คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 66
สวัสดีครับ ขอบคุณทุกๆความคิดเห็น สำหรับกำลังใจ และสิ่งดีๆนะครับ
.
จริงๆแล้วก่อนที่ผมจะตั้งกระทู้นี้ ผมก็คิดแล้วคิดอีกนะว่า จะตั้งดีไหม เพราะผมรู้สึกว่าตรงนี้มันเป็นปม ไม่อยากบอกให้ใครรู้ เพราะกลัวคนจะรังเกียจ หรือ ไม่ยอมรับ จะส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตในอนาคตอย่างไร แต่อีกมุมนึง ผมคิดว่า อยากที่จะแชร์เป็นประสบการณ์ ให้คนอื่นๆได้รับรู้ โดยเฉพาะคนปกติที่รู้สึกว่าตนเองด้อยค่า มีปัญหา มีความทุกข์ต่างๆ หรือกำลังคิดสั้น ให้หันกลับมามองที่ตัวผม เป็นคนนึงที่ไม่ปกติ ที่ต่อสู้ฟันฝ่ากับเรื่องของอารมณ์ตนเอง ที่พยายามพัฒนาปรับปรุงบุคลิกของตนเองให้เทียบเท่ากับคนปกติ จนดีขึ้นในที่สุด เป็นคนที่ใจเย็น สามารถอยู่ร่วมกับคนปกติในสังคมได้ ไม่รู้สึกว่าตัวเองแปลกแยกจากสังคม มีความภาคภูมิใจในตนเอง รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า ยอมรับในสิ่งที่เป็น เรียนรู้ไปกับมัน ผมจะบอกว่า คุณโชคดีแล้วที่คุณเกิดมามีพัฒนาการที่ปกติ มีร่างกายที่ครบ 32 ประการ อยากให้ตัวคุณ ขอบคุณตัวเองให้มากๆที่พระเจ้าทรงมอบทุกอย่างให้แก่คุณ ไม่ต้องมาทนทุกข์ในสิ่งที่ผมเป็น อย่างน้อยเผื่อคุณจะได้มีสติมากขึ้น
.
จึงเป็นสิ่งที่ทำให้ผมลองที่จะตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา และพบว่าได้รับกระแสตอบรับที่ดีมาก มีคนเข้ามาให้กำลังใจผมมากมาย บางคนบอกว่า ผมพิมพ์ได้ดี เอาจริงๆแล้ว ผมไม่ได้เรียนการเขียนบทความมาจากไหน มันมากจากความรู้สึกข้างในตัวผมล้วนๆ ที่บอกว่าให้ผมพิมพ์อย่างนี้ ต้องวรรคอย่างนี้ (เหมือนช่างภาพที่รู้ว่าต้องถ่ายรูปมุมไหน จัดองค์ประกอบ แสง สี อย่างไร ประมาณนี้)
.
และทำให้ผมมองเห็นว่า สังคมสมัยนี้ให้การยอมรับมากขึ้น เปิดกว้างมากขึ้น มีคนที่เป็นออทิสติกกล้าที่จะเปิดตัว และแชร์ประสบการณ์ของตนเองมากขึ้น รวมถึงคุณแม่หลายๆคนที่มีลูกที่เป็นออทิสติก แล้วกลัวว่า เด็กโตขึ้นไปแล้วจะเป็นปกติไหม จะพึ่งพาตนเอง จะช่วยเหลือตนเอง เลี้ยงดูตนเองได้ไหม ซึ่งพอมาอ่านกระทู้ของผม มองเห็นผมเป็น Case Study แล้วมีกำลังใจมากขึ้น ตรงนี้ทั้งหมดผมเองก็ต้องขอขอบคุณทุกๆคนด้วย ที่ทำให้ผมได้รู้ว่า สังคมสมัยนี้ไม่เหมือนสังคมสมัยก่อน ที่มักเหมารวมคนที่ไม่ปกติว่า เป็นคนบ้า เป็นคนปัญญาอ่อน ซึ่งจริงๆแล้วคนไม่ปกตินั้นก็มีหลายโรคหลายอาการ ซึ่งสามารถที่จะบำบัดรักษาให้กลับมาเป็นปกติได้เหมือนกัน
.
