เนื่องจากคุณแม่ประสบความสำเร็จจากการผ่าตัดเนื้องอกในสมองเลยอยากจะแชร์เรื่องราวให้ทุกท่านที่มีปัญหานี้ให้มีกำลังค่ะ
ไปเริ่มตรวจเพราะคุณแม่อายุ 66 (ในขณะนั้นต้นปี 2019) เดินไม่ปกติค่ะ เหมือนเอาหนังยางมารัดขาสองข้างไว้ สังเกตุได้ครึ่งปีเริ่มหนักขึ้นจนหลังๆ เดินไม่ถึง 10 ก้าวแล้วจะล้ม อาการอื่นๆ ไม่มี เพราะคุณแม่ไม่มีโรคประจำตัว ทานข้าวบ้านและออกกำลังกาย (รำมวยจีน + ทำงานบ้าน) และนั่งสมาธิ
ไปตรวจโดยใช้สิทธิบัตรทองรพ. รัฐแถวๆ รังสิต หมอวินิจฉัยว่าอาจจะเป็นพาคินสัน แต่เราไม่เชื่อเพราะหมอเองก็ไม่มีเครื่องมืออื่นที่จะช่วยวินิจฉัยได้ชัดเจนกว่านี้
หมอเลยส่งไปที่รพ. ราชวิถี ซึ่งรอคิวนานมาก ไปถึงมีคิวก็รอนานอีก ตรวจหลายอย่างมาก และหลายรอบมาก ทั้งกระดูก ข้อ เส้นเลือด เบาหวาน ความดัน ไม่มีอะไรผิดปกติ จนสุดท้ายเข้า MRI ถึงทราบว่ามีเนื้องอก (ช่วงปลายปี 2019)
ช่วงต้นปี 2020 ได้คิวส่งตัวไปที่แผนกประสาทวิทยาค่ะ หมอค่อนข้างเป็นห่วงในการผ่าตัดเพราะว่าเนื้องอกจัดว่ามีขนาดใหญ่ ก่อนหน้านี้เราเสิร์ชหารพ. ที่มีผลการผ่าตัดเป็นไปในแง่บวกที่สุด พาคุณแม่ไปเช็ครพ. อื่นมาด้วย แต่จะต้องรอนานไปมากกว่านี้ ด้วยความที่ครอบครัวเราไม่ได้มีฐานะดีมาก เลยตกลงกันที่รพ. ราชวิถีเพราะใช้สิทธิบัตรทองได้
หมอกังวลและอธิบายผลข้างเคียงหลังผ่าซึ่งเรากลัวมาก เพราะมันคือผ่าตัดสมองและอะไรก็เกิดขึ้นได้ มีการปรึกษากันกับหมอหลายท่าน ให้คุณแม่เราเดินให้ดู เพราะหมอก็ไม่เคยเจอเคสนี้ที่ทุกอย่างปกติหมดเว้นแค่การเดิน สุดท้ายตกลงผ่าแบบเปิดกะโหลก แม่เราไม่กลัวค่ะ กลัวแค่ต้องโกนผมแล้วผมจะขึ้นไม่สวยเหมือนเดิม55555555555
หมอให้แอดมิทเพื่อเช็คสภาพร่างกายก่อนผ่าตัดก่อนราวๆ 6 วัน และผ่าช่วงอาทิตย์สุดท้ายของ ก.พ. 2020
เคสคุณแม่เราใช้เวลานานมากเข็นเข้าไปตั้งแต่ 8 โมงเช้า เราได้เข้าไปหาใน ICU ตอน เกือบ 2 ทุ่ม คุณหมอที่ผ่าเองก็น่าจะเหนื่อยมาก ผ่าเสร็จกลับเลย เราไม่ได้แม้แต่ขอบคุณด้วยซ้ำ
เราไปเยี่ยมทุกวันกับคุณพ่อ แม่ตื่นวันรุ่งขึ้นแต่อาการไม่ค่อยดีขึ้นเท่าไหร่ การตอบสนองน้อยมาก ดูดเสลดและใส่ที่ช่วยหายใจตลอด ผ่านไป 1 อาทิตย์ใน ICU คุณหมอเลยขอให้ผ่าอีกรอบเพราะมีน้ำในสมอง เลยจะระบายออกทางช่องท้อง ต้องใส่สายยางจากสมองต่อมาที่ท้องค่ะ
