#เมื่อลินป่วยเป็นเนื้องอกสมอง(ตอนที่๑/๖)
สวัสดีค่ะทุกๆท่าน จุดประสงค์ในการแชร์ประสบการณ์การรักษาเนื้องอกสมองครั้งนี้ คือการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับทุกท่านที่กำลังเจ็บป่วยด้วยโรคนี้ค่ะ ขอเริ่มเลยนะคะ
ด้วยความที่ลินชอบอ่าน ชอบโพสต์ใน Facebook อยู่เสมอ เมื่อใดที่รู้สึกว่าดวงตาพร่ามัว ก็จะสรุปเอาเองว่าใช้สายตามากเกินไป มักขยี้ตาเบาๆ บางครั้งก็ดีขึ้น บางครั้งก็แย่ลง รู้สึกปวดศีรษะตึงๆ บ่อยมาก ก็มักจะให้เด็กถอนผมขาว หลายครั้งที่ความเจ็บปวด (แต่ไม่หนัก) นั้นหายไป แต่ก็อีกหลายครั้งเช่นกันค่ะ ที่มันยังรู้สึกปวดเช่นเดิม แต่ลินก็ไม่เคยระแวงว่าจะเกิดจากสาเหตุใด เคยรู้สึกบ้านหมุน เหมือนโลกทั้งโลกมันหมุนไปกับเราเลยค่ะ ไม่ว่าจะเอาสองมือบีบขมับ แล้วงอตัวกดนิ่งสักปานใด บ้านยังหมุนเป็นวงล้อในความรู้สึก เป็นอยู่ประมาณหนึ่งอาทิตย์ แล้วก็ไม่เคยหมุนอีกเลย นั่นคือเหตุการณ์เมื่อประมาณสี่ปีที่แล้วค่ะ นอกจากนั้นก็จะมีอาการปวดศีรษะคล้ายไมเกรนประมาณสี่ครั้งค่ะ แต่ละครั้งก็ทิ้งระยะห่างกันเป็นปี แต่สองครั้งหลังคือเดือนตุลาคม ๒๕๖๑ และเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๒
เดือนตุลาคม ๒๕๖๑
ลินรู้สึกว่าดวงตาข้างซ้ายมัว เหมือนมีฉากสีฟ้าบางๆ มาบังนัยน์ตา มองไม่รู้ว่าสีแดง เขียว ส้ม เห็นเป็นโทนสีเทาดำหมด ในขณะที่ตาข้างขวาปกติ ตัดสินใจไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน (ต้นสังกัดใช้สิทธิ์ประกันสังคม) เพราะคิดว่าที่โรงพยาบาลน่าจะมีความพร้อม คุณหมอส่งไป "วัดสายตา" เค้าก็ให้อ่านตัวเลข 8 5 4 7 ตามสเต็ป ก็อ่านได้ เพราะตาข้างขวายังดีอยู่ แต่ไม่มีการตรวจดวงตาเลย ให้กลับบ้าน ไม่มียา ความสงสัยจึงทำให้ลินรีบเข้าคลีนิคที่เคยรักษา(โรคอื่น) ไม่ได้บอกคุณหมอหรอกค่ะว่าเพิ่งออกจากโรงพยาบาลมาเมื่อตะกี้นี้เอง (คลีนิคนี้ลินก็ใช้สิทธิ์ประกันสังคมค่ะ) คุณหมอก็ตรวจตาด้วยเครื่องมือ (ทุกอย่างที่เกี่ยวกับตา) ที่คุณหมอมีอยู่ จำได้ว่า ตอนคุณหมอส่องไฟฉายแสงสีส้มอันใหญ่มาที่ดวงตาข้างซ้าย ลินไม่รู้สึกแสบตาเลยค่ะ ผิดกับตาข้างขวา ซึ่งต้องรีบกะพริบตาสู้แสงไฟ ยิ่งเพิ่มความสงสัยมากขึ้นไปอีก คุณหมอบอกว่าไม่พบต้อเนื้อ ต้อลม ต้อกระจก (น่าจะรวมต้อหินด้วยนะคะ) สันนิษฐานว่า น่าจะเป็นโรคเส้นประสาทตาส่วนที่เชื่อมกับสมอง มันอักเสบ คุณหมอบอกว่าไม่มีสาเหตุ อาจจะเกิดจากการพักผ่อนน้อย และยังบอกอีกว่า ตามสถิติผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้มีโอกาสเป็นโรคความจำเสื่อม (คุณพระช่วย) นึกถึงคราวที่ลินก้าวลงจากรถไฟ เดินบนชานชาลาสถานี มีอยู่ครั้งนึงที่ลินจำไม่ได้ว่าลินอยู่ ณ ตำแหน่งไหน ลินต้องหยุดเดินแล้วพยายามนึก นึก และนึก สักพักนึงก็จำได้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน(มันน่ากลัวนะคะ) เริ่มเห็นด้วยกับคุณหมอแล้ว (นึกในใจว่าคุณหมอช่างเก่งยิ่งนัก) คุณหมอก็ให้ยาหยอดตามาค่ะ กำชับให้พักผ่อนมากๆ ลินก็ปฏิบัติตามค่ะ
เดือนพฤษภาคม ๒๕๖๒
เป็นวันแรงงานค่ะ วันนั้นตาข้างซ้ายแย่ลง จากที่เคยเป็นฉากสีฟ้าบางๆ กลายเป็นฉากสีม่วงปนเทา มองเห็นสันจมูกตัวเองชัดเจนเลยค่ะ นอนเปิดไฟ ตะแคงข้างขวาลง จะมองไม่เห็นแสงไฟเลยค่ะ (ตอนนั้นเศร้ามาก) รีบจัดการธุระให้เสร็จ แล้วไปพบคุณหมอที่คลีนิคเดิม บอกอาการคุณหมอ คุณหมอก็ตรวจเหมือนเดิมอีกครั้ง ยังยืนยันคำเดิมว่าเป็นโรคเส้นประสาทตาอักเสบ คราวนี้คุณหมอให้ยามาทาน เช้าสองเม็ด เย็นสองเม็ด บอกขอเวลารักษาประมาณ ๒ ถึง ๓ เดือน แล้วนัดมาพบอีกครั้ง ๓ สัปดาห์ถัดไป
เมื่อครบกำหนดนัด รีบไปพบคุณหมอ บอกด้วยความดีใจว่า ดีขึ้นแล้วค่ะคุณหมอมันกลับไปเป็นสีฟ้าเหมือนเมื่อเดือนตุลาคมแล้วค่ะ คุณหมอก็ให้ยาตัวเดิมมาทานอีก แต่ลดลงเหลือครั้งละ ๑ เม็ด เช้า-เย็นค่ะ และนัดคราวหน้าอีกครั้ง ๓ สัปดาห์
แต่แล้ว......ผ่านไป ๒ สัปดาห์ อาการแย่ลง มันกลับมาเป็นฉากสีม่วงเทาปนดำอีกแล้วค่ะ รีบไปพบคุณหมอที่คลีนิคอีก คุณหมอบอกให้ทานยาให้ครบ แล้วมาหาหมอตามนัด ตอนนั้นเครียดเลยค่ะ นี่เราจะทำอย่างไรดี เริ่มมีอาการกะระยะไม่ถูก เช่น เทน้ำลงแก้วก็หกรดพื้นโต๊ะ หั่นผัก หั่นพริกก็กะระยะผิดหมด เลยเลิกทำกับข้าวตั้งแต่บัดนั้นเลยค่ะ
โชคยังเข้าข้างค่ะ ท่านรองนายกอบต. แนะนำให้ไปตรวจดวงตาที่โรงพยาบาลบ้านแพ้ว ตอนนั้นกะจะเสียเงินค่ารักษาพยาบาลเองทั้งหมดค่ะ ต้องยอมรับค่ะว่าโรงพยาบาลบ้านแพ้วบริการดีมาก ได้ตรวจกับคุณหมอจักษุ ด้วยเครื่องมือมากมายหลายชนิด ไม่พบต้อลม ต้อเนื้อ ต้อกระจก ต้อหิน ตอนที่พยาบาลให้ส่องอุโมงค์ หากเห็นแสงสีเขียวให้กดสัญญาณทุกครั้ง ปิดตาทีละข้าง ตาข้างขวาได้กดเป็นร้อยครั้ง แต่ตาข้างซ้ายลินได้กดแค่ ๓-๔ ครั้ง พยาบาลบอกว่า "ตาข้างซ้ายมองไม่เห็นเลยนะคะคุณป้า"