รู้สึกท้อใจ หรือ เหนื่อยใจ บ้างไหม
ก็มีบ้าง แต่น้อยมาก ส่วนใหญ่ก็ยังเป็นปัญหาเรื่องอารมณ์ที่เวลาโกรธใคร ก็จะขึ้นสุด จนแทบอยากจะพุ่งใส่เลย ถ้าเป็นแต่ก่อนก็จะพุ่งใส่ทันที แต่ตอนนี้ก็จะตั้งสติให้ดี แล้วพิจารณาว่า ถ้าทำไปแล้วจะส่งผลกระทบอะไรบ้าง แล้วใครจะได้รับผลกระทบจากตรงนี้มากสุด คำตอบก็คือผม ก็เลยพยายามตั้งสติให้มั่น นึกถึงองค์พระพิฆเนศ ซึ่งเป็นองค์ครูบาอาจารย์ที่ผมศรัทธา นึกถึงแม่ นึกถึงครูบาอาจารย์ ก็เลยทำให้ผมมีสติได้บ้าง แล้วพอหลังจากที่ใจเย็นลง(กว่าจะใจเย็นลง บางทีก็นานมาก นานเป็นวันก็มี) พอเอาเรื่องที่คนอื่นทำให้ผมโกรธมาพิจารณาอีกที ผมก็เฉยๆ แล้วก็บอกว่า ดีแล้วที่เราไม่ทำอย่างนั้น มันเป็นของมันอย่างนี้ แล้วก็ผ่านไป แล้วก็ขอบคุณความโกรธในตอนนั้นที่ทำให้ผมก้าวขึ้นมาจุดสูงสุดได้(สิ่งที่เหนื่อยที่สุดก็คือ การระงับความโกรธของตนเอง ที่จะไม่ให้พุ่งออกไป บางทีก็ยากมาก และต้องใจเย็นอย่างมาก - พอทำได้ก็รู้สึกภูมิใจในตนเอง)
.
จริงๆแล้วก่อนที่ผมจะตั้งกระทู้นี้ ผมก็คิดแล้วคิดอีกนะว่า จะตั้งดีไหม เพราะผมรู้สึกว่าตรงนี้มันเป็นปม ไม่อยากบอกให้ใครรู้ เพราะกลัวคนจะรังเกียจ หรือ ไม่ยอมรับ จะส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตในอนาคตอย่างไร แต่อีกมุมนึง ผมคิดว่า อยากที่จะแชร์เป็นประสบการณ์ ให้คนอื่นๆได้รับรู้ โดยเฉพาะคนปกติที่รู้สึกว่าตนเองด้อยค่า มีปัญหา มีความทุกข์ต่างๆ หรือกำลังคิดสั้น ให้หันกลับมามองที่ตัวผม เป็นคนนึงที่ไม่ปกติ ที่ต่อสู้ฟันฝ่ากับเรื่องของอารมณ์ตนเอง ที่พยายามพัฒนาปรับปรุงบุคลิกของตนเองให้เทียบเท่ากับคนปกติ จนดีขึ้นในที่สุด เป็นคนที่ใจเย็น สามารถอยู่ร่วมกับคนปกติในสังคมได้ ไม่รู้สึกว่าตัวเองแปลกแยกจากสังคม มีความภาคภูมิใจในตนเอง รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า ยอมรับในสิ่งที่เป็น เรียนรู้ไปกับมัน ผมจะบอกว่า คุณโชคดีแล้วที่คุณเกิดมามีพัฒนาการที่ปกติ มีร่างกายที่ครบ 32 ประการ อยากให้ตัวคุณ ขอบคุณตัวเองให้มากๆที่พระเจ้าทรงมอบทุกอย่างให้แก่คุณ ไม่ต้องมาทนทุกข์ในสิ่งที่ผมเป็น อย่างน้อยเผื่อคุณจะได้มีสติมากขึ้น
.
