จิตนั้นไม่ใช่วิญญาณ (ขันธ์) แน่ๆ
ด้วยกาลเวลาที่ผ่านมาอย่างยาวนาน ดังนั้น
เมื่อเราได้ยินได้ฟังคำสอน ที่สอนตามความเชื่อแบบฟังตามๆ กันมา
และบางคำสอนได้ถูกเพิ่มเติมเสริมแต่งขึ้นมาในภายหลังตามกาลเวลา
เราควรยึดหลักกาลามสูตร
ที่พระบรมศาสดาได้ทรงวางหลักความเชื่อไว้ว่า
“อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อถือ โดยเหตุเพราะฟังตามๆ กันมา (มา อนุสฺสเวน)”
เราต้องสมาทานดู แล้วนำมาตรวจสอบ สอบสวน เทียบเคียงว่า ลงกันได้กับพระธรรมวินัย
หรือกับคำสอนของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ฝ่ายปฏิบัติดี
ปฏิบัติชอบว่า สิ่งที่เราได้ยินได้ฟังมานั้นลงกันได้มั้ย
โดยเฉพาะเรื่องสิกขา ๓ และสิกขาที่มีปัญหาอยู่ทุกวันนี้ ที่ลงกันไม่ได้คือ
“อธิจิตสิกขา” การศึกษาเพื่อทำให้จิตมีธรรมอันยิ่ง
เป็นสิกขาที่สำคัญ คือการกระทำจิตของตนให้มีธรรมอันยิ่ง
จิตที่มีธรรมอันยิ่งมีเพียงโลกุตตรจิตเท่านั้น
ซึ่งเป็นจิตของพระอริยเจ้าทั้งหลาย
และในโอวาทปาฏิโมกข์ ก็ทรงตรัสไว้ชัดเจนว่า
ชำระจิตของตนให้บริสุทธิ์ขาวรอบ
แต่ผู้ศึกษาอีกฝ่ายกลับเห็นไปว่า
จิตเป็นของเหลวไหลบ้าง จิตบังคับบัญชาไม่ได้บ้าง
จิตเป็นตัวทุกข์บ้าง จิตเป็นวิญญาณขันธ์บ้าง
ซึ่งขัดแย้งกับพระพุทธพจน์โดยสิ้นเชิง
จิตเป็นธาตุรู้ เมื่อเข้ามาอยู่ในโลกโดยอาศัยขันธ์ ๕
(รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)
ก็กลายเป็นจิตผู้รู้ รับ จำ นึก คิด
จิตผู้รู้ มีทั้งรู้ผิดและรู้ถูก
จิตผู้รู้ ที่รู้ผิดไปจากความเป็นจริง
เพราะมีอวิชชาเป็นเครื่องกางกั้น
ทำให้ไม่รู้จักอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง
ส่วนจิตผู้รู้ ที่รู้เห็นตามความเป็นจริง
นั่นคือรู้เห็นอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง
จึงรู้ว่าจิตไม่ใช่วิญญาณ
เพราะวิญญาณ เป็นขันธ์ ๑ ในขันธ์ ๕
เป็นเพียงหนึ่งในอาการของจิตที่แจ้งในอารมณ์เท่านั้น
โดยมีพระพุทธพจน์ที่ทรงตรัสรับรองไว้ชัดๆ ในหลายพระสูตร
ในบางพระสูตรพระพุทธองค์กล่าวโทษ
ภิกษุที่เห็นว่าจิตเป็นวิญญาณ ว่าเป็นพวกโมฆบุรุษ
เช่น ใน “มหาตัณหาสังขยสูตร” ความว่า
“พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า
ดูกรสาติ ได้ยินว่า
เธอมีทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า
เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า
วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไปไม่ใช่อื่น ดังนี้ จริงหรือ?
สาติภิกษุทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ข้าพระองค์ย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า
วิญญาณนี้แหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป ไม่ใช่อื่น ดังนี้ จริง
พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรสาติ วิญญาณนั้นเป็นอย่างไร?
