ปักกิ่ง...ที่รัก ตอน 1

กระทู้สนทนา
“ นักเรียนคนไหนสนใจไปเรียนภาษาจีนเพิ่มเติมที่ปักกิ่ง  ช่วงเดือนเมษายน ไปลงชื่อได้ที่ห้องพักครูได้นะ”  
                 ครูสุรดากล่าวกับนักเรียนก่อนที่จะเดินออกจากขั้นเรียนไป
             
                “เดือน..เดือน  ตะเองจะไปหรือเปล่าปักกิ่ง”  
                เกรียมใจถามฉัน  ซึ่งเธอเป็นเพื่อนสนิทของฉันตั้งแต่อนุบาล  และครอบครัวของเกรียมใจก็สนิทกับครอบครัวของฉันมานานมาก
               
               “ กลับไปถามแม่ดูก่อนนะ  ว่าแม่จะให้ไปหรือเปล่าเพราะไปนานเป็นเดือนเลย  แม่อาจจะไม่ให้ไป” 
                 ฉันรีบตอบเกรียมใจเพื่อนสนิทไป  และเข้าไปกอดคอเกรียมใจด้วยความสนิทสนม และเดินกลับบ้านพร้อมกัน  
                 ซึ่งทำแบบนี้มาจนเคยชิน  และเธอก็ชอบให้ฉันกอดคอเช่นกัน

                 เช้าวันต่อมาเกรียมใจเดินยิ้มหน้าบานมาหาฉัน  และพูดว่า
                 “ ลองทายซิว่าแม่ของเราให้ไปปักกิ่งหรือเปล่า” เกรียมใจทำหน้าเฉย  รอให้ฉันทายออกมา  ฉันก็ทำหน้าตาเฉยและพูดขึ้นมาว่า
              
               “ แม่ตะเองให้ไปปักกิ่งอยู่แล้ว  เพราะแม่เราอนุญาตให้เราไปปักกิ่ง ฮ่าๆๆ” 
                 เป็นคำตอบที่ทำให้เกรียมใจกระโดดกอดฉัน  และตะโกนขึ้นมาอย่างดีใจ

               “ ไชโย...ดีใจจังเราได้ไปเที่ยวปักกิ่งด้วยกันแล้ว”  เรากอดกันกลมเลย ฮ่าๆๆ

                จำนวนนักเรียนโรงเรียนประครองรัฐทั้งหมด 15 คนเตรียมตัวเดินทางไปเรียนภาษาจีนเพิ่มเติมที่ปักกิ่ง  เป็นเวลา 4 สัปดาห์  
                ทุกคนเตรียมตัวกันพร้อมผจญภัยในต่างแดน  
              
                กระเป๋าใบใหญ่ถูกจัดเสื้อผ้าและเครื่องใช้  หนังสือตำราภาษาจีน  และของกินเล่นเล็กน้อย  
              เพราะสถานที่ที่จะไปเรียนมีทุกอย่างให้เพียบ  พร้อม  ไม่ต้องเตรียมอะไรไปมากมาย  สิ่งที่ต้องเตรียมไปให้เต็มที่คือ
              “ ใจ “ เพราะจะต้องไปเรียน 
           
               ซึ่งวิชาที่ต้องเรียนก็ไม่ใช่แต่ภาษาจีนเท่านั้น  ยังมีการวาดรูป  ร้องเพลงจีน  มวยจีน  การใช้พู่กันจีน  และรวมการท่องเที่ยวไปด้วย 
               เพราะฉะนั้นใจต้องพร้อม  กายต้องพร้อม  “ลุย” ในเวลา 4 สัปดาห์
             
               อากาศช่วงเดือนเมษายนที่ปักกิ่ง  ช่วงเช้าประมาณ 5 องศา  กลางวันประมาณ 18 องศา  ซึ่งเป็นอากาศที่คนไทยชอบมากกำลังเย็นสบาย 
               แต่ต้องใส่เสื้อกันหนาว  ผ้าพันคอ  ถ้าอยู่เมืองไทยจะร้อนมากช่วงเดือนเมษายน  ก็ราวๆ 35 องศาขึ้น  ต่างกันมากเลยนะ
          
             “ ดีเหมือนกันได้หนีอากาศร้อนจากเมืองไทยไปอยู่เมืองจีนอากาศเย็นสบาย  แถมได้เที่ยวอีก  ถึงแม้ว่าจะต้องเรียนหลายวิชาก็ตาม 
               ยอมเหนื่อยหน่อยละกัน” 
             