จึงเป็นสิ่งที่ทำให้ผมลองที่จะตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา และพบว่าได้รับกระแสตอบรับที่ดีมาก มีคนเข้ามาให้กำลังใจผมมากมาย บางคนบอกว่า ผมพิมพ์ได้ดี เอาจริงๆแล้ว ผมไม่ได้เรียนการเขียนบทความมาจากไหน มันมากจากความรู้สึกข้างในตัวผมล้วนๆ ที่บอกว่าให้ผมพิมพ์อย่างนี้ ต้องวรรคอย่างนี้ (เหมือนช่างภาพที่รู้ว่าต้องถ่ายรูปมุมไหน จัดองค์ประกอบ แสง สี อย่างไร ประมาณนี้)
.
และทำให้ผมมองเห็นว่า สังคมสมัยนี้ให้การยอมรับมากขึ้น เปิดกว้างมากขึ้น มีคนที่เป็นออทิสติกกล้าที่จะเปิดตัว และแชร์ประสบการณ์ของตนเองมากขึ้น รวมถึงคุณแม่หลายๆคนที่มีลูกที่เป็นออทิสติก แล้วกลัวว่า เด็กโตขึ้นไปแล้วจะเป็นปกติไหม จะพึ่งพาตนเอง จะช่วยเหลือตนเอง เลี้ยงดูตนเองได้ไหม ซึ่งพอมาอ่านกระทู้ของผม มองเห็นผมเป็น Case Study แล้วมีกำลังใจมากขึ้น ตรงนี้ทั้งหมดผมเองก็ต้องขอขอบคุณทุกๆคนด้วย ที่ทำให้ผมได้รู้ว่า สังคมสมัยนี้ไม่เหมือนสังคมสมัยก่อน ที่มักเหมารวมคนที่ไม่ปกติว่า เป็นคนบ้า เป็นคนปัญญาอ่อน ซึ่งจริงๆแล้วคนไม่ปกตินั้นก็มีหลายโรคหลายอาการ ซึ่งสามารถที่จะบำบัดรักษาให้กลับมาเป็นปกติได้เหมือนกัน
.
รู้สึกท้อใจ หรือ เหนื่อยใจ บ้างไหม
ก็มีบ้าง แต่น้อยมาก ส่วนใหญ่ก็ยังเป็นปัญหาเรื่องอารมณ์ที่เวลาโกรธใคร ก็จะขึ้นสุด จนแทบอยากจะพุ่งใส่เลย ถ้าเป็นแต่ก่อนก็จะพุ่งใส่ทันที แต่ตอนนี้ก็จะตั้งสติให้ดี แล้วพิจารณาว่า ถ้าทำไปแล้วจะส่งผลกระทบอะไรบ้าง แล้วใครจะได้รับผลกระทบจากตรงนี้มากสุด คำตอบก็คือผม ก็เลยพยายามตั้งสติให้มั่น นึกถึงองค์พระพิฆเนศ ซึ่งเป็นองค์ครูบาอาจารย์ที่ผมศรัทธา นึกถึงแม่ นึกถึงครูบาอาจารย์ ก็เลยทำให้ผมมีสติได้บ้าง แล้วพอหลังจากที่ใจเย็นลง(กว่าจะใจเย็นลง บางทีก็นานมาก นานเป็นวันก็มี) พอเอาเรื่องที่คนอื่นทำให้ผมโกรธมาพิจารณาอีกที ผมก็เฉยๆ แล้วก็บอกว่า ดีแล้วที่เราไม่ทำอย่างนั้น มันเป็นของมันอย่างนี้ แล้วก็ผ่านไป แล้วก็ขอบคุณความโกรธในตอนนั้นที่ทำให้ผมก้าวขึ้นมาจุดสูงสุดได้(สิ่งที่เหนื่อยที่สุดก็คือ การระงับความโกรธของตนเอง ที่จะไม่ให้พุ่งออกไป บางทีก็ยากมาก และต้องใจเย็นอย่างมาก - พอทำได้ก็รู้สึกภูมิใจในตนเอง)
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 5
