สวัสดีครับ ผมเป็นคุณพ่อ อายุ 40 ปี มีลูก 2 คนโตผู้ชาย (พี่ต้นน้ำ) ปัจจุบันอายุย่างเข้า 12 (เกิด 2550) ผลการเรียนไม่เคยต่ำกว่า 3.5 (ปกติจะ 3.8 เสมอ มีแย่สุดเทอมที่แล้ว เทอม 2 ป.5 ได้ 3.6 ) คนเล็กเป็นลูกสาว (น้องใบเฟิร์น) ต่อไปนี้กระทู้นี้จะเป็นเรื่องราวของลูกชายของผม และความคิดเห็นของผมและภรรยา กับการวางแผนการส่งลูกชายไปเรียนต่อต่างประเทศ และจะเล่าต่อเนื่องผ่านกระทู้นี้ครับ
ความเดิมก่อนหน้าที่จะตั้งกระทู้นี้ ผมตั้งใจจะส่งต้นน้ำไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ ผมเลือกอินเดีย เพื่อเข้าโรงเรียนนานาชาติ grade 7 เป็นโรงเรียนที่อยู่บนเขา ทางตอนใต้ของประเทศอินเดีย
ทำไมถึงเลือกอินเดีย มีคนถามคำถามนี้กับผมมากมาย เกือบทุกคนที่ได้ยินว่าจะส่งลูกชายไปเรียนที่อินเดียเลยทีเดียว แต่ผมมองว่าอินเดีย เป็นประเทศที่มีการศึกษาที่ดี โดยเฉพาะหากวางแผนจะให้ลูก หรือลูกชอบเรื่องของเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ วิศวะคอมพิวเตอร์ อินเดียถือว่าเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ
หากถามว่า ทำไมไม่ส่งลูกไปเรียนยุโรป หรืออเมริกา ผมขอตอบตามความรู้สึกส่วนตัวว่า ยุโรปและอเมริกา ยังมีการเหยียดผิว เหยียดเอเชีย หากลูกผมจะไปอยู่ที่นั่น ลูกผมจะต้องแข็งแรง ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และความสามารถพร้อมแล้วเท่านั้น ผมไม่ได้รังเกียจ หรืออคติ แต่ผมไม่ได้โลกสวย อย่าดราม่าเรื่องนี้นะครับ มันเป็นความรู้สึกส่วนตัว
หลังจากได้ไปเยี่ยมชมโรงเรียน ช่วงต้นปี 2562 ผมสรุปข้อดี ข้อเสียออกมาดังนี้
ข้อดีของโรงเรียนนี้คือ
1. เด็กไทยน้อยมาก 2-3 คน
2. อากาศดีมาก
3. การเรียนการสอนค่อนข้างดี มีวิชาเลือกมากมาย รวมถึงภาษาที่ 3 มากมายให้เลือก
4. การกินอยู่หลับนอนในหอโรงเรียนค่อนข้างดี
5. เป็นโรงเรียนนานาชาติ ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก ครูชาวอินเดียภายในโรงเรียน สำเนียงอังกฤษดี
ข้อเสีย
1. ไม่มีเที่ยวบินตรงไปยังเมืองที่โรงเรียนตั้งอยู่ จะต้องบิน 2 ต่อ จากกรุงเทพไปเมือง A มีเพียงเที่ยวบินรอบดึก ต้องนอนที่เมือง A 1 คืน ตอนเช้าถึงจะบินต่อไปเมือง B ที่ตั้งของโรงเรียน และจากสนามบินเมือง B ต้องนั่งรถ Taxi ต่อไปยังโรงเรียน โดยใช้เวลาอีก 3 ชั่วโมง โดยครึ่งนึงจะต้องวิ่งขึ้นเขา