                ฉันคิดในใจ และปลอบใจตัวเองไปตลอดการเดินทาง
             
                กรุงเทพฯถึงปักกิ่งใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง 45 นาที  โดยสายการบินไทย  บนเครื่องบิน  แอร์โฮสเตสสาวงามเสริฟอาหารไทย 
                กินจนอิ่ม  เวลาเหมือนไม่นานเลยในการเดินทางเพราะเกรียมใจชวนคุยตลอดการเดินทาง 
            
                ฉันค้นหาข้อมูลการท่องเที่ยวเตรียมมาพร้อม  ศึกษาข้อมูลมาก่อน  เพื่อให้มีอรรถรสในการท่องเที่ยว  เตรียมไดอารี่พร้อมเขียนข้อมูล
                และจดบันทึกกิจกรรมและการท่องเที่ยวทั้งหมด  แล้วเอาไปเขียนเรื่องสั้นลงเวบท่องเที่ยว  จะได้มีโอกาสเป็นนักเขียนสมัครเล่นบ้าง
           
                ก้าวแรกที่เท้าลงถึงผืนแผ่นดินจีน  เมืองปักกิ่ง  ฉันตั้งจิตอธิษฐานเอาไว้ว่าขอให้อยู่ที่เมืองจีน  
                ที่ปักกิ่งได้อย่างปลอดภัยและได้พบเจอกับคนจีนที่ใจดี  มีเมตตาเคยช่วยเหลือ  สาธุ..
             
               รถบัสของโรงเรียนสาธิตมัธยมปักกิ่งจอดรอรับนักเรียนจากเมืองไทย  
            
              “ นักเรียนทุกคนค่ะ จำเอาไว้นะค่ะว่าตอนนี้เรามาอยู่เมืองปักกิ่งแล้ว  ทุกคนต้องห้ามพูดภาษาไทยด้วยกันนะค่ะ  
              ให้ฝึกใช้ภาษาจีนหรือภาษาอังกฤษเท่านั้นค่ะ” 
            
               ครูสุรดาผู้ควบคุมนักเรียนมาสั่งนักเรียนอย่างจริงจัง  เพราะต้องการให้นักเรียนได้ภาษาจีนให้คุ้มค่าที่สุดกับการบุกป่าฝ่าดง  
               ข้ามน้ำข้ามทะเล  มาเรียนภาษาจีนถึงเมืองจีน

               “ ตื่นเต้นจริงๆเลยเดือน  อากาศเย็นมาก  ตะเองไม่หนาวเหรอ”  เกรียมใจพูดไปสั่นไป  สำหรับฉันนะเหรอ  ชอบอากาศเย็นแบบนี้มาก 
               ฟินตอนดูหนังจีนหนังเกาหลี นางเอกลุยหิมะ  เข้าไปช่วยพระเอกซึ่งเป็นคนต่างชาติหลงเข้าไปในป่าและกองหิมะ  ชอบๆๆ..
             
                “ จริงๆก็เย็นนะ  แต่เราใส่ลองจอนไว้ข้างใน  อิอิ..”  ฉันพูดไปกอดคอเกรียมใจไป  
          
               “ เรานอนเตียงบนเองนะเดือน  เพราะเราจะปีนเก่งกว่าตะเอง” 
       
                 เกรียมใจขอจองนอนเตียงชั้นบน  ในห้องหนึ่งมีทั้งหมด 10 เตียง  ซึ่งห้องนอนจะเป็นห้องโถงขนาดใหญ่  นักเรียนไทยอยู่ในห้องโถงนี้
                ส่วนนักเรียนชาติอื่นจะอยู่ห้องโถงถัดไป  ส่วนใหญ่จะเป็นนักเรียนมาจากแถบเอเชียด้วยกัน  มีมาจากญี่ปุ่น  เกาหลี  ลาว  พม่า และเขมร
           
                 ทุกคนจัดของเรียบร้อยแล้ว  ต้องออกไปประชุมร่วมกันเพื่อฟังคำแนะนำและข้อบังคับของโรงเรียน  
                 เพื่อให้นักเรียนทุกคนอยู่ในระเบียบแบบแผนของทางโรงเรียน
           
                “ สวัสดีนักเรียนทุกคนที่มาจากประเทศต่างๆ  ครูขอต้อนรับนักเรียนทุกคนด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่ง” 
                