เศร้าลึกๆค่ะ) เมื่อจบกระบวนการตรวจตา ได้เข้าพบคุณหมอใจดี บอกว่าจะต้องตรวจเพิ่มเติมอย่างละเอียด ต้องเสียค่าใช้จ่ายหลายหมื่น ว่าแล้วคุณหมอก็ปริ๊นท์เอกสารออกมาใบนึง เซ็นชื่อเรียบร้อย แล้วส่งให้ลิน เป็นเอกสารแนะนำให้ไปทำสิทธิ์ประกันสังคม ส่งตัวมารักษาจากโรงพยาบาลต้นสังกัดประกันสังคม คุณหมอบอกว่าวันพฤหัสบดีจะมีคุณหมอศัลยกรรมประสาทและสมองมาตรวจ วันนั้นเป็นวันอังคารค่ะ วันรุ่งขึ้นก็เอาเอกสารใบนั้นไปขอทำสิทธิ์ใบส่งตัว วันพฤหัสบดีก็ไปพบคุณหมอตามคำแนะนำ คุณหมอสั่งแอดมิด สั่งทำ MRI (ตอนนั้นนึกว่าทำ CT SCAN ค่ะ) พยาบาลให้เซ็นเอกสารยินยอมรับการรักษา คืนนั้นนอนหลับๆตื่นๆ สงสัยจะตื่นเต้นค่ะ เก้าโมงเช้า ก็มีเจ้าหน้าที่มาเข็นไปทำ MRI คุณหมอที่แผนกนั้นถามชื่อ นามสกุล ซักซ้อมทำความเข้าใจถึงวิธีการปฏิบัติตัวตอนอยู่ในเครื่อง MRI...(ติดตามตอนต่อไปนะคะ)
ลิน.
เมื่อฉันป่วยเป็นเนื้องอกในสมอง
สวัสดีค่ะทุกๆท่าน จุดประสงค์ในการแชร์ประสบการณ์การรักษาเนื้องอกสมองครั้งนี้ คือการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับทุกท่านที่กำลังเจ็บป่วยด้วยโรคนี้ค่ะ ขอเริ่มเลยนะคะ
ด้วยความที่ลินชอบอ่าน ชอบโพสต์ใน Facebook อยู่เสมอ เมื่อใดที่รู้สึกว่าดวงตาพร่ามัว ก็จะสรุปเอาเองว่าใช้สายตามากเกินไป มักขยี้ตาเบาๆ บางครั้งก็ดีขึ้น บางครั้งก็แย่ลง รู้สึกปวดศีรษะตึงๆ บ่อยมาก ก็มักจะให้เด็กถอนผมขาว หลายครั้งที่ความเจ็บปวด (แต่ไม่หนัก) นั้นหายไป แต่ก็อีกหลายครั้งเช่นกันค่ะ ที่มันยังรู้สึกปวดเช่นเดิม แต่ลินก็ไม่เคยระแวงว่าจะเกิดจากสาเหตุใด เคยรู้สึกบ้านหมุน เหมือนโลกทั้งโลกมันหมุนไปกับเราเลยค่ะ ไม่ว่าจะเอาสองมือบีบขมับ แล้วงอตัวกดนิ่งสักปานใด บ้านยังหมุนเป็นวงล้อในความรู้สึก เป็นอยู่ประมาณหนึ่งอาทิตย์ แล้วก็ไม่เคยหมุนอีกเลย นั่นคือเหตุการณ์เมื่อประมาณสี่ปีที่แล้วค่ะ นอกจากนั้นก็จะมีอาการปวดศีรษะคล้ายไมเกรนประมาณสี่ครั้งค่ะ แต่ละครั้งก็ทิ้งระยะห่างกันเป็นปี แต่สองครั้งหลังคือเดือนตุลาคม ๒๕๖๑ และเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๒
