฉันตั้งจิตอธิษฐานเอาไว้ว่าขอให้อยู่ที่เมืองจีน
ที่ปักกิ่งได้อย่างปลอดภัยและได้พบเจอกับคนจีนที่ใจดี มีเมตตาเคยช่วยเหลือ สาธุ..
รถบัสของโรงเรียนสาธิตมัธยมปักกิ่งจอดรอรับนักเรียนจากเมืองไทย
“ นักเรียนทุกคนค่ะ จำเอาไว้นะค่ะว่าตอนนี้เรามาอยู่เมืองปักกิ่งแล้ว ทุกคนต้องห้ามพูดภาษาไทยด้วยกันนะค่ะ
ให้ฝึกใช้ภาษาจีนหรือภาษาอังกฤษเท่านั้นค่ะ”
ครูสุรดาผู้ควบคุมนักเรียนมาสั่งนักเรียนอย่างจริงจัง เพราะต้องการให้นักเรียนได้ภาษาจีนให้คุ้มค่าที่สุดกับการบุกป่าฝ่าดง
ข้ามน้ำข้ามทะเล มาเรียนภาษาจีนถึงเมืองจีน
“ ตื่นเต้นจริงๆเลยเดือน อากาศเย็นมาก ตะเองไม่หนาวเหรอ” เกรียมใจพูดไปสั่นไป สำหรับฉันนะเหรอ ชอบอากาศเย็นแบบนี้มาก
ฟินตอนดูหนังจีนหนังเกาหลี นางเอกลุยหิมะ เข้าไปช่วยพระเอกซึ่งเป็นคนต่างชาติหลงเข้าไปในป่าและกองหิมะ ชอบๆๆ..
“ จริงๆก็เย็นนะ แต่เราใส่ลองจอนไว้ข้างใน อิอิ..” ฉันพูดไปกอดคอเกรียมใจไป
“ เรานอนเตียงบนเองนะเดือน เพราะเราจะปีนเก่งกว่าตะเอง”
เกรียมใจขอจองนอนเตียงชั้นบน ในห้องหนึ่งมีทั้งหมด 10 เตียง ซึ่งห้องนอนจะเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ นักเรียนไทยอยู่ในห้องโถงนี้
ส่วนนักเรียนชาติอื่นจะอยู่ห้องโถงถัดไป ส่วนใหญ่จะเป็นนักเรียนมาจากแถบเอเชียด้วยกัน มีมาจากญี่ปุ่น เกาหลี ลาว พม่า และเขมร
ทุกคนจัดของเรียบร้อยแล้ว ต้องออกไปประชุมร่วมกันเพื่อฟังคำแนะนำและข้อบังคับของโรงเรียน
เพื่อให้นักเรียนทุกคนอยู่ในระเบียบแบบแผนของทางโรงเรียน
“ สวัสดีนักเรียนทุกคนที่มาจากประเทศต่างๆ ครูขอต้อนรับนักเรียนทุกคนด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่ง”
เสียงจากผู้อำนวยการโรงเรียน ภาษาจีนเริ่มต้องใช้จริงๆแล้วซิ ฉันพอได้แต่ยังฟังไม่ชัดเจนเท่าไหร่
อาจเป็นไปได้ว่าครูที่สอนในโรงเรียนที่เมืองไทย สำเนียงของครูจะต่างจากสำเนียงของผู้อำนวยการโรงเรียนซึ่งเป็นคนจีนแท้ๆ
ที่ไม่สามารถพูดไทยได้ ทำให้ฉันต้องปรับการฟังในระยะแรกๆก่อน อีกไม่นานก็น่าจะคุ้นเคย
“ นักเรียนทุกคนจะต้องจับฉลากว่าจะได้อยู่กลุ่มอะไร เพราะนักเรียนมาจากหลายประเทศ ทางโรงเรียนจึงต้องการให้นักเรียน
กระจายกันไป ขึ้นอยู่กับว่าจะจับฉลากอยู่กับใคร”
เป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นมากเพราะเกรียมใจกับฉันคงไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกันแน่นอน และฉันก็คงต้องไปอยู่รวมกลุ่มกับนักเรียนชาติอื่น
นักเรียนที่มาเรียนภาษาจีนในครั้งนี้มีทั้งหมด 60 คน ครูผู้ช่วยให้ฉันจับกลุ่มและได้ไปอยู่กลุ่มรวมกันทุกชาติ
เกรียมใจหน้าเสียเพราะไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกับฉัน แต่ฉันก็คิดไว้แล้วว่าคงต้องแยกกันอยู่
แต่ก็มีนักเรียนจากไทยบางคนได้อยู่รวมกันกลุ่มละ 3-4 คน ก็ถือว่าเป็นความโชคดีของพวกเขา ฉันก็จะโชคร้ายแบบนี้ตลอด ฮ่าๆๆ..
