[ 10 Months 1000 Miles ] ชีวิตนักเรียนแลกเปลี่ยนสิบเดือนที่ประเทศจีน!

[ 10 Months  1000 Miles ]
ชีวิตนักเรียนแลกเปลี่ยนสิบเดือนที่ประเทศจีน



สวัสดีค่ะ เมื่อปี2014ที่ผ่านมา เราได้มีโอกาสไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ประเทศจีนเป็นเวลาทั้งหมดสิบเดือน! ฟังดูแล้วอาจจะนานเพราะสิบเดือนก็ปาเข้าไปเกือบปีแล้วเนอะ แต่พอมาอยู่จริงๆคือผ่านไปเร็วมากกกกก ช่วงเวลาของการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ครั้งนี้เร็วเหมือนจิ้งจกวิ่ง(เว่อร์แปป) การเป็นนักเรียนในต่างแดนนี้ เราเป็นทั้งนักเรียน และอยู่ในต่างแดน  ลำพังเป็นนักเรียนเก็บสะสมความรู้ทุกวันก็ยากแล้ว นี้ต้องอยู่กินใช้ชีวิตในต่างเมืองต่างวัฒนธรรม อะไรที่ผ่านเข้ามาในช่วงเวลานั้นทั้งสนุกสุดเหวี่ยงหรือแปลกสุดๆ ก็เหมือนจะฝังลงไปในความทรงจำและยากที่จะลบเลือน  และวันนี้เป็นโอกาสที่ดีที่จะมาเล่าถึงสิ่งที่ได้จากการไปแลกเปลี่ยนครั้งนี้ให้เพื่อนๆฟังกันคร้าบบบ
ปล.หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนๆพี่ๆน้องๆที่กำลังตัดสินใจไปเรียนต่างประเทศหรือไปแลกเปลี่ยนที่ประเทศจีนนะคะอมยิ้ม13
ปล2.ถ้ามีข้อผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะค้าา



เริ่มออกเดินทางการวันที่22สิงหาคม2557 โดยการนั่งเครื่องบินตรงไปยังปักกิ่งค่ะ ไฟท์เช้าตามสไตล์ เพื่อนๆก็ตื่นมาส่งกันที่สนามบิน(ปริ่มสุดด) ก่อนไปก็ร่ำลาป๊าม๊าผองเพื่อนอย่างซาบซึ้งมาก(ร้องไห้ด้วย5555) แต่พอขึ้นเครื่องไปเท่านั้นแหละ หึหึ
อิสรภาพคืนสู่ข้าแล้วโว้ยยยยยย!!!!



พอถึงปักกิ่งลงจากเครื่องเราก็ตื่นเต้นเต็มที่ ความรู้สึกคือ’นี่แหละ การใช้ชีวิตของจริง!’ ไม่เหมือนตอนที่ไปเที่ยวกับครอบครัวที่มาแล้วก็ต้องกลับ เรากลับคิดในอีกทางนึงว่าจะทำยังไงดีนะ ให้มีขีวิตอยู่รอดไปถึงวันกลับอีกสิบเดือนข้างหน้า5555 จากสนามบินทางโครงการก็จัดให้ไปอยู่ร่วมแคมป์ที่นั่นประมาณสองวันค่ะ เป็นเหมือนไปอบรม บอกกฎ สันทนาการเล็กน้อย แถมเค้ายังพาไปสถานที่ที่ขึ้นชื่อมากๆของจีนนั่นคือกำแพงเมืองจีน! ที่ลากผ่านที่9มณฑลของจีนรวมไปถึงปักกิ่งเองด้วย และมันสามารถสูบพลังทั้งชีวิตออกมาใช้ในการเดินขึ้น แทบกลิ้งลงมาตอนขากลับ อมยิ้ม08