2. การเดินทางสุดโหด โค้งหักศอกตลอดทุกๆ 5-10 วินาที เป็นเวลาต่อเนื่อง 1.30 ชม. ในการนั่ง taxi ขึ้นไปยังโรงเรียน แต่ละโค้งและถนนทั้งเส้น ไม่มีที่กั้น กันตก ย้ำ!! ไม่มีที่กั้นกันตก และขับด้วยความเร็วไม่น้อยกว่า 60 กม./ชม. รถสวนตลอดทาง รถ Taxi ที่โรงเรียนส่งมารับ ทางโรงเรียนยืนยันว่า เขาจะขับเร็วประมาณนี้เป็นปกติ เพราะเป็นคนพื้นที่ ชินแล้ว หากคุณมาบ่อยๆจะชินไปเอง!? คนชอบเมารถ จงอย่าไปเด็ดขาด ถึงแม้ว่าจะเดินทางขึ้น-ลงเขานี้ไม่บ่อย ปีละ 2-4 รอบ แต่มันก็มากพอ พอที่จะไม่อยากเอาชีวิตลูกชายคนเดียวไปเสี่ยง
3. หลังจากได้พูดคุยกับน้องนักเรียนไทย พบว่าข้อเสียหลักอีกข้อคือ ครูที่ดูแลปัญหา (รับแจ้งปัญหา และแก้ไขปัญหา) ของเด็กนักเรียนต่างชาติ ไม่สนใจแก้ปัญหาของเด็กอย่างจริงจัง หากมีปัญหาอะไร น้องแนะนำให้แจ้งผู้ปกครอง ให้ผู้ปกครองฟ้องและตำหนิไปทาง admission ทาง admission จะรีบส่งเรื่องและบังคับแก้ไขไปยังส่วนงานที่รับผิดชอบได้ไวและจริงจังกว่ามาก
ส่วนโรงเรียนอื่นๆภายในอินเดีย หลังจากพยายามหาข้อมูลแล้วนั้น ที่ดีกว่าโรงเรียนข้างต้น ค่าเทอมก็สูงจนผมไม่สามารถจ่ายไหว
สรุป ที่อินเดีย หากคุณต้องการส่งบุตรหลานไปคว้าดาว ในสภาพแวดล้อมทีดี คุณต้องแลกมาด้วยค่าใช้จ่ายที่สูงระดับ 7 หลัก หากต่ำกว่านี้จะต้องยอมแลกกับบางสิ่งเช่นโรงเรียนข้างต้น
24/06/2562 (ปีการศึกษา 2019-2020) ประถมศึกษา ปีที่ 6 โรงเรียนโชคชัย รังสิต EP 6/2
หลังจากล้มโปรเจคอินเดียมาได้ 2-3 เดือน ผมก็เริ่มโปรเจคใหม่คือ จีน เพราะมองว่าการไปเรียนที่ประเทศจีน ทำให้ได้เปลี่ยบเรื่องของภาษาที่ 3 (ลูกผมมีพื้นฐานภาษาอังกฤษดีเยี่ยม ภาษาเยอรมันระดับ A1 ภาษาจีน เคยเรียนตัวต่อตัวกับสถาบันมู่หลานจนจบคลอสเด็กทั้งหมด แต่ผมไม่ได้พาไปสอบ HSK และหลังจากนั้นก็ทิ้งภาษาจีนมาเป็นระยะเวลาถึง 3 ปี) หลังจบระดับมัธยมปลาย ก็มีโอกาสสอบเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังในกรุงปักกิ่งต่อไป หรือจะทำตามฝันไปสอบแข่งขัน เข้ามหาวิทยาลัยในเบอร์ลิน ประเทศเยอรมัน (หากเข้มแข็งเพียงพอแล้ว)
วันนี้จึงได้เริ่มโทรไปปรึกษาเอเจนซี่ และได้ชื่อโรงเรียนมัธยมที่น่าจะเหมาะสมกับน้องที่สุดมา 2 โรงเรียน