ผ่าตัดครั้งที่ 2 ต้นมี.ค. 2020 ทุกอย่างปกติค่ะ แม่อยู่ ICU ต่ออีก 1 อาทิตย์ ระหว่างนั้นผลแลบชิ้นเนื้อคือไม่ใช่เนื้อร้าย ไม่เป็นมะเร็ง เราดีใจน้ำตาไหลเลยค่ะ (รพ. ส่งไปตรวจกับแลบนอกค่ะ) ระหว่างนี้คุณแม่ตอบสนองดีขึ้น จากที่กระซิบอะไรไปแล้วแกไม่ตอบ ตอนนี้แกพยักหน้าได้ เช่นถาม เจ็บมั้ย? ลูกมาเยี่ยมนะ? ให้กระดิกนิ้วแกทำได้
ผ่านไป 4 วัน ถึงได้เอาเครื่องช่วยหายใจออก สรุปอยู่ ICU ไป 2 อาทิตย์แล้วค่อยออกมาอยู่หอผู้ป่วยรวมค่ะ การที่จะได้ห้องเดี่ยวนั้นยากมาก คิวเยอะมาก และแต่ละเคสคือหนักๆ ทั้งนั้น หมอและพยาบาลเก่งและอดทนกันมากค่ะ สุดท้ายคืออยู่ห้องรวมจนรักษาเสร็จ
ระหว่างนั้นคุณแม่อาการดีขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังออกจาก ICU คือยกขา ยกแขนได้ อาจจะเบลอๆ เช่นคิดว่าเราไปนอนเฝ้าที่วอร์ด แต่จริงๆ แล้วเราอยู่ตปท. ไม่ได้ไปหาแกเลยตั้งแต่ย้ายมา (ช่วงโควิดพอดีค่ะ) เรารู้สึกโล่งใจมากที่แกไม่มีอาการเช่นปากเบี้ยว หรือเป็นอัมพาต แถมยังลุกนั่งทานข้าวเองได้ จำทุกคน ทุกอย่างได้
คุณแม่ได้กลับบ้านไวเพราะรพ. ต้องใช้เตียงรับผู้ป่วยโควิด (ช่วงสิ้นเดือนมี.ค. 2020) เดินโดยใช้ที่ช่วยเดินและคุณพ่อดูแลคุณแม่คนเดียวที่บ้าน
ผ่านไป 3 วันเดินไปห้องน้ำเองได้โดยไม่ได้พยุงหรือใช้ที่ช่วยเดิน นอนร้องเพลงคาราโอเกะกับคุณพ่อ ผ่านไม่ถึงเดือนก็เริ่มกลับไปทำงานบ้านเบาๆ ได้แล้วค่ะ หลังจากนั้นดีขึ้นเรื่อยๆ จนทุกวันนี้เหมือนไม่เคยมีเนื้องอกเกิดขึ้น เดินได้เหมือนคนปกติ รำมวยจีน ออกกำลังกาย ปั่นจักรยาน ทำงานบ้านได้ทุกอย่าง เหมือนได้แม่ใหม่55555
ช่วงผมกำลังขึ้นค่ะ55555
สรุปนะคะ
การรักษาช่วงที่อยู่ในร.พ. เรากับพ่อจะเอาวิทยุเล็กๆ เปิดเพลงสมาธิที่แกฟังประจำให้ฟังค่ะ ให้คนมาเยี่ยมน้อยที่สุดเพราะโดยปกติคนเราจะกลัวการมาเยี่ยมคนป่วยอยู่แล้ว เราไม่อยากให้ใครมารู้สึกสงสารหรือพูดสื่อไม่ดีให้แม่ฟัง เราให้กำลังใจกันกับพ่อตลอดว่าคุณแม่มีอาการดีขึ้นทุกวันๆ ไปเยี่ยมก็เอาขนมไปฝากพยาบาลบ่อยๆ (เพราะในนั้นผู้ป่วยเยอะและงานหนักมาก) เราทาครีมและนวดทุกส่วนให้เลือดไหลเวียน เดี๋ยวแกจะโกรธที่ตื่นมาแล้วผิวแห้ง555555
การรักษาช่วงอยู่บ้านก็เช่นเดียวกันค่ะ ไม่ให้คนมาเยี่ยมเลย ใครถามก็บอกว่าแม่ผ่าตัดสำเร็จแล้ว แม่ดีขึ้นแล้วค่ะ ช่วยพยาบาลได้ไม่นานแกก็ทำอะไรเองได้ แต่จะบ่นเจ็บหัวตลอดทั้งปีเลยค่ะ หมอนที่ใช้นอนต้องมีหลายๆ แบบให้แกนอนสะดวก ให้แม่นอนห้องนอนชึ้นล่างจะได้สะดวกด้วยค่ะ ทำให้แกไม่เครียด ร้องเพลง นั่งสมาธิ เล่นกับหมา