^
นี่ถ่ายกับเพื่อนชาวอิตาลี ไปเมืองอะไรไม่รู้ลืมถามเค้า5555


แล้วก็ถึงวันที่ทุกคนต้องแยกย้ายกันเดินทางไปเมืองของตัวเองทั้งเหนือใต้ออกตก ส่วนเมืองที่เราได้ไปอยู่นั้นชื่อว่า ‘เจียมู่ซือ’ (ไม่รู้จักล่ะสิ) เจียมู่ซือเป็นเมืองเล็กๆอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศจีนค่ะแล้วไม่ใช่เหนือธรรมดา เกือบถึงรัสเซียนะจะบอกกกและแถบนี้ก็เลื่องลือกันมากถึงอุณหภูมิตอนฤดูหนาวที่ไม่ธรรมดา –40เองชิวๆTT__TT เตรียมตัวไว้เลยว่าหน้าหนาวต้องใส่เสื้อห้าหกชั้นแน่ๆ55

การเดินทางไปเจียมู่ซือก็ไม่ยากเย็นอะไรค่ะ นั่งรถไฟตู้นอนไป24ชั่วโมง (เน้นว่า ยี่-สิบ-สี่) รากงอกบนรถไฟกันได้เลยทีเดียว0.0 ที่นอนเป็นเตียงแคบๆสามชั้นค่ะ นอนสบายดี(ถ้าไม่นอนดิ้นนะ) ระหว่างทางเราก็คุยกับเพื่อนกับครูที่มารับไปเมืองแปปๆก็ครึ่งวันแล้ว อีกครึ่งวันก็นอนแล้วกัน555 ดีที่มีพนักงานเข็นรถเข็นมาขายของกินตลอด กองทับถึงไม่ต้องขยับก็ต้องเดินด้วยท้องเนอะ อิ่มๆกันไป



ในที่สุดเราก็มาถึงเจียมู่ซือแว้ววววววว นี่คือภาพแรก ที่แชะตอนถึงเมืองเลยค่ะ ตื่นเต้นมาก เมืองเค้าสะอาดและสวยมากโฮก เป็นเมืองที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อม ประชากรอาศัยอยู่มากพอควรแต่ไม่วุ่นวาย รถไม่ติด(นี่พีคสุด) ส่วนใหญ่เค้าจะเดินทางโดยการเดินไม่ก็ใช้รถเมล์กัน(ค่าบริการโดนใจมากหนึ่งหยวนตลอดสายเจ้าาา) มาถึงปุ๊บก็ขึ้นรถครูที่ขับมารับที่สถานีรถไฟแล้วตรงกลับโรงเรียนเลยจ้า ไอ้เราก็นึกว่าไปอีกไกลนะ สรุปนั่งแค่ห้านาทียังไม่ทันหายเมื่อยก็ถึงแล้วโรงเรียนที่รักกก




โรงเรียนที่มาอยู่นั่นก็คือ Jiamusi No.11 Middle School ค่ะ ภาษาจีนคือ 佳木斯市第十一中 (สืออีจง) พอเห็นหน้าโรงเรียนตาผมนี่วาววับเลยครับ555 โรงเรียนสวยอ้ะ ชอบอ้ะ ที่นี่เป็นโรงเรียนมัธยมปลายอันอับสามของเมืองค่ะ(เค้าบอกกันว่างั้น) มันนักเรียนทั้งหมดประมาณสองพันคน ระดับชั้นละสิบสี่ห้อง ห้องละห้าสิบถึงหกสิบคน หน้าโรงเรียนเป็นสวนสาธารณะเอาไว้ให้คนเดินออกกำลังกาย และที่เด็ดที่สุดคือตั้งอยู่กลางเมือง เดินไปห้างกลางเมืองได้ไม่ถึงสิบนาทีTTwTT ปริ่ม





^
สวนหน้าอาคารเรียนจย้า


สิ่งที่ประทับใจอันดับต้นๆคือครูและผอ.ของโรงเรียนที่นี่ค่ะ ไม่รู้อะไรจะใจดีขนาดนี้555 ด้วยความที่โรงเรียนเราไม่มีโรงอาหาร ผอ.เลยจัดการติดต่อกับโรงแรมที่ตั้งอยู่ข้างหลังโรงเรียนให้เราไปทานข้าวที่นั่นแทน เช้า กลางวัน เย็น -..- เลยกลายเป็นว่าได้กินอาหารสุดหรูทุกมื้อเลยจ้าาาาาา แต่อาหารทางเหนือของจีนจะออกไปในทางมันๆเค็มๆหน่อย สมมติมีน้ำซุปหนึ่งชาม ปริมาณของน้ำมันที่ลอยตุ๊บป่องในนั้นคือ1/3ของชามเลยค่าาา ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมมาแล้วอ้วน แต่เพื่อสร้างชั้นไขมันปกป้องตัวเองเวลาหนาวเราก็กินมันเข้าไปอมยิ้ม08