สาติภิกษุทูลว่า
สภาวะที่พูดได้ รับรู้ได้ ย่อมเสวยวิบากของกรรมทั้งหลาย
ทั้งส่วนดี ทั้งส่วนชั่วในที่นั้นๆ นั่นเป็นวิญญาณ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรโมฆบุรุษ เธอรู้ธรรมอย่างนี้ที่เราแสดงแก่ใครเล่า
ดูกรโมฆบุรุษ
วิญญาณอาศัยปัจจัยประชุมกันเกิดขึ้น
เรากล่าวแล้วโดยปริยายเป็นอเนกมิใช่หรือ
ความเกิดแห่งวิญญาณ เว้นจากปัจจัย มิได้มี
ดูกรโมฆบุรุษ
ก็เมื่อเป็นดังนั้น เธอกล่าวตู่เราด้วยขุดตนเสียด้วย
จะประสพบาปมิใช่บุญมากด้วย เพราะทิฏฐิที่ตนถือชั่วแล้ว
ดูกรโมฆบุรุษ
ก็ความเห็นนั้นของเธอ จักเป็นไปเพื่อโทษไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์ตลอดกาลนาน“
สาเหตุสำคัญที่ทำให้พระสาติคิดไปเช่นนั้น
เพราะความเข้าใจผิดของตนเองว่า จิตคือวิญญาณขันธ์ นั่นเอง
ปัจจุบันที่ยังปรากฎว่ามีการเข้าใจผิดในเรื่องเหล่านี้
เพราะปลงใจเชื่อแบบฟังตามๆ กันมาโดยไม่เคยเฉลียวใจเลย
เพียงเพราะผู้พูดเป็นพระ มียศ มีตำแหน่งมาค้ำประกันคำพูดเท่านั้น
ดั่งจะยกตัวอย่างในอนัตตลักขณสูตร
ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ดีแล้วมาเทียบเคียงดังนี้
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้วเห็นอยู่อย่างนี้
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ใน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ว่า
นั่น (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ไม่ใช่เรา (จิต)
เรา (จิต) ไม่เป็นนั่น (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)
นั่น (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ไม่ใช่ตนของเรา (จิต)
เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายความติด
เพราะคลายความติด จิตก็หลุดพ้น
เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ก็เกิดญาณรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว ดังนี้”
พระสูตรนี้เป็นอันสรุปชัดเจนโดยไม่ต้องตีความให้วุ่นวาย
จิตไม่ใช่วิญญาณ และวิญญาณก็ไม่ใช่จิต
วิญญาณเป็นขันธ์ ๑ ในขันธ์ ๕ เป็นอาการของจิตที่แจ้งต่ออารมณ์
ที่เข้ามากระทบทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั่นเอง เอวัง.
เจริญในธรรมทุกๆ ท่าน
พระภัทรสิทธิ์ อภินันโท
จิตนั้นไม่ใช่วิญญาณ (ขันธ์) แน่ๆ
ด้วยกาลเวลาที่ผ่านมาอย่างยาวนาน ดังนั้น
เมื่อเราได้ยินได้ฟังคำสอน ที่สอนตามความเชื่อแบบฟังตามๆ กันมา
และบางคำสอนได้ถูกเพิ่มเติมเสริมแต่งขึ้นมาในภายหลังตามกาลเวลา
เราควรยึดหลักกาลามสูตร
ที่พระบรมศาสดาได้ทรงวางหลักความเชื่อไว้ว่า
“อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อถือ โดยเหตุเพราะฟังตามๆ กันมา (มา อนุสฺสเวน)”
เราต้องสมาทานดู แล้วนำมาตรวจสอบ สอบสวน เทียบเคียงว่า ลงกันได้กับพระธรรมวินัย
หรือกับคำสอนของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ฝ่ายปฏิบัติดี
ปฏิบัติชอบว่า สิ่งที่เราได้ยินได้ฟังมานั้นลงกันได้มั้ย
โดยเฉพาะเรื่องสิกขา ๓ และสิกขาที่มีปัญหาอยู่ทุกวันนี้ ที่ลงกันไม่ได้คือ
“อธิจิตสิกขา” การศึกษาเพื่อทำให้จิตมีธรรมอันยิ่ง
เป็นสิกขาที่สำคัญ คือการกระทำจิตของตนให้มีธรรมอันยิ่ง
จิตที่มีธรรมอันยิ่งมีเพียงโลกุตตรจิตเท่านั้น
ซึ่งเป็นจิตของพระอริยเจ้าทั้งหลาย
และในโอวาทปาฏิโมกข์ ก็ทรงตรัสไว้ชัดเจนว่า
ชำระจิตของตนให้บริสุทธิ์ขาวรอบ
แต่ผู้ศึกษาอีกฝ่ายกลับเห็นไปว่า
จิตเป็นของเหลวไหลบ้าง จิตบังคับบัญชาไม่ได้บ้าง
จิตเป็นตัวทุกข์บ้าง จิตเป็นวิญญาณขันธ์บ้าง
ซึ่งขัดแย้งกับพระพุทธพจน์โดยสิ้นเชิง
จิตเป็นธาตุรู้ เมื่อเข้ามาอยู่ในโลกโดยอาศัยขันธ์ ๕
(รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)