“ แต่ก็ช่างเถอะ ไปลุยเอาข้างหน้าหละกัน ไหนๆก็มาแล้ว ในกลุ่มฉันมีคนไทยคนเดียว ฮ่าๆๆ ..” ต้องลุยอย่างเดียวจึงจะอยู่รอด
ครูจีนเรียกรวมกลุ่ม ซึ่งกลุ่มที่ฉันอยู่มี 7 คน มีฉันกับเพื่อนฟิลิปปินส์เป็นผู้หญิง นอกนั้นเป็นผู้ชายหมด 5 หนุ่มที่เหลือ
มาจากญี่ปุ่น 2 คน เกาหลี 1 คน พม่า 1 คนและอังกฤษ 1 คน
ครูจีนที่คุมกลุ่มฉันชื่อครูซือหวัง เป็นครูหนุ่มที่กระฉับกระเฉงว่องไว เขาส่งแผ่นกระดาษให้ทุกคน เป็นโปรแกรมที่ต้องเรียนใน 4 สัปดาห์
เห็นแล้วรู้สึกสนุกนะ มีหลากหลายวิชามากจริง น่าสนใจทั้งนั้น
มีวิชาติวแนวข้อสอบ HSK , ศิลปะการต่อสู้แบบจีน,ทำอาหาร,การเขียนพู่กันจีน,วาดรูป,ตัดกระดาษ,ดนตรีจีน,คอมพิวเตอร์และชมภาพยนตร์จีน
ที่จะยากกว่าวิชาอื่นๆก็น่าจะศิลปะการต่อสู้แบบจีน เพราะฉันไม่ถนัดแนวนี้เท่าไหร่
“ ทุกคนต่อไปนี้ต้องเป็นเพื่อนกันนะครับ ถ้ามีอะไรให้ปรึกษากันและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ถ้าทำอะไรไม่ได้บอกครูนะครับ
ครูจะช่วยเหลือครับ”
ครูซือหวังบอกกับนักเรียนกลุ่มฉัน ซึ่งดูท่าทางของครูซือหวังจะเป็นห่วงฉันกับเพื่อนฟิลิปปินส์ เพราะมีแค่ 2 สาวในกลุ่มชายหนุ่มทั้ง 5
เพราะกลุ่มอื่นส่วนใหญ่มีแต่ผู้หญิง เป็นความบังเอิญเหลือเกินที่ฉันมาอยู่ในกลุ่มที่มีผู้ชายเยอะ และมากันหลายประเทศ
แต่ก็ถือว่าเป็นโอกาสดีที่จะได้รู้จักเพื่อนหลายประเทศ คิดแง่บวกเข้าไว้หละกัน
ช่วงเช้าเรียนตามโปรแกรม ช่วงบ่ายครูซือหวังจะพาเที่ยว วันนี้จะได้ไปเที่ยวกำแพงเมืองจีน วันนี้อากาศเย็นกว่าทุกวัน
ต้องเตรียมเสื้อกันหนาวหนาไปด้วย เพราะกำแพงเมืองจีนจะอยู่สูงลมน่าจะแรงและหนาวกว่าพื้นล่าง
กำแพงเมืองจีน สิ่งมหัศจรรย์ของโลก กำแพงหมื่นลี้จากฝีมือมนุษย์ ตำนานความเกรียงไกรของประเทศจีน
เป็นความฝันของฉันเลยนะที่จะได้ไปยืนบนกำแพงเมืองจีน
“ นักเรียนทุกคนต้องใส่รองเท้าผ้าใบไปนะครับ เพราะอากาศเย็นกว่าทุกวัน ควรมีหมวกไปด้วยครับ”