ขอบคุณเจ้าของกระทู้มากนะคะที่มาแบ่งปันประสบการณ์ เราเป็นคุณแม่ที่มีลูกชายได้รับการวินิจฉัย ว่าเป็นออทิสติกมาสดๆร้อนๆเมื่อคืนวานนี้เองค่ะ ยอมรับว่าตอนนี้ยังอยู่ในช่วงช็อคอยู่เลย หลักๆก็จะกังวลว่าเค้าจะช่วยเหลือตัวเองได้มั้ย จะเข้าสังคมและใช้ชีวิตปรกติได้หรือเปล่า ตอนนี้เค้า 2ขวบ9เดือนค่ะ กระทู้ของคุณมาช่วยเราด้านความรู้สึกมากๆ ทำให้เรามีความหวัง เรียกว่าจุดประกายแสงเลยก็ได้ เพราะตอนนี้มีแต่คนบอกว่าลูกเราจะดีขึ้นนะ แต่เราไม่มีข้อมูลจากคนที่เป็น และใช้ชีวิตจริงๆในสังคมได้ดีอยู่ในมือซักเท่าไหร่ จึงค่อนข้างเครียดมาก ถ้าไม่รบกวนจนเกินไป อยากให้คุณเล่าชีวิตสมัยเรียนช่วง ประถม-มัธยม เพิ่มเติมบ้างได้มั้ยคะ เราอยากทราบว่าคุณมีปัญหากับเพื่อนๆ และการจัดการอารมณ์ในตอนเรียนแบบไหน เพื่อที่เราจะได้มีแนวทางคร่าวๆ สำหรับลูกเราในอนาคตค่ะ
ความคิดเห็นที่ 1
เข้ามาให้กำลังใจนะคะ 🥰🥰
เจ้าของกระทู้โชคดีและมีสติมากนะ รู้ปัญหาตัวเอง หาทางแก้ไข และต่อสู้มาจนได้
เด็กพิเศษนี้สำหรับเราน่าค้นหานะ เขาจะมีความคิดสร้างสรรค์มาก มีความคิดที่ทำให้เราประหลาดใจบ่อยครั้ง เวลารักใครเขาจะรักจริงนะ เขาเหมือนจะมีสัมผัสพิเศษนะ รับรู้ได้ว่าใครจริงใจด้วย ใครมาดี หวังดีด้วยจริงๆ แล้วเขาจะเชื่อใจเชื่อฟังรับฟัง
หลายคนความจำดีมากๆๆ IQ สูง บางคนสามารถจดจำวันเดือนปีปฏิทินย้อนหลังได้เป็นสิบๆปี เก่งมาก
เราขออวยพรให้เจ้าของกระทู้มีความสุขนะคะ ดีมากเลยนะที่พ่อแม่เข้าใจและช่วยเหลือ หลายครอบครัวเลยที่พ่อแม่ไม่เข้าใจคิดว่ากินยา/ฉีดยา ก็จะหาย
โชคดีนะคะ มีความสุขในชีวิต คิดบวกดีแล้วนะ แต่ก็ระมัดระวังคนที่จะเข้ามาเอาเปรียบด้วยนะคะ
เจ้าของกระทู้โชคดีและมีสติมากนะ รู้ปัญหาตัวเอง หาทางแก้ไข และต่อสู้มาจนได้
เด็กพิเศษนี้สำหรับเราน่าค้นหานะ เขาจะมีความคิดสร้างสรรค์มาก มีความคิดที่ทำให้เราประหลาดใจบ่อยครั้ง เวลารักใครเขาจะรักจริงนะ เขาเหมือนจะมีสัมผัสพิเศษนะ รับรู้ได้ว่าใครจริงใจด้วย ใครมาดี หวังดีด้วยจริงๆ แล้วเขาจะเชื่อใจเชื่อฟังรับฟัง
หลายคนความจำดีมากๆๆ IQ สูง บางคนสามารถจดจำวันเดือนปีปฏิทินย้อนหลังได้เป็นสิบๆปี เก่งมาก
เราขออวยพรให้เจ้าของกระทู้มีความสุขนะคะ ดีมากเลยนะที่พ่อแม่เข้าใจและช่วยเหลือ หลายครอบครัวเลยที่พ่อแม่ไม่เข้าใจคิดว่ากินยา/ฉีดยา ก็จะหาย
โชคดีนะคะ มีความสุขในชีวิต คิดบวกดีแล้วนะ แต่ก็ระมัดระวังคนที่จะเข้ามาเอาเปรียบด้วยนะคะ
ความคิดเห็นที่ 14
ผมเป็นออทิสติกส์ ผ่านการดูถูกเหยียดหยาม บูลลี่ มากมาย
แต่ชอบดูการฺตูน My Hero Academia พยายามเรียนรู้การใช้ความสามารถของตัวเองในทางดี
และเรียนรู้การใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นผ่านโซเชียลมีเดียต่างๆ จนตอนนี้เป็นผู้จัดการฝ่ายประสานงานต่างประเทศแล้วครับ
