การปฏิบัติสู่ความเป็นพระโสดาบัน

กระทู้นี้ กระผมจะมาสรุปเเละอธิบายถึงขั้นตอน เเละวิธีการปฏิบัติไปสู่การเกิดปัญญา เห็นความจริงของกายเเละจิตว่าไม่ใช่เรา อันเป็นภูมิธรรมของพระโสดาบัน เป็นปัญญาขั้นต้นของพระอริยบุคคล

โดยเริ่มเเรกขอให้ท่านผู้อ่านลดทิฐิมานะลง เเละน้อมทำความเข้าใจ น้อมพิจารณาถึงสิ่งที่ผมจะเขียนต่อจากนี้ อันเป็นหลักธรรมอันประณีต อันประเสริฐ ที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงเเสดงไว้ดีเเล้ว

-----------------------------------------
 พื้นฐานเเรกสุด เเละขาดไปไม่ได้ นั่นคือการมีศีล 5 การปฏิบัติชอบ คิดชอบ พูดชอบ ซึ่งเป็นองค์ของมรรคมีองค์ 8

เเละสิ่งสำคัญคือการละ เลี่ยงจากธรรมที่เป็นไปเพื่อความสนองกิเลส เป็นไปเพื่อความเพลิน (ธรรมอันเลว)

ผู้ที่จะบรรลุธรรมนั้น จะต้องมีมรรคทั้ง 8 องค์ มารวมบรรจบกันครบองค์ จึงเกิด อริยมรรค อริยผลได้

เเละผู้ปฏิบัติต้องฝึกสมาธิ ฝึกสติให้มาก เพื่อกำลังของจิตในการเดินปัญญา ซึ่งจะกล่าวถึงต่อจากนี้

------------
สัมมาสติ = สติปัฐฐาน 4
 เป็นทางสายเอก เป็นเพียงทางสายเดียวเท่านั้น ที่ทำให้บรรลุธรรมได้ ซึ่งเเบ่งเป็น 4 ทางคือ
1.กายานุปัสสนา
  การมีสติรู้กายของตน เพื่อเห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
2.เวทนานุปัสสนา
  การมีสติรู้เวทนาของตน เพื่อเห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
3.จิตตานุปัสสนา
  การมีสติรู้จิตของตน เพื่อเห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
4.ธรรมานุปัสสนา
  การมีสติรู้ธรรม เพื่อเห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา

ซึ่งทั้ง 4 ทางนี้ ผู้ปฏิบัติสามารถเลือกปฏิบัติทางได้ทางหนึ่ง หรือเลือกดูตามเเต่โอกาส เเละความสะดวก ซึ่งสาระสำคัญของสติปัฏฐาน คือ "การเห็นไตรลักษณ์"  ซึ่งเมื่อผู้ปฏิบัติ มีจิตที่ตั้งมั่น เป็นกลางต่อสภาวะธรรมนั้น จึงเกิดการเเยกขันธ์  จึงเห็นได้ว่า จิตกับกายเป็นคนละอย่างกัน ซึ่งไม่ว่าจะปฏิบัติทางไหน ก็ล้วนเเล้วเเต่เห็นไตรลักษณ์เช่นเดียวกันหมด ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน ซึ่งกุญเเจสำคัญอย่างหนึ่งของการจะบรรลุธรรมนั้น คือ "การพิจารณาตามความเป็นจริงของสิ่งที่เห็น" เมื่อผู้ปฏิบัติเห็นไตรลักษณ์ซ้ำเเล้ว ซ้ำเล่า เห็นการเกิดดับของจิต ของกายนับพันครั้ง หมื่นครั้ง เเสนครั้ง ในจุดหนึ่งเมื่อเหตุปัจจัยถึงพร้อม จากการพิจารณาเห็นไตรลักษณ์นับครั้งไม่ถ้วน  ความเบื่อหน่ายจะเกิดขึ้นเอง ตามมาด้วยความอยากจะพ้นไปจากกาย จากใจนี้ เเละจิตจะเกิดปัญญาขึ้น เปรียบดังว่ามัน "ปิ๊ง!" ขึ้นมา เเละรวบยอดความรู้ทั้งหมดลงในจุดเดียว เเละเเจ้งในไตรลักษณ์ ว่า" สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นดับไปเป็นธรรมดา"  จะเเจ้งว่ากายนี้ ใจนี้ไม่ได้เป็นเรา จะเห็นว่าสิ่งทั้งปวงเกิดขึ้น ล้วนเเล้วเเต่ต้องดับไป ตรงนี้คือเกิด สัมมาทิฏฐิขึ้น(ความเห็นชอบ เห็นถูก)