เดือนตุลาคม ๒๕๖๑
ลินรู้สึกว่าดวงตาข้างซ้ายมัว เหมือนมีฉากสีฟ้าบางๆ มาบังนัยน์ตา มองไม่รู้ว่าสีแดง เขียว ส้ม เห็นเป็นโทนสีเทาดำหมด ในขณะที่ตาข้างขวาปกติ ตัดสินใจไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน (ต้นสังกัดใช้สิทธิ์ประกันสังคม) เพราะคิดว่าที่โรงพยาบาลน่าจะมีความพร้อม คุณหมอส่งไป "วัดสายตา" เค้าก็ให้อ่านตัวเลข 8 5 4 7 ตามสเต็ป ก็อ่านได้ เพราะตาข้างขวายังดีอยู่ แต่ไม่มีการตรวจดวงตาเลย ให้กลับบ้าน ไม่มียา ความสงสัยจึงทำให้ลินรีบเข้าคลีนิคที่เคยรักษา(โรคอื่น) ไม่ได้บอกคุณหมอหรอกค่ะว่าเพิ่งออกจากโรงพยาบาลมาเมื่อตะกี้นี้เอง (คลีนิคนี้ลินก็ใช้สิทธิ์ประกันสังคมค่ะ) คุณหมอก็ตรวจตาด้วยเครื่องมือ (ทุกอย่างที่เกี่ยวกับตา) ที่คุณหมอมีอยู่ จำได้ว่า ตอนคุณหมอส่องไฟฉายแสงสีส้มอันใหญ่มาที่ดวงตาข้างซ้าย ลินไม่รู้สึกแสบตาเลยค่ะ ผิดกับตาข้างขวา ซึ่งต้องรีบกะพริบตาสู้แสงไฟ ยิ่งเพิ่มความสงสัยมากขึ้นไปอีก คุณหมอบอกว่าไม่พบต้อเนื้อ ต้อลม ต้อกระจก (น่าจะรวมต้อหินด้วยนะคะ) สันนิษฐานว่า น่าจะเป็นโรคเส้นประสาทตาส่วนที่เชื่อมกับสมอง มันอักเสบ คุณหมอบอกว่าไม่มีสาเหตุ อาจจะเกิดจากการพักผ่อนน้อย และยังบอกอีกว่า ตามสถิติผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้มีโอกาสเป็นโรคความจำเสื่อม (คุณพระช่วย) นึกถึงคราวที่ลินก้าวลงจากรถไฟ เดินบนชานชาลาสถานี มีอยู่ครั้งนึงที่ลินจำไม่ได้ว่าลินอยู่ ณ ตำแหน่งไหน ลินต้องหยุดเดินแล้วพยายามนึก นึก และนึก สักพักนึงก็จำได้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน(มันน่ากลัวนะคะ) เริ่มเห็นด้วยกับคุณหมอแล้ว (นึกในใจว่าคุณหมอช่างเก่งยิ่งนัก) คุณหมอก็ให้ยาหยอดตามาค่ะ กำชับให้พักผ่อนมากๆ ลินก็ปฏิบัติตามค่ะ
เดือนพฤษภาคม ๒๕๖๒
เป็นวันแรงงานค่ะ วันนั้นตาข้างซ้ายแย่ลง จากที่เคยเป็นฉากสีฟ้าบางๆ กลายเป็นฉากสีม่วงปนเทา มองเห็นสันจมูกตัวเองชัดเจนเลยค่ะ นอนเปิดไฟ ตะแคงข้างขวาลง จะมองไม่เห็นแสงไฟเลยค่ะ (ตอนนั้นเศร้ามาก) รีบจัดการธุระให้เสร็จ แล้วไปพบคุณหมอที่คลีนิคเดิม บอกอาการคุณหมอ คุณหมอก็ตรวจเหมือนเดิมอีกครั้ง ยังยืนยันคำเดิมว่าเป็นโรคเส้นประสาทตาอักเสบ คราวนี้คุณหมอให้ยามาทาน เช้าสองเม็ด เย็นสองเม็ด บอกขอเวลารักษาประมาณ ๒ ถึง ๓ เดือน แล้วนัดมาพบอีกครั้ง ๓ สัปดาห์ถัดไป