1. โรงเรียนมัธยมสาธิต ม.หัวตง วิทยาเขตสอง (HSEFZ) หรือ No.2 High School of East China Normal University อยู่ที่มหานครเซี่ยงไฮ้
2. โรงเรียนมัธยมปักกิ่ง หมายเลข 39 หรือ Beijing No.39 Middle School อยู่ที่กรุงปักกิ่ง
ทั้ง 2 โรงเรียนเป็นโรงเรียนรัฐบาล ไม่ใช่โรงเรียนนานาชาติ หากจะถามว่า ทำไมไม่มองโรงเรียนนานาชาติ ผมมองว่าถ้าจะมีโอกาสสอบเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังในประเทศจีน ระดับภาษาจีนต้องเข้มแข็งมากพอ พอที่จะเรียนว่าสามารถใช้ภาษาจีนเป็นภาษาแม่ได้ การเข้าเรียนกับโรงเรียนรัฐบาลจึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า ทั้งนี้ก่อนตัดสินใจ คงต้องบินไปดูโรงเรียนทั้ง 2 แห่งก่อน ในเดือนตุลาคม (หรืออาจเร็วกว่านั้น หากจะวางแผนให้ลูกได้ทดลองไปเรียนช่วงปิดเทอม)
หลังจากกำหนดเป้าหมายได้แล้วว่าจะให้ไปเรียนต่อที่ประเทศจีน
ผมก็เริ่มมองหาครู โดยเฉพาะครูที่เป็นชาวจีน
ทำไมต้องครูชาวจีน ผมมองว่าหากได้เรียนพื้นฐานจากครูชาวจีน จะทำให้ได้สำเนียงที่ถูกต้องตั้งแต่แรก หากต้องแก้ภายหลัง จะเป็นเรื่องยุ่งยากครับ
โดยกำหนดการเรียนคือ สัปดาห์ละ 4 วัน ได้แก่ จันทร์ พุธ เสาร์ วันลด 2 ชั่วโมง ตั้งแต่ 18.00-20.00 น. เพื่อฟื้นความจำเรื่องภาษาจีนที่เคยเรียนมากับสถาบันมู่หลาน แต่สุดท้ายกลับไม่สามารถหาครูชาวจีนได้ในวัน เวลาในการสอนดังกล่าวข้างต้น สุดท้ายจึงได้ว่าจ้างครูชาวไทย ที่จบมหาวิทยาลัยในประเทศไทย เอกภาษาจีนมาสอน
แต่เพื่อความมั่นใจในสำเนียง และการออกเสียง รวมถึงเพิ่มความกล้า กล้าที่จะให้ภาษาจีน พูดกับชาวจีนจริงๆ ผมจึงได้ไปติดต่อกับสถาบันสอนภาษาจีนอีกแห่ง เพื่อให้ลูกชายได้เรียนกับเหล่าซือชาวจีนจริงๆ ให้ได้ตามวัตถุประสงค์ดังกล่าวข้างต้น โดยกำหนดให้เรียนในวันอาทิตย์อีก 2 ชั่วโมง แต่ยังไม่คอนเฟิร์ม ทางสถาบันจะหาเหล่าซือให้และจะติดต่อกลับภายในวันศุกร์ที่ 28/06/62
ส่วนเรื่องเนื้อหาการเรียนที่ต้องปรับตัว หลักๆคือวิชาคณิตศาสตร์ เพราะจากข้อมูลที่หาได้ ทางหลักสูตรการเรียนที่ประเทศจีน วิชาคณิตศาสตร์จะเรียนเร็วกว่าที่ประเทศไทยอยู่พอสมควร ตอนนี้จึงให้ทางเอเจนซี่ติดต่อ ขอข้อมูลจากทางโรงเรียนที่เซี่ยงไฮ้ เพื่อให้ครูที่สอนพิเศษวิชาคณิตศาสตร์ เร่งให้ทันกับทางประเทศจีนต่อไปครับ
