‘วิโรจน์’ แนะ ‘อนุทิน’ หยุดฟังหมอพูดลอยๆ แล้วอ่านงานวิจัย หวั่นวัคซีนจีนซ้ำรอยจีที200
https://www.matichon.co.th/politics/news_2672027
‘วิโรจน์’ แนะ ‘อนุทิน’ ยอมจำนน ซิโนแวคประสิทธิภาพต่ำ หยุดลาก ปชช.จมความเสี่ยง ด้วยการแทงม้าตัวเดียว ยกงานวิจัยโต้หมอ อย่าพูดลอยๆ
จากกรณีที่ ศ.นพ.
ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ที่นำมาฉีดในประเทศไทย ทั้งซิโนแวคและแอสตร้าเซนเนก้า มีประสิทธิภาพดีมากในการลดความรุนแรงของโรค ช่วยป้องกันการป่วยที่มีอาการมาก และป้องกันการเสียชีวิตได้ 100 เปอร์เซ็นต์ รวมถึงสายพันธุ์อังกฤษ B.1.1.7 ด้วย ขณะที่ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมโรคระบาดของจีน (China Centers for Disease Control-CDC) แถลงเมื่อวันที่ 10 เมษายน กลับยอมรับว่าวัคซีนของจีนที่มีอยู่ในปัจจุบัน มีอัตราป้องกันเชื้อไม่ได้สูงมากนัก
นาย
วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้สัมภาษณ์ว่า การที่ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมโรคระบาดของจีนออกมาเปิดเผยด้วยตัวเองนั้น เราในฐานะผู้ซื้อควรจะหารือกับผู้ผลิตและจำหน่ายได้แล้วว่าเราจะแก้ปัญหานี้อย่างไร เพราะยังมีวัคซีนล็อตต่อไปรอส่งมอบ เราควรยอมจำนนได้แล้ว โดยวารสารการแพทย์นิวอิงแลนด์ (The New England Journal of Medicine) ที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกได้ตีพิมพ์ว่า วัคซีนซิโนแวคมีผลต่อสายพันธุ์อังกฤษต่ำ แต่กลับมีผู้เชี่ยวชาญออกมาพูดลอยๆ และการโต้แย้งผลการวิจัยต้องนำผลการวิจัยที่มีระดับความน่าเชื่อถือ ที่เทียบเท่า หรือสูงกว่ามาอ้างอิง อย่างไรก็ตาม ตนไม่ได้บอกว่าวัคซีนทั้งสองยี่ห้อจะใช้ไม่ได้ผลเลย เพียงแต่มีประสิทธิภาพต่ำ ซึ่งประเทศชิลีก็เป็นตัวอย่างให้เห็น คือเป็นประเทศที่ฉีดวัคซีนได้มากเป็นอันดับที่ 2 ของโลก แต่ไม่สามารถควบคุมการระบาดของไวรัสได้ เพราะวัคซีนกว่า 90 เปอร์เซ็นต์เป็นซิโนแวค แล้วไทยจะเดินตามแบบนี้หรือ
นาย
วิโรจน์กล่าวว่า ล่าสุด นพ.
รุ่งเรือง กิจผาติ ที่ปรึกษาระดับกระทรวง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ที่ออกมายืนยันว่าวัคซีนที่ไทยนำเข้ามานั้นมีประสิทธิภาพ ก็เป็นการตอบโต้ที่มีแต่ปลายเหตุ ไม่มีเอกสารทางวิชาการอ้างอิง นอกจากนี้ การโพสต์ชี้แจงของนาย
อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่ระบุว่า วัคซีนซิโนแวคได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก หรือฮูนั้น แต่ข้อเท็จจริงคือยังไม่มีข้อมูลว่าวัคซีนซิโนแวคได้รับการขึ้นทะเบียนแล้วหรือไม่ เพราะล่าสุดที่ตนตรวจสอบคือ วัคซีนของซิโนแวคยังไม่ได้รับการขึ้นทะเบียน
“
เรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงกรณีจีที200 ที่ผู้ผลิตออกมายอมรับแล้วแต่ผู้ซื้อกลับแก้ตัวแทนผู้ผลิตแบบนี้ อย่างไรก็ตาม การที่วัคซีนซิโนแวคมีปัญหาแบบนี้ จะโทษนายอนุทินก็ไม่ได้ เพราะใครจะไปรู้ว่าวัคซีนตัวนี้จะใช้ไม่ได้ผลกับสายพันธุ์อังกฤษ แต่สิ่งที่เราต้องติติงนายอนุทินคือ ท่ามกลางความไม่รู้ว่าวัคซีนตัวใดจะเผชิญกับข้อจำกัดอะไรบ้าง รัฐบาลจึงควรกระจายความเสี่ยงในการจัดหาวัคซีน แต่กลับกระจุกความเสี่ยงไว้ที่แอสตร้าเซนเนก้าถึง 60 ล้านโดส แล้วนำซิโนแวคมาเป็นวัคซีนแก้เขินแก้ขัด” นาย
วิโรจน์กล่าว
นาย
วิโรจน์กล่าวว่า นอกจากนี้ การส่งมอบวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าจะส่งมอบทันเดือนมิถุนายนหรือไม่ ก็เป็นเรื่องน่ากังวล เพราะหากไม่มีความกังวล นาย
อนุทินคงไม่เจรจาซื้อวัคซีนซิโนแวคเพิ่มอีก 5 ล้านโดส การไม่กระจายความเสี่ยงในการจัดหาวัคซีนเป็นการพาประชาชนมาอยู่ในความเสี่ยง ซึ่งส่วนใหญ่คือคนตัวเล็กตัวน้อยที่ต้องแบกรับ ทั้งนี้ ตนอยากจะฝากไปถึงแพทย์ที่บอกว่า ประเทศไทยไม่ได้ร่ำรวยที่จะจองวัคซีนแบบกระจายความเสี่ยง แต่อยากถามกลับว่า เราร่ำรวยพอที่จะแบกรับความเสียหายทางเศรษฐกิจ 2.5 แสนล้านบาทต่อเดือน และอำมหิตพอที่จะปล่อยให้คนตัวเล็กตัวน้อย หรือหาเช้ากินค่ำต้องมาเดือดร้อนหรือไม่
“
แม้วัคซีนจะมีประสิทธิภาพต่ำ ทุกคนที่มีความเสี่ยงก็ควรฉีด ส่วนที่นายอนุทินบอกว่าถ้าใครเก่งนักก็มาเป็นรัฐมนตรีเองนั้น นายอนุทินก็แค่ลาออก ไม่นานก็หาคนใหม่ได้ ตอนนี้ประชาชนตั้งคำถามแล้วว่า ในสถานการณ์ที่น่าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ เราหาคนที่ดีกว่านายอนุทินมาเป็นรัฐมนตรีไม่ได้แล้วหรือ ลาออกเหอะ เพราะประเทศไทยหาคนที่เก่งกว่าท่านไม่ยากแล้ว แต่หาคนที่แย่กว่าท่านยากกว่า” นาย
วิโรจน์กล่าว
ชูวิทย์ ยกทูตญี่ปุ่นรับก็จบ ถามรัฐคนดี เอาตร.เด็กๆมารับ คุ้มกับที่ปท.เสียหายแล้วหรือ?
https://www.matichon.co.th/politics/news_2671770
‘ชูวิทย์’ ยกทูตญี่ปุ่น ยอมรับก็จบ ถามรัฐคนดี เอาตร.เด็กๆมารับ คุ้มค่ากับที่ชาติ เสียหายแล้วหรือ?
วันนี้ (13 เม.ย.) นาย
ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตหัวหน้าพรรครักประเทศไทย ได้โพสต์ข้อเขียน เรื่อง รัฐบาลตีกรรเชียง เอาเบี้ยเซ่นโควิด เผยแพร่ผ่านเฟซบุ๊ก โดยระบุว่า
“พลันที่ทูตญี่ปุ่นก้มหัวขอโทษคนไทยว่าไปเที่ยว “คริสตัลคลับ” และติดเชื้อโควิด ขณะนี้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลแล้ว
ตรงไปตรงมาชัดเจน และยอมรับอย่างลูกผู้ชาย
เรื่องทุกอย่างจบทันที
ขณะที่ท่าทีของผู้นำรัฐบาลไทยยังเป็นคนดี มีศีลธรรม แต่ทีมงานใกล้ชิด เบื้องหลังเป็นนกสองหัวบ้าง หน้าหม้อบ้าง ยักคิ้วหลิ่วตาบ้าง บรรยายสรรพคุณว่า ไม่เคยไปที่ “อโคจร”
แต่กลับยอมให้ที่อโคจรอย่างคริสตัลคลับเปิดได้เสรี ไม่มีใบอนุญาต เป็นที่ประชุมหารือของเหล่าบรรดารัฐมนตรี นักการเมือง ตลอดจนแม้แต่ตำรวจก็ยังไปทำโพยโยกย้ายตำแหน่งกันที่นั่น หรือจะให้เรียกชื่อว่า “ปทุมวันคลับ” เข้าไปอีก?