เมื่อครบกำหนดนัด รีบไปพบคุณหมอ บอกด้วยความดีใจว่า ดีขึ้นแล้วค่ะคุณหมอมันกลับไปเป็นสีฟ้าเหมือนเมื่อเดือนตุลาคมแล้วค่ะ คุณหมอก็ให้ยาตัวเดิมมาทานอีก แต่ลดลงเหลือครั้งละ ๑ เม็ด เช้า-เย็นค่ะ และนัดคราวหน้าอีกครั้ง ๓ สัปดาห์
แต่แล้ว......ผ่านไป ๒ สัปดาห์ อาการแย่ลง มันกลับมาเป็นฉากสีม่วงเทาปนดำอีกแล้วค่ะ รีบไปพบคุณหมอที่คลีนิคอีก คุณหมอบอกให้ทานยาให้ครบ แล้วมาหาหมอตามนัด ตอนนั้นเครียดเลยค่ะ นี่เราจะทำอย่างไรดี เริ่มมีอาการกะระยะไม่ถูก เช่น เทน้ำลงแก้วก็หกรดพื้นโต๊ะ หั่นผัก หั่นพริกก็กะระยะผิดหมด เลยเลิกทำกับข้าวตั้งแต่บัดนั้นเลยค่ะ
โชคยังเข้าข้างค่ะ ท่านรองนายกอบต. แนะนำให้ไปตรวจดวงตาที่โรงพยาบาลบ้านแพ้ว ตอนนั้นกะจะเสียเงินค่ารักษาพยาบาลเองทั้งหมดค่ะ ต้องยอมรับค่ะว่าโรงพยาบาลบ้านแพ้วบริการดีมาก ได้ตรวจกับคุณหมอจักษุ ด้วยเครื่องมือมากมายหลายชนิด ไม่พบต้อลม ต้อเนื้อ ต้อกระจก ต้อหิน ตอนที่พยาบาลให้ส่องอุโมงค์ หากเห็นแสงสีเขียวให้กดสัญญาณทุกครั้ง ปิดตาทีละข้าง ตาข้างขวาได้กดเป็นร้อยครั้ง แต่ตาข้างซ้ายลินได้กดแค่ ๓-๔ ครั้ง พยาบาลบอกว่า "ตาข้างซ้ายมองไม่เห็นเลยนะคะคุณป้า"เศร้าลึกๆค่ะ) เมื่อจบกระบวนการตรวจตา ได้เข้าพบคุณหมอใจดี บอกว่าจะต้องตรวจเพิ่มเติมอย่างละเอียด ต้องเสียค่าใช้จ่ายหลายหมื่น ว่าแล้วคุณหมอก็ปริ๊นท์เอกสารออกมาใบนึง เซ็นชื่อเรียบร้อย แล้วส่งให้ลิน เป็นเอกสารแนะนำให้ไปทำสิทธิ์ประกันสังคม ส่งตัวมารักษาจากโรงพยาบาลต้นสังกัดประกันสังคม คุณหมอบอกว่าวันพฤหัสบดีจะมีคุณหมอศัลยกรรมประสาทและสมองมาตรวจ วันนั้นเป็นวันอังคารค่ะ วันรุ่งขึ้นก็เอาเอกสารใบนั้นไปขอทำสิทธิ์ใบส่งตัว วันพฤหัสบดีก็ไปพบคุณหมอตามคำแนะนำ คุณหมอสั่งแอดมิด สั่งทำ MRI (ตอนนั้นนึกว่าทำ CT SCAN ค่ะ) พยาบาลให้เซ็นเอกสารยินยอมรับการรักษา คืนนั้นนอนหลับๆตื่นๆ สงสัยจะตื่นเต้นค่ะ เก้าโมงเช้า ก็มีเจ้าหน้าที่มาเข็นไปทำ MRI คุณหมอที่แผนกนั้นถามชื่อ นามสกุล ซักซ้อมทำความเข้าใจถึงวิธีการปฏิบัติตัวตอนอยู่ในเครื่อง MRI...(ติดตามตอนต่อไปนะคะ)