ว่าด้วยเรื่องการเรียนของที่นี่ ผมนี่อึ้งไปเลยเช่นกัน เค้าเริ่มเรียนกันตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าครับท่านผู้ชมมมมมมมม เรียนคาบละสี่สิบนาที ทุกๆสองคาบจะมีการออกกำลังกาย(ช่วงเช้าหน้าหนาวทำกายบริหาร หน้าร้อนวิ่งรอบสนาม/ ช่วงบ่ายนวดบริหารตา)

และยิงยาวไปถึงหกโมงเย็นด้วยสกิลโหดส่วนตัวของเด็กนักเรียนที่นี่ ยังไม่หมดนะ ยังมีการเรียนself studyด้วย นั่นคือการเรียนด้วยตัวเองภาคดึกเริ่มตั้งแต่หนึ่งทุ่มถึงสามทุ่ม ถ้าเป็นเด็กนักเรียนม.6ก็ถึงสี่ทุ่มเลยคจ้าแล้วค่อยกลับบ้าน (พี่เค้าโหดมากเว่อร์) ส่วนใหญ่เด็กจีนจะเอาช่วงเวลานี้ไว้ทำการบ้าน อ่านหนังสือทบทวนบทเรียนของวันนี้และวันต่อไปกันค่ะ เพราะที่จีนมีประชากรเยอะเนอะ เลยส่งผลให้การแข่งขันเค้าสูงไปด้วย เด็กทุกคนมีความรับผิดชอบของตัวเองอย่างไม่น่าเชื่อ ครูที่นี่ไม่ค่อยว่าเด็กแรงๆ แต่จะใช้การพูดให้เด็กคิดได้และปฏิบัติเองมากกว่าค่ะ(อันนี้ชอบมากๆ ชอบนั่งฟังตอนครูเทศน์เด็กจีน555)

ด้านแนวคิดในการเรียนของที่นี่ก็มีบางอย่างที่เราชอบมากเหมือนกัน ครั้งนึงเราเคยคุยกับโฮสเรื่องคะแนนสอบ โฮสบอกว่าเค้าเคยสอบได้30เต็ม100แต่เค้าไม่เสียใจเลยซักนิด เหตุผลหนึ่งเพราะครูไม่ได้นับว่าคะแนนเท่าไหร่คือผ่าน หรือน้อยกว่าเท่าไหร่คือตก ที่สำคัญคือคะแนนสอบมีไว้ให้นักเรียนประเมินตัวเองว่าถ้าความรู้ตัวเองมีเท่านี้ ตัวเองพอใจมั้ย ถ้าคิดว่า30เต็ม100พอแล้วก็ไม่ต้องทำอะไร แต่ถ้าคิดว่าน้อยไปก็ต้องรู้จักพัฒนาตัวเอง(โหย ความคิดหล่อมาก)

เราเด็กไทย เนื่องด้วยเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนเลยได้เลิกเรียนเร็วหน่อยค่ะ เริ่มเจ็ดโมงเช้า สี่โมงครึ่งเค้าก็ปล่อยให้ไปกินข้าวพักผ่อน แล้วค่อยกลับมาเรียนตอนหนึ่งทุ่มถึงสามทุ่ม ชีวิตแน่นมาก555
วิชาที่ได้เรียนก็คือภาษาจีน เช้าจีน กลางวันจีน บ่ายจีน เย็นจีน เอาเป็นว่าเรียนแต่จีน หลังๆนี่ฝันเป็นภาษาจีน จีนขึ้นสมองเลยค่ะ555
แต่ก็จะมีเสริมด้วยกิจกรรมบ้างสลับกันไป เช่นวิชาร้องเพลง(จีน) รำพัด(จีน) กังฟู(จีน) ระบำ(จีน) ทำอาหาร(จีน) วาดพู่กัน(จีน) เอาให้กลายเป็นคนจีนกันไปข้าง  555