รวมถึงเป็นเสาหลักของครอบครัว แทนพ่อที่เสียชีวิตไปแล้วด้วย
แต่ชอบดูการฺตูน My Hero Academia พยายามเรียนรู้การใช้ความสามารถของตัวเองในทางดี
และเรียนรู้การใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นผ่านโซเชียลมีเดียต่างๆ จนตอนนี้เป็นผู้จัดการฝ่ายประสานงานต่างประเทศแล้วครับ
รวมถึงเป็นเสาหลักของครอบครัว แทนพ่อที่เสียชีวิตไปแล้วด้วย
ความคิดเห็นที่ 15
ตอนเด็กเราก็คล้ายคุณ มันคงเป็นหนึ่งในอาการออทิสติกล่ะมั้ง
ด้วยเวลานั้นมันไม่มีการวินิจฉัยโรคชัดเจน ตอนเด็กแค่มีคนเข้าใจว่าพัฒนาการช้า
ก็จะเป็นคนที่พูดจาเนิบๆ เบาๆ ทำอะไรช้าๆ การเรียนจะยากไปหมดเพราะตัวหนังสือจะเหมือนภาษาต่างดาว เรียนรู้อย่างลำบากยากเย็นตลอดช่วงประถมเลยล่ะ เป็นตัวตลกของครูบ้าอาจารย์ก็จะถูกบูลลี่จนเป็นโรคเครียดดึงผมตัวเองจนแหว่ง
เรามีครอบครัวบำบัดด้วย มีพ่อแม่ที่เข้าใจอ่านไม่ได้ แต่แม่ก็พยายามหานิทานมาเล่าให้ฟังก่อนนอน พาไปซื้อหนังสือนิทาน หนังสือสวนเด็กเป็นนิตยสารที่แม่จะคอยซื้อให้ เราพยายามเรียนด้วยตัวเองอ่านเองเพราะโรงเรียนกับครูนั้นเป็นอะไรที่น่ากลัวสำหรับเรา ก็สู้มาสุดท้ายก็โตมาปกติดีนะ มองย้อนไปไม่ได้รู้สึกมันเป็นปมอะไรในใจ
เรารู้ว่าในโลกนี้มีคนที่มีอาการออทิสติกมากมาย คนรอบตัวเราก็มี แต่สุดท้ายเรามองแค่เป็นความแตกต่าง
มนุษย์ทุกคนมันก็ต่างกันมากมายหลายแบบ เอาแค่ว่าโตขึ้นมาได้ดำเนินชีวิตไปได้ก็โอเคแล้ว
ด้วยเวลานั้นมันไม่มีการวินิจฉัยโรคชัดเจน ตอนเด็กแค่มีคนเข้าใจว่าพัฒนาการช้า
ก็จะเป็นคนที่พูดจาเนิบๆ เบาๆ ทำอะไรช้าๆ การเรียนจะยากไปหมดเพราะตัวหนังสือจะเหมือนภาษาต่างดาว เรียนรู้อย่างลำบากยากเย็นตลอดช่วงประถมเลยล่ะ เป็นตัวตลกของครูบ้าอาจารย์ก็จะถูกบูลลี่จนเป็นโรคเครียดดึงผมตัวเองจนแหว่ง
เรามีครอบครัวบำบัดด้วย มีพ่อแม่ที่เข้าใจอ่านไม่ได้ แต่แม่ก็พยายามหานิทานมาเล่าให้ฟังก่อนนอน พาไปซื้อหนังสือนิทาน หนังสือสวนเด็กเป็นนิตยสารที่แม่จะคอยซื้อให้ เราพยายามเรียนด้วยตัวเองอ่านเองเพราะโรงเรียนกับครูนั้นเป็นอะไรที่น่ากลัวสำหรับเรา ก็สู้มาสุดท้ายก็โตมาปกติดีนะ มองย้อนไปไม่ได้รู้สึกมันเป็นปมอะไรในใจ
เรารู้ว่าในโลกนี้มีคนที่มีอาการออทิสติกมากมาย คนรอบตัวเราก็มี แต่สุดท้ายเรามองแค่เป็นความแตกต่าง
มนุษย์ทุกคนมันก็ต่างกันมากมายหลายแบบ เอาแค่ว่าโตขึ้นมาได้ดำเนินชีวิตไปได้ก็โอเคแล้ว
แสดงความคิดเห็น
เป็นออทิสติก ปีนี้อายุ 31 ปี ใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติ ไม่มีใครรู้ มีใครเป็นแบบผมบ้างไหม
.