ซ้ำรอยเดียวกับ “หลงจู๊สมชาย” เรื่องบ่อนระยองตัวการแพร่ระบาดครั้งก่อน ฝีมือเจ้ามือคนเดียวกัน
แต่ครั้งนี้เปลี่ยนสถานที่ เกิดชัดๆ ที่อัครสถานใจกลางทองหล่อเมืองฟ้าอมร โดยคนเส้นใหญ่ ใกล้ชิดตำรวจใหญ่มากๆ อย่าง “ปาป้าอ๊อด”
ส่วนคนใหญ่คนโตเที่ยวนี้เรียงคิวติดกันหมดยันตำรวจ แต่ดันไม่มีใครสักคนมีแอพมาเปิดเผย ทั้งๆ ที่รัฐบาลย้ำนักย้ำหนาว่า ต้องโหลดแอพ “หมอชนะ” แอพ “ไทยชนะ” เพื่อจะได้รู้ไทม์ไลน์ว่าไปไหน
ใครไม่โหลดมีสิทธิ์ติดคุก จนชาวบ้านโวยวาย
แต่วันนี้จะให้บอกว่าไปเที่ยวคริสตัลคลับแบบทูตญี่ปุ่นคงไม่ได้ ต้องดัดจริตแต่งไทม์ไลน์ใหม่ให้มี “จรรยาเพศ”
แทนที่จะยอมรับว่าไปเที่ยวมา และขอโทษสังคมแบบทูตญี่ปุ่น กลับมัวพัลวันปกป้องชื่อเสียง หน้าตา ภาพลักษณ์ของคณะรัฐบาลผู้ทรงเกียรติ
ใครที่ไป ใครที่ติด ก็ดัดแปลงไทม์ไลน์กันยกใหญ่ ไม่มีใครรับสักคน
แล้วย้ายแค่ระดับ ผู้กำกับ สารวัตรปราบปราม กับขังเด็กรับรถ 2 คน แลกกับความเดือดร้อนไปทั่วเหนือจรดใต้ มันคุ้มกับความเสียหายทั้งประเทศหรือไง?
รัฐบาลท่านจะเอากันอย่างนี้หรือ?
แถมยัง “งก” วัคซีน เพิ่งงัวเงียตื่นแล้วละเมอบอกอย่างเดิม “ใส่หน้ากากตลอด ล้างมือบ่อยๆ ใช้เจลแอลกอฮอล์”
ครั้งนี้หนัก เกินกว่าจะเอาแค่เบี้ยมาเซ่น
จะหลอกชาวบ้านทั้งประเทศต่อไป หรือจะยอมรับความจริง และขอโทษประชาชน?
ส่วนรัฐบาลสะกิดตำรวจ ต้องเลิกเล่นละครเแกล้งหลงทางพรรคพวกกัน ทำนองเดียวกับ “หลงจู๊สมชาย” แต่เที่ยวนี้เป็น “ปาป้าอ๊อด” (ปาป้า หมายถึงมาม่าซัง แต่เป็นผู้ชาย หรือตุ๊ด คุมเด็กในเลานจ์หรือซ่อง) เดินเส้นทางไปอยู่ด้วยกัน
รวมทั้งตำรวจระดับใหญ่กว่าที่คุมเรื่องอบายมุข ต้องโดนเซ่นไหว้เจ้าโควิด
เอาแค่สอบ “เส้นทางการเงิน” จากเครื่องรูดบัตรไปถึงบัญชีธนาคาร ก็จะรู้แล้วว่าหนาวไปถึงใครที่รับประโยชน์บนความเดือดร้อนของประชาชนกลางฤดูร้อนนี้
ท่านผู้นำไทย นายกตู่ไม่สนบ้างหรือครับ ว่าใครที่ทำประเทศไทยอันเป็นที่รักของท่านเสียหายบัดซบป่นปี้ช่วงสงกรานต์นี้ ธุรกิจการค้า ท่องเที่ยวซบเซา คนไม่กล้าเดินทาง ไปยันตลาดหุ้นหล่นตกฮวบเมื่อวาน เสียหายรวมกันเป็นแสนล้าน
คงไม่ใช่แค่โชว์ย้ายเอาผู้กำกับ สารวัตรเด็กๆ แลกเอาความเดือดร้อนของคนไทยทั้งประเทศ
เห็นวิธีแก้ปัญหาแบบแก้ผ้าเอาหน้ารอดของรัฐบาลแล้วน่าเป็นห่วง ว่ารอบต่อไปคงมาอีกไม่นานนี้
หรือต้องจำรับสภาพแบบที่ท่านว่าไว้จริงๆ “อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด”
เพราะมัวแต่ตีกรรเชียงเอาตัวรอด พร่ำห่วงชื่อเสียงหน้าตาของรัฐบาลไปวันๆ เท่านั้นเอง
แล้วเทศนาชาวบ้านให้เป็นคนดีต่อไปนะจ๊ะ หนูนะ รัฐบาลทำงานหนัก เป็นห่วงประชาชนนะ จุ๊บๆ”
https://www.facebook.com/ChuvitKamolvisit/posts/4379364992110196
JJNY : ‘วิโรจน์’หวั่นซ้ำรอยจีที200│ชูวิทย์ยกทูตญี่ปุ่น│โควิดฉุดท่องเที่ยวไตรมาส2│หวั่นประท้วงเมียนมาทุบส่งออกชายแดนวูบ