                  เสียงจากผู้อำนวยการโรงเรียน  ภาษาจีนเริ่มต้องใช้จริงๆแล้วซิ  ฉันพอได้แต่ยังฟังไม่ชัดเจนเท่าไหร่  
                 อาจเป็นไปได้ว่าครูที่สอนในโรงเรียนที่เมืองไทย  สำเนียงของครูจะต่างจากสำเนียงของผู้อำนวยการโรงเรียนซึ่งเป็นคนจีนแท้ๆ 
                  ที่ไม่สามารถพูดไทยได้  ทำให้ฉันต้องปรับการฟังในระยะแรกๆก่อน  อีกไม่นานก็น่าจะคุ้นเคย
           
                 “ นักเรียนทุกคนจะต้องจับฉลากว่าจะได้อยู่กลุ่มอะไร  เพราะนักเรียนมาจากหลายประเทศ  ทางโรงเรียนจึงต้องการให้นักเรียน
                 กระจายกันไป  ขึ้นอยู่กับว่าจะจับฉลากอยู่กับใคร”
                
                 เป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นมากเพราะเกรียมใจกับฉันคงไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกันแน่นอน  และฉันก็คงต้องไปอยู่รวมกลุ่มกับนักเรียนชาติอื่น  
           
                 นักเรียนที่มาเรียนภาษาจีนในครั้งนี้มีทั้งหมด 60 คน  ครูผู้ช่วยให้ฉันจับกลุ่มและได้ไปอยู่กลุ่มรวมกันทุกชาติ  
                 เกรียมใจหน้าเสียเพราะไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกับฉัน  แต่ฉันก็คิดไว้แล้วว่าคงต้องแยกกันอยู่ 
               
                  แต่ก็มีนักเรียนจากไทยบางคนได้อยู่รวมกันกลุ่มละ 3-4 คน  ก็ถือว่าเป็นความโชคดีของพวกเขา  ฉันก็จะโชคร้ายแบบนี้ตลอด  ฮ่าๆๆ..
               
                “ แต่ก็ช่างเถอะ  ไปลุยเอาข้างหน้าหละกัน  ไหนๆก็มาแล้ว  ในกลุ่มฉันมีคนไทยคนเดียว ฮ่าๆๆ ..”  ต้องลุยอย่างเดียวจึงจะอยู่รอด
             
                 ครูจีนเรียกรวมกลุ่ม  ซึ่งกลุ่มที่ฉันอยู่มี 7 คน  มีฉันกับเพื่อนฟิลิปปินส์เป็นผู้หญิง  นอกนั้นเป็นผู้ชายหมด  5 หนุ่มที่เหลือ
                มาจากญี่ปุ่น  2 คน  เกาหลี 1 คน พม่า 1 คนและอังกฤษ 1 คน
             
                 ครูจีนที่คุมกลุ่มฉันชื่อครูซือหวัง  เป็นครูหนุ่มที่กระฉับกระเฉงว่องไว  เขาส่งแผ่นกระดาษให้ทุกคน  เป็นโปรแกรมที่ต้องเรียนใน 4 สัปดาห์
                 เห็นแล้วรู้สึกสนุกนะ  มีหลากหลายวิชามากจริง  น่าสนใจทั้งนั้น  
             
                มีวิชาติวแนวข้อสอบ HSK , ศิลปะการต่อสู้แบบจีน,ทำอาหาร,การเขียนพู่กันจีน,วาดรูป,ตัดกระดาษ,ดนตรีจีน,คอมพิวเตอร์และชมภาพยนตร์จีน
                 ที่จะยากกว่าวิชาอื่นๆก็น่าจะศิลปะการต่อสู้แบบจีน  เพราะฉันไม่ถนัดแนวนี้เท่าไหร่
            
               “ ทุกคนต่อไปนี้ต้องเป็นเพื่อนกันนะครับ  ถ้ามีอะไรให้ปรึกษากันและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน  ถ้าทำอะไรไม่ได้บอกครูนะครับ  
                ครูจะช่วยเหลือครับ”  
             
                ครูซือหวังบอกกับนักเรียนกลุ่มฉัน  ซึ่งดูท่าทางของครูซือหวังจะเป็นห่วงฉันกับเพื่อนฟิลิปปินส์  เพราะมีแค่ 2 สาวในกลุ่มชายหนุ่มทั้ง 5 
                เพราะกลุ่มอื่นส่วนใหญ่มีแต่ผู้หญิง  เป็นความบังเอิญเหลือเกินที่ฉันมาอยู่ในกลุ่มที่มีผู้ชายเยอะ  และมากันหลายประเทศ 
                แต่ก็ถือว่าเป็นโอกาสดีที่จะได้รู้จักเพื่อนหลายประเทศ  คิดแง่บวกเข้าไว้หละกัน
             