ปัจจุบันถึงอาการจะดีขึ้น ไม่ต้องไปหาหมอจิตแพทย์ ไม่ต้องทานยา สามารถพึ่งพาตนเองได้ แต่ก็ไม่ได้หายสนิท ก็ยังมีอาการความเป็นออทิสติกหลงเหลืออยู่บ้าง เช่น ยังเป็นคนที่ทำอะไรช้า พูดช้า พูดเสียงเนิบๆ(จากที่คนอื่นบอกมา แต่ก็จะค่อยๆปรับไปเรื่อยๆ เหมือนกับเวลาจะพูดอะไร มันต้องคิดไปด้วย บางทีคิดไม่ทันก็พูดติดๆขัดๆได้) ยังแยกแยะไม่ออกว่าใครพูดจริง พูดเล่น แหย่เล่น ส่วนตัวจะมองว่าคนๆนั้นพูดดูจริงจังหมด(ตอนนี้พอแยกออกได้บ้าง แต่ยังไม่ถึงกับ 100%) ยังมีปัญหาในเรื่องของการแยกแยะอารมณ์ การพูดของคนอื่นๆอยู่บ้าง ซึ่งบางทีผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันหรอกว่า ใครพูดเหน็บแนม พูดประชด พูดแซะ พูดกระแนะกระแหน๋ มันเป็นอย่างไร ผมมองว่าทุกคนพูดดูปกติหมด ตรงนี้พี่ๆที่ทำงานเค้าจะรู้ว่า ใครพูดเป็นอย่างไร ซึ่งผมก็ได้เรียนรู้อารมณ์ตรงนี้ไปด้วย พอแยกแยะ พอเข้าใจบ้าง แต่ก็ไม่ทั้งหมด พี่ที่ทำงานเค้าจะชอบบอกผมว่า ผมเป็นคนมองโลกในแง่ดีนะ ไม่ซีเรียส ไม่เครียดเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ ถ้าเค้าทำได้แบบนี้ก็ดี (ถึงจะพอแยกแยะออกบ้าง แต่ส่วนตัวมองว่ามันก็เป็นของมันอย่างนี้ ไม่อยากซีเรียสไปกับมัน)
.
เรื่องของบุคลิก จากที่เวลาใครเรียกแล้วไม่ขานรับ เวลาพูดกับใครแล้วไม่มองหน้า ก็เริ่มขานรับมากขึ้น เริ่มมองหน้า สบตาเวลาพูดกับใครได้มากขึ้น จนภายนอกเหมือนคนปกติทั่วๆไป
.