งานแรกของของโรงเรียนที่เราได้เข้าร่วมคืองานกีฬาสี!! เราก็ไปร่วมแสดงกับเค้าโดยการใส่ชุดไทยไปรำกลางสนามท่ามกลางอุณภูมิสิบกว่าองศาจ้า เด็กจีนก็ดูจะชอบชุดไทยมาก มองกันใหญ่(หรือเพราะเราแปลกนี่ไม่แน่ใจ55) วันนั้นเด็กนักเรียนก็จะมาแข่งกีฬากันค่ะ มีแข่งวิ่งแบบร้อยเมตร สี่ร้อยเมตรและอีกมากมายนับไม่ถ้วน แบ่งเป็นห้องๆแต่ละห้องจะจัดซุ้มของตัวเองรอบๆสนามบอล มีการโชว์การแสดงสั้นๆให้คณะผู้บริหารโรงเรียนดูกัน





  
พอถึงเทศกาลสำคัญของไทยเราก็เตรียมแผนการ(?)ไปเผยแพร่วัฒนธรรมไทยให้เด็กจีนค่ะ โดยการบุกไปถึงห้องเค้าแล้วจัดกิจกรรมในวันลอยกระทงคือทำกระทงกะเธอ=..= สอนเพื่อนๆเกี่ยวกับวันลอยกระทงและวิธีการทำกระทงง่ายๆจากกระดาษ ให้แข่งกันทำกระทงมาประกวด ไม่น่าเชื่อว่าเพื่อนๆคนจีนจะให้ความสนใจกันแบบล้นหลามสนุกสนาน5555

^
สอนเพื่อนๆพับกระทงด้วยกระดาษสี งานดีนะจะบอกกก


จะบอกว่าตอนแรกตกลงกับเพื่อนว่าจะเองกระทงไปลอยในแม่น้ำกันค่ะ แต่สรุปอากาศหนาวจนแม่น้ำแข็งเป็นน้ำแข็งซะงั้น ลอยที่ไหนดีล่ะ ไม่มีที่ลอย5555

ปิดท้ายด้วยการสุ่มนักเรียนบางคนไปแต่งตัวชุดไทย ที่พีคสุดคือการใส่โจงกระเบนให้เพื่อนผู้ชาย ตอนนุ่งคือต้องมีการพับไปพับมา เก็บปลายผ้าเหน็บไปข้างหลัง เหน็บทีนี่เค้าก็สะดุ้งสิ หันมาถามว่าจะทำอะไร!55555 ไอ้เราก็บอกให้อยู่นิ่งๆ ไอ้เค้าก็กลัว แต่สุดท้ายก็ออกมาสวยงามอย่างในรูป อิ_อิ

^
พี่คนกลางเค้าหล่อนาจาาาา555555




เราก็ใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์กันไปเดือนสองเดือน ตื่นเช้ากินข้าวเข้าเรียนอาบน้ำเข้านอนจนชินค่ะ เสาร์อาทิตย์ก็ออกไปเดินเที่ยวในเมือง กลับไปอยู่กับโฮสบ้างออกมาเล่นกับเพื่อนบ้าง เผลอแปปเดียวก็เริ่มเข้าฤดูหนาวววววว เวลาที่เด็กไทยอย่างเรารอคอยเพราะไม่เคยได้อยู่ในที่อากาศหนาวยาวนานขนาดนี้มาก่อน เข้าธันวาปุ๊บหิมะก็มาเลย ซัดโครมๆไปครึ่งแข้ง เราก็ดี๊ด้าออกไปวิ่งเล่นกลางสนามไปช่วยเค้ากวาดหิมะ เด็กจีนเค้าก็มองงงๆแบบ ‘ตรูเบื่อหิมะจะตายทำไมพวกนี้ชอบวะ’
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่