                ช่วงเช้าเรียนตามโปรแกรม  ช่วงบ่ายครูซือหวังจะพาเที่ยว  วันนี้จะได้ไปเที่ยวกำแพงเมืองจีน  วันนี้อากาศเย็นกว่าทุกวัน 
                ต้องเตรียมเสื้อกันหนาวหนาไปด้วย  เพราะกำแพงเมืองจีนจะอยู่สูงลมน่าจะแรงและหนาวกว่าพื้นล่าง
          
               กำแพงเมืองจีน สิ่งมหัศจรรย์ของโลก กำแพงหมื่นลี้จากฝีมือมนุษย์ ตำนานความเกรียงไกรของประเทศจีน  
               เป็นความฝันของฉันเลยนะที่จะได้ไปยืนบนกำแพงเมืองจีน

               “ นักเรียนทุกคนต้องใส่รองเท้าผ้าใบไปนะครับ  เพราะอากาศเย็นกว่าทุกวัน  ควรมีหมวกไปด้วยครับ”  
               ครูซือหวังเป็นห่วงนักเรียน เพราะวันนี้อากาศเย็นกว่าทุกวัน
            
               ฉันแอบมองดูครูซือหวังอยู่ห่างๆ  หน้าตาครูซือหวังเหมือนพระเอกซีรี่ย์จีน  ซึ่งฉันเป็นติ่งซีรี่ย์จีนอยู่แล้ว  ครูซือหวังมีรูปร่างสูง
               แต่ดูแข็งแรงว่องไว  ฉันชอบที่ครูซือหวังเขาคอยแนะนำและดูแลฉันกับควีนสาวฟิลิปปินส์  ดูเป็นความหวังดีและห่วงใยที่มาจากใจจริงๆ
           
              “ เย้..เย้..ได้มาถึงแล้วกำแพงเมืองจีน” ฉันคุยกับควีน  ซึ่งเธอเองก็ดีใจไม่ต่างไปจากฉัน  วันนี้ลมแรงจริงๆ  ดีที่ตัดสินใจใส่หมวกไหมพรมมา
               รู้สึกอุ่นและไม่ปลิวตามลม
          
             “ กำแพงเมืองจีนนั้น หลายๆ คนคงรู้อยู่แล้วว่ามันเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ความยาวกว่า 20,000 กิโลเมตร 
             กำแพงเมืองจีนนั้นมีความสำคัญในเชิงจุดยุทธศาสตร์สำคัญในสมัยราชวงศ์ฉิน เพื่อป้องกันการบุกรุกจากชาวฮั่น
             หรือชนเผ่าเร่ร่อนบนหลังม้าในสมัยนั้น ซึ่งจะคอยมารุกรานชาวจีนตามแนวชายแดนอยู่เนืองๆ ซึ่งกำแพงนี้ก็ได้เริ่มสร้างกันมาตั้งแต่ก่อนสมัยของ
             จิ๋นซีฮ่องเต้ แล้วโดยก๊ก หรือแคว้นที่อยู่ตามแนวชายแดนต่างสร้างขึ้นเพื่อป้องกันตนเอง”
         
              ครูซือหวังบรรยายให้ฟัง  เพื่อฝึกให้พวกเราฟังภาษาจีนและเข้าใจเรื่องราวของกำแพงเมืองจีน 
              ซึ่งฉันเองก็ศึกษาอ่านข้อมูลมาแล้วก่อนจะมาปักกิ่ง
           
               ฉันฟังไปมองวิวลงไปข้างล่าง  ไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่เป็นฝีมือของคนจริงๆ  กำแพงเมืองจีน  ทั้งยาวและสูง
             ถ้าสร้างบนพื้นราบก็ไม่น่ามหัศจรรย์  แต่นี่สร้างบนเทือกเขาซึ่งสูงมากคิดแล้วก็น่าสงสารคนที่สร้างกำแพงเมืองจีนในยุคนั้นจริงๆ 
              คงเหนื่อยแสนสาหัส  สงสารจัง..
           
              “ ล้อมเดือน  เธอเป็นอะไรทำไมหน้าตาเศร้ามาก”  ครูซือหวังถามที่เห็นฉันหน้าเศร้า
         
               “ ไม่ได้เป็นอะไรค่ะครู  ฉันแค่คิดสงสารคนสมัยนั้นที่ช่วยกันสร้างกำแพงเมืองจีน  ทั้งสูงและยาวบนเทือกเขา  
               พวกเขาคงหายและป่วยล้มตายกันไปเยอะ”  ฉันพูดกับครูซือหวัง
        
                “ ใช่แล้วครับ  คนสมัยนั้นต้องสละชีวิตกันมากมายเพื่อสร้างกำแพงเมืองจีนนี้”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่