ปล.ผมจะมาอัพกระทู้เรื่อยๆตามความคืบหน้าครับ สำหรับท่านผู้ปกครองที่มีความเห็น ขอให้ช่วยเขียนเสนอมาได้เลยครับ ผมยินดีรับฟังทุกแนวคิดครับ
สำหรับผู้ที่ว่าง และมีงานเป็นการสร้างดราม่า รบกวนป้ายหน้าครับ
ส่งลูกเรียนจีนตั้งแต่มัธยมต้น ชีวิตจริงเป็นอย่างไร ทำไมต้องจีน มาพูดคุยแลกเปลี่ยนกันครับ
ความเดิมก่อนหน้าที่จะตั้งกระทู้นี้ ผมตั้งใจจะส่งต้นน้ำไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ ผมเลือกอินเดีย เพื่อเข้าโรงเรียนนานาชาติ grade 7 เป็นโรงเรียนที่อยู่บนเขา ทางตอนใต้ของประเทศอินเดีย
ทำไมถึงเลือกอินเดีย มีคนถามคำถามนี้กับผมมากมาย เกือบทุกคนที่ได้ยินว่าจะส่งลูกชายไปเรียนที่อินเดียเลยทีเดียว แต่ผมมองว่าอินเดีย เป็นประเทศที่มีการศึกษาที่ดี โดยเฉพาะหากวางแผนจะให้ลูก หรือลูกชอบเรื่องของเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ วิศวะคอมพิวเตอร์ อินเดียถือว่าเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ
หากถามว่า ทำไมไม่ส่งลูกไปเรียนยุโรป หรืออเมริกา ผมขอตอบตามความรู้สึกส่วนตัวว่า ยุโรปและอเมริกา ยังมีการเหยียดผิว เหยียดเอเชีย หากลูกผมจะไปอยู่ที่นั่น ลูกผมจะต้องแข็งแรง ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และความสามารถพร้อมแล้วเท่านั้น ผมไม่ได้รังเกียจ หรืออคติ แต่ผมไม่ได้โลกสวย อย่าดราม่าเรื่องนี้นะครับ มันเป็นความรู้สึกส่วนตัว
หลังจากได้ไปเยี่ยมชมโรงเรียน ช่วงต้นปี 2562 ผมสรุปข้อดี ข้อเสียออกมาดังนี้
ข้อดีของโรงเรียนนี้คือ
1. เด็กไทยน้อยมาก 2-3 คน
2. อากาศดีมาก
3. การเรียนการสอนค่อนข้างดี มีวิชาเลือกมากมาย รวมถึงภาษาที่ 3 มากมายให้เลือก
4. การกินอยู่หลับนอนในหอโรงเรียนค่อนข้างดี
5. เป็นโรงเรียนนานาชาติ ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก ครูชาวอินเดียภายในโรงเรียน สำเนียงอังกฤษดี
ข้อเสีย
1. ไม่มีเที่ยวบินตรงไปยังเมืองที่โรงเรียนตั้งอยู่ จะต้องบิน 2 ต่อ จากกรุงเทพไปเมือง A มีเพียงเที่ยวบินรอบดึก ต้องนอนที่เมือง A 1 คืน ตอนเช้าถึงจะบินต่อไปเมือง B ที่ตั้งของโรงเรียน และจากสนามบินเมือง B ต้องนั่งรถ Taxi ต่อไปยังโรงเรียน โดยใช้เวลาอีก 3 ชั่วโมง โดยครึ่งนึงจะต้องวิ่งขึ้นเขา