ผ่านมาจนถึงตอนนี้คุณแม่ไปพบคุณหมอแค่สิ้นปีที่แล้วครั้งเดียวเพื่อเช็คอาการ แต่คุณหมอบอกว่าเดินได้ปกติแล้วก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วค่ะ (จริงๆ ต้องไปตรวจอีกแต่ก็ติดช่วงโควิดอีก) และตั้งแต่ 2021 เป็นต้นมาไม่ค่อยบ่นเจ็บหัวแล้ว
ค่าใช้จ่าย
เราไม่เสียสักบาทเลยค่ะ ตั้งแต่เริ่มตรวจที่รังสิต จนมารักษาจบที่รพ. ราชวิถีเพราะสิทธิบัตรทองล้วนๆ ขอบพระคุณมาก เพราะถ้าเราต้องจ่ายค่ารักษาและยาทั้งหมด เราหมดตัวแน่ๆ
เสียแค่ค่าแพมเพิร์สแล้วก็ของทำความสะอาดส่วนตัวคนไข้เช่น แปรงสีฟัน ยาสีฟัน ค่ะ (น่าจะมียิบย่อยอีกแต่ไม่มากค่ะ)
เราเลือกบริจาคช่วยรพ. กับหมั่นเอาขนมไปให้พี่ๆ หมอและพยาบาลช่วงที่คุณแม่นอนอยู่ และช่วงที่ไปตรวจเพื่อเป็นการขอบคุณค่ะ อยากบอกว่าหมอรพ. รัฐฯ เก่งจริงๆ รอนานหน่อยแต่รักษาเสร็จ จบ แต่ก็แล้วแต่เคสนะคะ เราถือว่าโชคดีด้วย คุณหมอเก่งด้วยค่ะ
สุดท้ายถ้าใครอยากจะปรึกษาหรือแลกเปลี่ยนเรื่องนี้เรายินดีตอบทาง inbox นะคะ เผื่อใครที่กลัวๆ กล้าๆ ที่จะรักษาที่รพ. รัฐ ก็มาถามได้ค่ะ
แชร์ประสบการณ์การผ่าตัดเนื้องอกในสมองของผู้สูงอายุและการรักษาหลังผ่าตัด (รพ.รัฐฯ)
ไปเริ่มตรวจเพราะคุณแม่อายุ 66 (ในขณะนั้นต้นปี 2019) เดินไม่ปกติค่ะ เหมือนเอาหนังยางมารัดขาสองข้างไว้ สังเกตุได้ครึ่งปีเริ่มหนักขึ้นจนหลังๆ เดินไม่ถึง 10 ก้าวแล้วจะล้ม อาการอื่นๆ ไม่มี เพราะคุณแม่ไม่มีโรคประจำตัว ทานข้าวบ้านและออกกำลังกาย (รำมวยจีน + ทำงานบ้าน) และนั่งสมาธิ
ไปตรวจโดยใช้สิทธิบัตรทองรพ. รัฐแถวๆ รังสิต หมอวินิจฉัยว่าอาจจะเป็นพาคินสัน แต่เราไม่เชื่อเพราะหมอเองก็ไม่มีเครื่องมืออื่นที่จะช่วยวินิจฉัยได้ชัดเจนกว่านี้
หมอเลยส่งไปที่รพ. ราชวิถี ซึ่งรอคิวนานมาก ไปถึงมีคิวก็รอนานอีก ตรวจหลายอย่างมาก และหลายรอบมาก ทั้งกระดูก ข้อ เส้นเลือด เบาหวาน ความดัน ไม่มีอะไรผิดปกติ จนสุดท้ายเข้า MRI ถึงทราบว่ามีเนื้องอก (ช่วงปลายปี 2019)
ช่วงต้นปี 2020 ได้คิวส่งตัวไปที่แผนกประสาทวิทยาค่ะ หมอค่อนข้างเป็นห่วงในการผ่าตัดเพราะว่าเนื้องอกจัดว่ามีขนาดใหญ่ ก่อนหน้านี้เราเสิร์ชหารพ. ที่มีผลการผ่าตัดเป็นไปในแง่บวกที่สุด พาคุณแม่ไปเช็ครพ. อื่นมาด้วย แต่จะต้องรอนานไปมากกว่านี้ ด้วยความที่ครอบครัวเราไม่ได้มีฐานะดีมาก เลยตกลงกันที่รพ. ราชวิถีเพราะใช้สิทธิบัตรทองได้