ครูซือหวังเป็นห่วงนักเรียน เพราะวันนี้อากาศเย็นกว่าทุกวัน
ฉันแอบมองดูครูซือหวังอยู่ห่างๆ หน้าตาครูซือหวังเหมือนพระเอกซีรี่ย์จีน ซึ่งฉันเป็นติ่งซีรี่ย์จีนอยู่แล้ว ครูซือหวังมีรูปร่างสูง
แต่ดูแข็งแรงว่องไว ฉันชอบที่ครูซือหวังเขาคอยแนะนำและดูแลฉันกับควีนสาวฟิลิปปินส์ ดูเป็นความหวังดีและห่วงใยที่มาจากใจจริงๆ
“ เย้..เย้..ได้มาถึงแล้วกำแพงเมืองจีน” ฉันคุยกับควีน ซึ่งเธอเองก็ดีใจไม่ต่างไปจากฉัน วันนี้ลมแรงจริงๆ ดีที่ตัดสินใจใส่หมวกไหมพรมมา
รู้สึกอุ่นและไม่ปลิวตามลม
“ กำแพงเมืองจีนนั้น หลายๆ คนคงรู้อยู่แล้วว่ามันเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ความยาวกว่า 20,000 กิโลเมตร
กำแพงเมืองจีนนั้นมีความสำคัญในเชิงจุดยุทธศาสตร์สำคัญในสมัยราชวงศ์ฉิน เพื่อป้องกันการบุกรุกจากชาวฮั่น
หรือชนเผ่าเร่ร่อนบนหลังม้าในสมัยนั้น ซึ่งจะคอยมารุกรานชาวจีนตามแนวชายแดนอยู่เนืองๆ ซึ่งกำแพงนี้ก็ได้เริ่มสร้างกันมาตั้งแต่ก่อนสมัยของ
จิ๋นซีฮ่องเต้ แล้วโดยก๊ก หรือแคว้นที่อยู่ตามแนวชายแดนต่างสร้างขึ้นเพื่อป้องกันตนเอง”
ครูซือหวังบรรยายให้ฟัง เพื่อฝึกให้พวกเราฟังภาษาจีนและเข้าใจเรื่องราวของกำแพงเมืองจีน
ซึ่งฉันเองก็ศึกษาอ่านข้อมูลมาแล้วก่อนจะมาปักกิ่ง
ฉันฟังไปมองวิวลงไปข้างล่าง ไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่เป็นฝีมือของคนจริงๆ กำแพงเมืองจีน ทั้งยาวและสูง
ถ้าสร้างบนพื้นราบก็ไม่น่ามหัศจรรย์ แต่นี่สร้างบนเทือกเขาซึ่งสูงมากคิดแล้วก็น่าสงสารคนที่สร้างกำแพงเมืองจีนในยุคนั้นจริงๆ
คงเหนื่อยแสนสาหัส สงสารจัง..
“ ล้อมเดือน เธอเป็นอะไรทำไมหน้าตาเศร้ามาก” ครูซือหวังถามที่เห็นฉันหน้าเศร้า
“ ไม่ได้เป็นอะไรค่ะครู ฉันแค่คิดสงสารคนสมัยนั้นที่ช่วยกันสร้างกำแพงเมืองจีน ทั้งสูงและยาวบนเทือกเขา
พวกเขาคงหายและป่วยล้มตายกันไปเยอะ” ฉันพูดกับครูซือหวัง
“ ใช่แล้วครับ คนสมัยนั้นต้องสละชีวิตกันมากมายเพื่อสร้างกำแพงเมืองจีนนี้”