2. การเดินทางสุดโหด โค้งหักศอกตลอดทุกๆ 5-10 วินาที เป็นเวลาต่อเนื่อง 1.30 ชม. ในการนั่ง taxi ขึ้นไปยังโรงเรียน แต่ละโค้งและถนนทั้งเส้น ไม่มีที่กั้น กันตก ย้ำ!! ไม่มีที่กั้นกันตก และขับด้วยความเร็วไม่น้อยกว่า 60 กม./ชม. รถสวนตลอดทาง รถ Taxi ที่โรงเรียนส่งมารับ ทางโรงเรียนยืนยันว่า เขาจะขับเร็วประมาณนี้เป็นปกติ เพราะเป็นคนพื้นที่ ชินแล้ว หากคุณมาบ่อยๆจะชินไปเอง!? คนชอบเมารถ จงอย่าไปเด็ดขาด ถึงแม้ว่าจะเดินทางขึ้น-ลงเขานี้ไม่บ่อย ปีละ 2-4 รอบ แต่มันก็มากพอ พอที่จะไม่อยากเอาชีวิตลูกชายคนเดียวไปเสี่ยง
3. หลังจากได้พูดคุยกับน้องนักเรียนไทย พบว่าข้อเสียหลักอีกข้อคือ ครูที่ดูแลปัญหา (รับแจ้งปัญหา และแก้ไขปัญหา) ของเด็กนักเรียนต่างชาติ ไม่สนใจแก้ปัญหาของเด็กอย่างจริงจัง หากมีปัญหาอะไร น้องแนะนำให้แจ้งผู้ปกครอง ให้ผู้ปกครองฟ้องและตำหนิไปทาง admission ทาง admission จะรีบส่งเรื่องและบังคับแก้ไขไปยังส่วนงานที่รับผิดชอบได้ไวและจริงจังกว่ามาก
ส่วนโรงเรียนอื่นๆภายในอินเดีย หลังจากพยายามหาข้อมูลแล้วนั้น ที่ดีกว่าโรงเรียนข้างต้น ค่าเทอมก็สูงจนผมไม่สามารถจ่ายไหว
สรุป ที่อินเดีย หากคุณต้องการส่งบุตรหลานไปคว้าดาว ในสภาพแวดล้อมทีดี คุณต้องแลกมาด้วยค่าใช้จ่ายที่สูงระดับ 7 หลัก หากต่ำกว่านี้จะต้องยอมแลกกับบางสิ่งเช่นโรงเรียนข้างต้น
24/06/2562 (ปีการศึกษา 2019-2020) ประถมศึกษา ปีที่ 6 โรงเรียนโชคชัย รังสิต EP 6/2
หลังจากล้มโปรเจคอินเดียมาได้ 2-3 เดือน ผมก็เริ่มโปรเจคใหม่คือ จีน เพราะมองว่าการไปเรียนที่ประเทศจีน ทำให้ได้เปลี่ยบเรื่องของภาษาที่ 3 (ลูกผมมีพื้นฐานภาษาอังกฤษดีเยี่ยม ภาษาเยอรมันระดับ A1 ภาษาจีน เคยเรียนตัวต่อตัวกับสถาบันมู่หลานจนจบคลอสเด็กทั้งหมด แต่ผมไม่ได้พาไปสอบ HSK และหลังจากนั้นก็ทิ้งภาษาจีนมาเป็นระยะเวลาถึง 3 ปี) หลังจบระดับมัธยมปลาย ก็มีโอกาสสอบเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังในกรุงปักกิ่งต่อไป หรือจะทำตามฝันไปสอบแข่งขัน เข้ามหาวิทยาลัยในเบอร์ลิน ประเทศเยอรมัน (หากเข้มแข็งเพียงพอแล้ว)
วันนี้จึงได้เริ่มโทรไปปรึกษาเอเจนซี่ และได้ชื่อโรงเรียนมัธยมที่น่าจะเหมาะสมกับน้องที่สุดมา 2 โรงเรียน
1. โรงเรียนมัธยมสาธิต ม.หัวตง วิทยาเขตสอง (HSEFZ) หรือ No.2 High School of East China Normal University อยู่ที่มหานครเซี่ยงไฮ้
2. โรงเรียนมัธยมปักกิ่ง หมายเลข 39 หรือ Beijing No.39 Middle School อยู่ที่กรุงปักกิ่ง