หมอกังวลและอธิบายผลข้างเคียงหลังผ่าซึ่งเรากลัวมาก เพราะมันคือผ่าตัดสมองและอะไรก็เกิดขึ้นได้ มีการปรึกษากันกับหมอหลายท่าน ให้คุณแม่เราเดินให้ดู เพราะหมอก็ไม่เคยเจอเคสนี้ที่ทุกอย่างปกติหมดเว้นแค่การเดิน สุดท้ายตกลงผ่าแบบเปิดกะโหลก แม่เราไม่กลัวค่ะ กลัวแค่ต้องโกนผมแล้วผมจะขึ้นไม่สวยเหมือนเดิม55555555555
หมอให้แอดมิทเพื่อเช็คสภาพร่างกายก่อนผ่าตัดก่อนราวๆ 6 วัน และผ่าช่วงอาทิตย์สุดท้ายของ ก.พ. 2020
เคสคุณแม่เราใช้เวลานานมากเข็นเข้าไปตั้งแต่ 8 โมงเช้า เราได้เข้าไปหาใน ICU ตอน เกือบ 2 ทุ่ม คุณหมอที่ผ่าเองก็น่าจะเหนื่อยมาก ผ่าเสร็จกลับเลย เราไม่ได้แม้แต่ขอบคุณด้วยซ้ำ
เราไปเยี่ยมทุกวันกับคุณพ่อ แม่ตื่นวันรุ่งขึ้นแต่อาการไม่ค่อยดีขึ้นเท่าไหร่ การตอบสนองน้อยมาก ดูดเสลดและใส่ที่ช่วยหายใจตลอด ผ่านไป 1 อาทิตย์ใน ICU คุณหมอเลยขอให้ผ่าอีกรอบเพราะมีน้ำในสมอง เลยจะระบายออกทางช่องท้อง ต้องใส่สายยางจากสมองต่อมาที่ท้องค่ะ
ผ่าตัดครั้งที่ 2 ต้นมี.ค. 2020 ทุกอย่างปกติค่ะ แม่อยู่ ICU ต่ออีก 1 อาทิตย์ ระหว่างนั้นผลแลบชิ้นเนื้อคือไม่ใช่เนื้อร้าย ไม่เป็นมะเร็ง เราดีใจน้ำตาไหลเลยค่ะ (รพ. ส่งไปตรวจกับแลบนอกค่ะ) ระหว่างนี้คุณแม่ตอบสนองดีขึ้น จากที่กระซิบอะไรไปแล้วแกไม่ตอบ ตอนนี้แกพยักหน้าได้ เช่นถาม เจ็บมั้ย? ลูกมาเยี่ยมนะ? ให้กระดิกนิ้วแกทำได้
ผ่านไป 4 วัน ถึงได้เอาเครื่องช่วยหายใจออก สรุปอยู่ ICU ไป 2 อาทิตย์แล้วค่อยออกมาอยู่หอผู้ป่วยรวมค่ะ การที่จะได้ห้องเดี่ยวนั้นยากมาก คิวเยอะมาก และแต่ละเคสคือหนักๆ ทั้งนั้น หมอและพยาบาลเก่งและอดทนกันมากค่ะ สุดท้ายคืออยู่ห้องรวมจนรักษาเสร็จ
ระหว่างนั้นคุณแม่อาการดีขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังออกจาก ICU คือยกขา ยกแขนได้ อาจจะเบลอๆ เช่นคิดว่าเราไปนอนเฝ้าที่วอร์ด แต่จริงๆ แล้วเราอยู่ตปท. ไม่ได้ไปหาแกเลยตั้งแต่ย้ายมา (ช่วงโควิดพอดีค่ะ) เรารู้สึกโล่งใจมากที่แกไม่มีอาการเช่นปากเบี้ยว หรือเป็นอัมพาต แถมยังลุกนั่งทานข้าวเองได้ จำทุกคน ทุกอย่างได้
คุณแม่ได้กลับบ้านไวเพราะรพ. ต้องใช้เตียงรับผู้ป่วยโควิด (ช่วงสิ้นเดือนมี.ค. 2020) เดินโดยใช้ที่ช่วยเดินและคุณพ่อดูแลคุณแม่คนเดียวที่บ้าน