เรื่องของอารมณ์ ยอมรับว่าแต่ก่อนเป็นคนอารมณ์ร้อน ขี้หงุดหงิด ขี้โวยวาย อะไรนิดหน่อยก็โวยวายตลอด ไม่ได้ดั่งใจก็โวยหวาย และก็โวยวายหนักมาก ปาข้าวของ ทำลายข้าวของ แต่โชคดีของผมที่มีแม่ที่เข้าใจในอารมณ์ของผม มีแม่ที่ใจเย็น คอยเลี้ยงดู คอยสอน ว่างๆก็เปิด CD ธรรมะให้ฟังอยู่ตลอดเวลา วันหยุดก็พาไปวัดบ้าง วันพระก็พาไปสวดมนต์ ก็เริ่มเป็นคนที่สนใจในธรรมะมากขึ้น จนตอนหลังๆด้วยความที่อยากรู้เรื่องราวเกี่ยวกับจิตวิญญาณมากขึ้น จึงไปศึกษาศาสตร์ของ NLP (โปรแกรมจิตใต้สำนึก) กฎแรงดึงดูด พลังจักรวาล จึงนำศาสตร์เหล่านี้ประยุกต์ใช้กับตัวเอง เริ่มเรียนรู้ที่จะตามรู้ตามดูอารมณ์ของตนเอง รู้ว่าโกรธ รู้ว่าหงุดหงิด อยากจะพุ่งมันออกไป ก็ดึงสติกลับมา แล้วพิจารณาถึงอารมณ์นั้นออกไปว่า ถ้าเราพุ่งมันออกไปใส่คนอื่นแล้ว สิ่งที่จะกระทบออกมาจะส่งผลอย่างไรบ้าง ทั้งต่อผู้อื่น และตนเอง เรียนรู้ที่จะทำแบบนี้ไปบ่อยๆ เรียนรู้การเอาใจเขาใส่ใจเรา พอทำไปแบบนี้บ่อยๆก็เริ่มที่จะใจเย็นลง เปิดใจรับฟังความเห็นต่างมากขึ้น ใช้เหตุผล ความรัก และความเข้าใจเป็นตัวตั้งมากขึ้น จนเป็นคนที่นิ่ง และใจเย็นในที่สุด
.
และทั้งนี้ ผมเชื่อว่า ผมจะไม่สามารถมาถึงจุดๆนี้ได้ ถ้าไม่มีแม่ที่ยอมรับในตัวผม และศรัทธาในตนเองว่า "ลูกของฉันจะต้องหายเป็นปกติ พึ่งพาตนเองได้ ไม่เป็นภาระให้กับใคร" แม่ผมก็เลยพาไปหาหมอจิตแพทย์เด็กพิเศษ พาไปบำบัดรักษาตามที่ต่างๆ จนอาการเริ่มดีขึ้น ซึ่งผมจะบอกว่า ผมเกิดในยุค 90 ซึ่งเป็นยุคที่ข้อมูลข่าวสารต่างๆยังไม่แพร่หลาย การหาข้อมูลในส่วนนี้ล้วนมีข้อจำกัด แม่ผมเห็นผมผิดปกติ เลยพาไปหาหมอ หมอบอกว่าเป็นออทิสติก ด้วยความที่แม่ผมอยากรู้ว่าออทิสติกคืออะไร แม่ผมเลยไปที่หอสมุดแห่งชาติ หาหนังสือและข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวกับอาการนี้ พออ่านไปก็ตกใจ ก็พาผมไปหมอจิตแพทย์เด็กพิเศษที่จุฬา หมอเค้าพูดให้แม่ผมเข้าใจอะไรไม่ได้มากว่าโรคนี้จะส่งผลต่ออนาคตอย่างไร ก็เลยแนะนำให้หาหนังเรื่อง Rain Man มาดูเพื่อให้เข้าใจถึงชีวิตของคนที่เป็นโรคนี้ผ่านทางหนังได้ดีขึ้น พอแม่ดูแม่ก็ตกใจ และพยายามพาไปหาหมอจิตแพทย์ รวมถึงไปบำบัดตามที่ต่างๆ จนอาการดีขึ้น และพึ่งพาตนเองได้ในที่สุด
.