ทั้ง 2 โรงเรียนเป็นโรงเรียนรัฐบาล ไม่ใช่โรงเรียนนานาชาติ หากจะถามว่า ทำไมไม่มองโรงเรียนนานาชาติ ผมมองว่าถ้าจะมีโอกาสสอบเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังในประเทศจีน ระดับภาษาจีนต้องเข้มแข็งมากพอ พอที่จะเรียนว่าสามารถใช้ภาษาจีนเป็นภาษาแม่ได้ การเข้าเรียนกับโรงเรียนรัฐบาลจึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า ทั้งนี้ก่อนตัดสินใจ คงต้องบินไปดูโรงเรียนทั้ง 2 แห่งก่อน ในเดือนตุลาคม (หรืออาจเร็วกว่านั้น หากจะวางแผนให้ลูกได้ทดลองไปเรียนช่วงปิดเทอม)
หลังจากกำหนดเป้าหมายได้แล้วว่าจะให้ไปเรียนต่อที่ประเทศจีน
ผมก็เริ่มมองหาครู โดยเฉพาะครูที่เป็นชาวจีน
ทำไมต้องครูชาวจีน ผมมองว่าหากได้เรียนพื้นฐานจากครูชาวจีน จะทำให้ได้สำเนียงที่ถูกต้องตั้งแต่แรก หากต้องแก้ภายหลัง จะเป็นเรื่องยุ่งยากครับ
โดยกำหนดการเรียนคือ สัปดาห์ละ 4 วัน ได้แก่ จันทร์ พุธ เสาร์ วันลด 2 ชั่วโมง ตั้งแต่ 18.00-20.00 น. เพื่อฟื้นความจำเรื่องภาษาจีนที่เคยเรียนมากับสถาบันมู่หลาน แต่สุดท้ายกลับไม่สามารถหาครูชาวจีนได้ในวัน เวลาในการสอนดังกล่าวข้างต้น สุดท้ายจึงได้ว่าจ้างครูชาวไทย ที่จบมหาวิทยาลัยในประเทศไทย เอกภาษาจีนมาสอน
แต่เพื่อความมั่นใจในสำเนียง และการออกเสียง รวมถึงเพิ่มความกล้า กล้าที่จะให้ภาษาจีน พูดกับชาวจีนจริงๆ ผมจึงได้ไปติดต่อกับสถาบันสอนภาษาจีนอีกแห่ง เพื่อให้ลูกชายได้เรียนกับเหล่าซือชาวจีนจริงๆ ให้ได้ตามวัตถุประสงค์ดังกล่าวข้างต้น โดยกำหนดให้เรียนในวันอาทิตย์อีก 2 ชั่วโมง แต่ยังไม่คอนเฟิร์ม ทางสถาบันจะหาเหล่าซือให้และจะติดต่อกลับภายในวันศุกร์ที่ 28/06/62
ส่วนเรื่องเนื้อหาการเรียนที่ต้องปรับตัว หลักๆคือวิชาคณิตศาสตร์ เพราะจากข้อมูลที่หาได้ ทางหลักสูตรการเรียนที่ประเทศจีน วิชาคณิตศาสตร์จะเรียนเร็วกว่าที่ประเทศไทยอยู่พอสมควร ตอนนี้จึงให้ทางเอเจนซี่ติดต่อ ขอข้อมูลจากทางโรงเรียนที่เซี่ยงไฮ้ เพื่อให้ครูที่สอนพิเศษวิชาคณิตศาสตร์ เร่งให้ทันกับทางประเทศจีนต่อไปครับ
ปล.ผมจะมาอัพกระทู้เรื่อยๆตามความคืบหน้าครับ สำหรับท่านผู้ปกครองที่มีความเห็น ขอให้ช่วยเขียนเสนอมาได้เลยครับ ผมยินดีรับฟังทุกแนวคิดครับ
สำหรับผู้ที่ว่าง และมีงานเป็นการสร้างดราม่า รบกวนป้ายหน้าครับ