ผ่านไป 3 วันเดินไปห้องน้ำเองได้โดยไม่ได้พยุงหรือใช้ที่ช่วยเดิน นอนร้องเพลงคาราโอเกะกับคุณพ่อ ผ่านไม่ถึงเดือนก็เริ่มกลับไปทำงานบ้านเบาๆ ได้แล้วค่ะ หลังจากนั้นดีขึ้นเรื่อยๆ จนทุกวันนี้เหมือนไม่เคยมีเนื้องอกเกิดขึ้น เดินได้เหมือนคนปกติ รำมวยจีน ออกกำลังกาย ปั่นจักรยาน ทำงานบ้านได้ทุกอย่าง เหมือนได้แม่ใหม่55555
ช่วงผมกำลังขึ้นค่ะ55555
สรุปนะคะ
การรักษาช่วงที่อยู่ในร.พ. เรากับพ่อจะเอาวิทยุเล็กๆ เปิดเพลงสมาธิที่แกฟังประจำให้ฟังค่ะ ให้คนมาเยี่ยมน้อยที่สุดเพราะโดยปกติคนเราจะกลัวการมาเยี่ยมคนป่วยอยู่แล้ว เราไม่อยากให้ใครมารู้สึกสงสารหรือพูดสื่อไม่ดีให้แม่ฟัง เราให้กำลังใจกันกับพ่อตลอดว่าคุณแม่มีอาการดีขึ้นทุกวันๆ ไปเยี่ยมก็เอาขนมไปฝากพยาบาลบ่อยๆ (เพราะในนั้นผู้ป่วยเยอะและงานหนักมาก) เราทาครีมและนวดทุกส่วนให้เลือดไหลเวียน เดี๋ยวแกจะโกรธที่ตื่นมาแล้วผิวแห้ง555555
การรักษาช่วงอยู่บ้านก็เช่นเดียวกันค่ะ ไม่ให้คนมาเยี่ยมเลย ใครถามก็บอกว่าแม่ผ่าตัดสำเร็จแล้ว แม่ดีขึ้นแล้วค่ะ ช่วยพยาบาลได้ไม่นานแกก็ทำอะไรเองได้ แต่จะบ่นเจ็บหัวตลอดทั้งปีเลยค่ะ หมอนที่ใช้นอนต้องมีหลายๆ แบบให้แกนอนสะดวก ให้แม่นอนห้องนอนชึ้นล่างจะได้สะดวกด้วยค่ะ ทำให้แกไม่เครียด ร้องเพลง นั่งสมาธิ เล่นกับหมา
ผ่านมาจนถึงตอนนี้คุณแม่ไปพบคุณหมอแค่สิ้นปีที่แล้วครั้งเดียวเพื่อเช็คอาการ แต่คุณหมอบอกว่าเดินได้ปกติแล้วก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วค่ะ (จริงๆ ต้องไปตรวจอีกแต่ก็ติดช่วงโควิดอีก) และตั้งแต่ 2021 เป็นต้นมาไม่ค่อยบ่นเจ็บหัวแล้ว
ค่าใช้จ่าย
เราไม่เสียสักบาทเลยค่ะ ตั้งแต่เริ่มตรวจที่รังสิต จนมารักษาจบที่รพ. ราชวิถีเพราะสิทธิบัตรทองล้วนๆ ขอบพระคุณมาก เพราะถ้าเราต้องจ่ายค่ารักษาและยาทั้งหมด เราหมดตัวแน่ๆ
เสียแค่ค่าแพมเพิร์สแล้วก็ของทำความสะอาดส่วนตัวคนไข้เช่น แปรงสีฟัน ยาสีฟัน ค่ะ (น่าจะมียิบย่อยอีกแต่ไม่มากค่ะ)
เราเลือกบริจาคช่วยรพ. กับหมั่นเอาขนมไปให้พี่ๆ หมอและพยาบาลช่วงที่คุณแม่นอนอยู่ และช่วงที่ไปตรวจเพื่อเป็นการขอบคุณค่ะ อยากบอกว่าหมอรพ. รัฐฯ เก่งจริงๆ รอนานหน่อยแต่รักษาเสร็จ จบ แต่ก็แล้วแต่เคสนะคะ เราถือว่าโชคดีด้วย คุณหมอเก่งด้วยค่ะ
สุดท้ายถ้าใครอยากจะปรึกษาหรือแลกเปลี่ยนเรื่องนี้เรายินดีตอบทาง inbox นะคะ เผื่อใครที่กลัวๆ กล้าๆ ที่จะรักษาที่รพ. รัฐ ก็มาถามได้ค่ะ