 ซึ่งในขณะเกิด โสดาปฏิมรรค เป็นช่วงขณะที่มรรคมีองค์ 8 รวมกันครบองค์
จึงเกิดโสดาปฏิผลตามมา ในเพียงช่วงขณะจิตเท่านั้น
เมื่อเกิดโสดาปฏิผล ขณะนั้นเองผู้ปฏิบัติจะบรรลุเป็นโสดาบัน สิ้นความเป็นปุถุชนอย่างสมบูรณ์ พร้อมสิ้นสังโยชน์ลง 3 อย่าง คือ

1.สักกายทิฐิ ความเห็นผิดว่ากายเป็นตัวเรา
2.วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย (ในพระรัตนตรัย เช่น พระพุทธเจ้ามีจริงมั้ย? พระธรรมให้ผลเเก่ผู้ปฏิบัติจริงมั้ย? พระสงฆ์ผู้บรรลุธรรม/พ้นทุกข์ มีอยู่จริงมั้ย? )
3.สีลพรตปรามาส ความงมงาย หลงในทางที่ผิด (พระโสดาบันพบทางที่ถูกต้องเเล้ว ไม่มีทางหลงไปในทางที่ผิดอีก)

เเละเมื่อถึงความเป็นโสดาบัน ผู้ปฏิบัติจะได้สัมผัส "พระนิพพาน"  จะสัมผัสได้ถึงความเป็นสันติสุข ความอิสระ ความเงียบสงบ ความหลุดพ้นจากพันธนาการ(กายเเละใจ) ซึ่งจะสัมผัสสภาวะนี้ได้ เพียงชั่วคราวเท่านั้น

****ขณะบรรลุธรรม เป็นขณะที่มรรคมีองค์ 8 รวมบรรจบกันครบองค์ จิตเกิดปัญญารู้เเจ้งตามความเป็นจริง จะไม่มีนิมิต ไม่มีเเสง เสียงใดทั้งสิ้น มีเพียงความเงียบ สงบนิ่ง อยู่กับกายใจตนเท่านั้น อันผู้ปฏิบัติเมื่อถึงความเป็นโสดาบันเเล้ว จะสามารถรู้ได้ด้วยตน (เเต่ยืนยันเเก่ใครไม่ได้ เพราะรู้ได้เเค่ตน) จะรู้ได้ว่ามุมมองต่อโลกเปลี่ยนไป จะรู้ได้ว่ามีสภาวะธรรมเกิดขึ้นเเก่ตน เเละสภาวะนั้นเป็นของจริงเเท้ ที่ตนได้สัมผัสด้วยตนเเล้ว จะเห็นทั้งโลกเป็นสภาพเดียวกันหมด คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน เเละจะเห็นธรรมทั้งปวงล้วนเป็นอนัตตา

ซึ่งทั้งหมดที่เขียนมานั้น เป็นขั้นตอนการปฏิบัติสู่ความเป็นพระโสดาบัน ซึ่งผู้ปฏิบัติพึงรู้ได้ด้วยตนเท่านั้น

หากทำถูกต้องเเล้ว ย่อมสำเร็จเเน่นอน จะช้าจะเร็วนั้นเเล้วเเต่บุคคล 7 วัน, 7 เดือน, 7 ปี
ซึ่งยืนยันว่า หากทำถูกทาง ถูกต้องเเล้ว "สำเร็จเเน่นอน"

ขอให้ท่านผู้อ่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่