ตรงนี้ คุณแม่ หรือใคร ที่มีลูกเป็นออทิสติก ก่อนอื่นคุณต้องเชื่อและศรัทธาต่อตนเองก่อนว่า ลูกจะต้องหายดี จะพึ่งพาตนเองได้ ไม่เป็นภาระให้กับใครในอนาคต พอศรัทธาในตนเองแล้ว ก็ขอให้เข้าใจในตัวเค้าให้มากขึ้น(ตรงนี้ผมแนะนำอะไรไม่ได้มาก ให้หมอแนะนำจะดีที่สุด) และบำบัดรักษาไปตามอาการเรื่อยๆ จนดีขึ้นในที่สุด คุณถือว่าโชคดีแล้วที่คุณอยู่ในยุคดิจิตอล เปิดมือถือมาก็หาข้อมูล หาสถานที่ๆพาไปบำบัดรักษาได้เลย ไม่เหมือนแม่ผมที่ต้องไปหอสมุดแห่งชาติ ต้องไปดูตามโรงพยาบาลต่างๆว่า ที่ไหนมีหมอจิตเวชด้านนี้บ้าง ต้องเดินทางไปร้านขายวีดีโอ เพื่อไปซื้อหนังเรื่องนี้มาดู ซึ่งร้านขายวีดีโอหลายๆร้านไม่มีแล้ว เพราะหนังเรื่องนี้มันเก่ามากแล้ว แต่โชคดีที่เจอร้านนึงที่วางขายอยู่ม้วนสุดท้าย ก็เลยได้มาในที่สุด(ต่างจากสมัยนี้ที่หาใน Google แล้วจะมีเว็บให้เข้าไปดูได้เลย) ผมอยากจะบอกว่า เมื่อเค้าโตขึ้น เมื่อเค้ากลับมาเป็นปกติ ช่วยเหลือตนเองได้ เค้าจะเป็นคนที่รักคุณที่สุด จะอยู่ดูแล และไม่ทิ้งคุณไปไหน บางทีมากกว่าคนปกติเสียอีก
.
หลายๆคนมักจะมองว่า คนที่เป็นออทิสติกนั้นจะมีแต่ปัญหา หรือ ข้อเสีย เป็นส่วนใหญ่ แต่ผมจะบอกว่า เด็กออทิสติกนั้นก็มีข้อดีเช่นกัน เวลาที่เค้าสนใจสิ่งใด หรือมุ่งมั่นที่จะทำสิ่งใดก็ตาม เค้าจะมีความพยายามที่สูงกว่าคนปกติทั่วๆไป ไม่ว่าจะเป็นการวาดรูป เล่นดนตรี กีฬา หรืออะไรก็ตามที่เค้าสนใจ หรืออย่างผมเองที่เวลาสนใจสิ่งใด ผมจะสามารถจดจำสิ่งนั้นได้เพียงในระยะเวลาสั้นๆ และจดจำได้นาน หรือ งานประจำที่ผมทำ ทั้งข้อมูล สเปคมือถือ หูฟัง นาฬิกา กล้องวรจรปิด แพคเกจโปรโมชั่นต่างๆ ผมจะจดจำรายละเอียดเหล่านี้ได้อย่างรวดเร็วและทั้งหมดภายในระยะเวลาสั้นๆ จนหลายๆคนบอกว่าผมความจำดี จดจำอะไรได้รวดเร็ว และมีข้อมูลที่แน่นปึ๊ก
.
สุดท้ายผมเองก็อยากบอกว่า ผมไม่เคยรู้สึกน้อยใจ ที่ว่าทำไมคนอื่นถึงเกิดมาปกติ แต่ตัวเองเกิดมาไม่ปกติ ไม่เคยคิดว่าทำไมพระเจ้าต้องลงโทษ แต่กลับรู้สึกภูมิใจในตนเองที่ว่า เราสามารถยืนหยัด และฟันฝ่ามาได้ ยอมรับมัน ขอบคุณมัน และอยู่ร่วมกับมัน สามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับสังคมอย่างปกติได้ ไม่มีใครรู้ว่าเราผิดปกติแต่อย่างใด ถึงจะไม่หายก็ตาม
.
ขอบคุณทุกๆคนนะครับ ที่เข้ามาอ่านจนจบ เป็นกำลังใจให้กับทุกๆคนที่กำลังทุกข์ใจ และท้อใจอยู่นะครับ ไม่ว่าคุณจะปกติ หรือไม่ปกติเหมือนผมก็ตาม