ก็กลายเป็นจิตผู้รู้ รับ จำ นึก คิด
จิตผู้รู้ มีทั้งรู้ผิดและรู้ถูก
จิตผู้รู้ ที่รู้ผิดไปจากความเป็นจริง
เพราะมีอวิชชาเป็นเครื่องกางกั้น
ทำให้ไม่รู้จักอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง
ส่วนจิตผู้รู้ ที่รู้เห็นตามความเป็นจริง
นั่นคือรู้เห็นอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง
จึงรู้ว่าจิตไม่ใช่วิญญาณ
เพราะวิญญาณ เป็นขันธ์ ๑ ในขันธ์ ๕
เป็นเพียงหนึ่งในอาการของจิตที่แจ้งในอารมณ์เท่านั้น
โดยมีพระพุทธพจน์ที่ทรงตรัสรับรองไว้ชัดๆ ในหลายพระสูตร
ในบางพระสูตรพระพุทธองค์กล่าวโทษ
ภิกษุที่เห็นว่าจิตเป็นวิญญาณ ว่าเป็นพวกโมฆบุรุษ
เช่น ใน “มหาตัณหาสังขยสูตร” ความว่า
“พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า
ดูกรสาติ ได้ยินว่า
เธอมีทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า
เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า
วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไปไม่ใช่อื่น ดังนี้ จริงหรือ?
สาติภิกษุทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ข้าพระองค์ย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า
วิญญาณนี้แหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป ไม่ใช่อื่น ดังนี้ จริง
พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรสาติ วิญญาณนั้นเป็นอย่างไร?
สาติภิกษุทูลว่า
สภาวะที่พูดได้ รับรู้ได้ ย่อมเสวยวิบากของกรรมทั้งหลาย
ทั้งส่วนดี ทั้งส่วนชั่วในที่นั้นๆ นั่นเป็นวิญญาณ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรโมฆบุรุษ เธอรู้ธรรมอย่างนี้ที่เราแสดงแก่ใครเล่า
ดูกรโมฆบุรุษ
วิญญาณอาศัยปัจจัยประชุมกันเกิดขึ้น
เรากล่าวแล้วโดยปริยายเป็นอเนกมิใช่หรือ
ความเกิดแห่งวิญญาณ เว้นจากปัจจัย มิได้มี
ดูกรโมฆบุรุษ
ก็เมื่อเป็นดังนั้น เธอกล่าวตู่เราด้วยขุดตนเสียด้วย
จะประสพบาปมิใช่บุญมากด้วย เพราะทิฏฐิที่ตนถือชั่วแล้ว
ดูกรโมฆบุรุษ
ก็ความเห็นนั้นของเธอ จักเป็นไปเพื่อโทษไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์ตลอดกาลนาน“
สาเหตุสำคัญที่ทำให้พระสาติคิดไปเช่นนั้น
เพราะความเข้าใจผิดของตนเองว่า จิตคือวิญญาณขันธ์ นั่นเอง
ปัจจุบันที่ยังปรากฎว่ามีการเข้าใจผิดในเรื่องเหล่านี้
เพราะปลงใจเชื่อแบบฟังตามๆ กันมาโดยไม่เคยเฉลียวใจเลย
เพียงเพราะผู้พูดเป็นพระ มียศ มีตำแหน่งมาค้ำประกันคำพูดเท่านั้น
ดั่งจะยกตัวอย่างในอนัตตลักขณสูตร
ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ดีแล้วมาเทียบเคียงดังนี้
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้วเห็นอยู่อย่างนี้
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ใน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ว่า
นั่น (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ไม่ใช่เรา (จิต)
เรา (จิต) ไม่เป็นนั่น (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)
นั่น (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ไม่ใช่ตนของเรา (จิต)
เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายความติด
เพราะคลายความติด จิตก็หลุดพ้น
เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ก็เกิดญาณรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว ดังนี้”
พระสูตรนี้เป็นอันสรุปชัดเจนโดยไม่ต้องตีความให้วุ่นวาย
จิตไม่ใช่วิญญาณ และวิญญาณก็ไม่ใช่จิต
วิญญาณเป็นขันธ์ ๑ ในขันธ์ ๕ เป็นอาการของจิตที่แจ้งต่ออารมณ์
ที่เข้ามากระทบทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั่นเอง เอวัง.
เจริญในธรรมทุกๆ ท่าน
พระภัทรสิทธิ์ อภินันโท