https://www.matichon.co.th/politics/news_2672027
‘วิโรจน์’ แนะ ‘อนุทิน’ ยอมจำนน ซิโนแวคประสิทธิภาพต่ำ หยุดลาก ปชช.จมความเสี่ยง ด้วยการแทงม้าตัวเดียว ยกงานวิจัยโต้หมอ อย่าพูดลอยๆ
จากกรณีที่ ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ที่นำมาฉีดในประเทศไทย ทั้งซิโนแวคและแอสตร้าเซนเนก้า มีประสิทธิภาพดีมากในการลดความรุนแรงของโรค ช่วยป้องกันการป่วยที่มีอาการมาก และป้องกันการเสียชีวิตได้ 100 เปอร์เซ็นต์ รวมถึงสายพันธุ์อังกฤษ B.1.1.7 ด้วย ขณะที่ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมโรคระบาดของจีน (China Centers for Disease Control-CDC) แถลงเมื่อวันที่ 10 เมษายน กลับยอมรับว่าวัคซีนของจีนที่มีอยู่ในปัจจุบัน มีอัตราป้องกันเชื้อไม่ได้สูงมากนัก
นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้สัมภาษณ์ว่า การที่ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมโรคระบาดของจีนออกมาเปิดเผยด้วยตัวเองนั้น เราในฐานะผู้ซื้อควรจะหารือกับผู้ผลิตและจำหน่ายได้แล้วว่าเราจะแก้ปัญหานี้อย่างไร เพราะยังมีวัคซีนล็อตต่อไปรอส่งมอบ เราควรยอมจำนนได้แล้ว โดยวารสารการแพทย์นิวอิงแลนด์ (The New England Journal of Medicine) ที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกได้ตีพิมพ์ว่า วัคซีนซิโนแวคมีผลต่อสายพันธุ์อังกฤษต่ำ แต่กลับมีผู้เชี่ยวชาญออกมาพูดลอยๆ และการโต้แย้งผลการวิจัยต้องนำผลการวิจัยที่มีระดับความน่าเชื่อถือ ที่เทียบเท่า หรือสูงกว่ามาอ้างอิง อย่างไรก็ตาม ตนไม่ได้บอกว่าวัคซีนทั้งสองยี่ห้อจะใช้ไม่ได้ผลเลย เพียงแต่มีประสิทธิภาพต่ำ ซึ่งประเทศชิลีก็เป็นตัวอย่างให้เห็น คือเป็นประเทศที่ฉีดวัคซีนได้มากเป็นอันดับที่ 2 ของโลก แต่ไม่สามารถควบคุมการระบาดของไวรัสได้ เพราะวัคซีนกว่า 90 เปอร์เซ็นต์เป็นซิโนแวค แล้วไทยจะเดินตามแบบนี้หรือ
นายวิโรจน์กล่าวว่า ล่าสุด นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ ที่ปรึกษาระดับกระทรวง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ที่ออกมายืนยันว่าวัคซีนที่ไทยนำเข้ามานั้นมีประสิทธิภาพ ก็เป็นการตอบโต้ที่มีแต่ปลายเหตุ ไม่มีเอกสารทางวิชาการอ้างอิง นอกจากนี้ การโพสต์ชี้แจงของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่ระบุว่า วัคซีนซิโนแวคได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก หรือฮูนั้น แต่ข้อเท็จจริงคือยังไม่มีข้อมูลว่าวัคซีนซิโนแวคได้รับการขึ้นทะเบียนแล้วหรือไม่ เพราะล่าสุดที่ตนตรวจสอบคือ วัคซีนของซิโนแวคยังไม่ได้รับการขึ้นทะเบียน
“เรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงกรณีจีที200 ที่ผู้ผลิตออกมายอมรับแล้วแต่ผู้ซื้อกลับแก้ตัวแทนผู้ผลิตแบบนี้ อย่างไรก็ตาม การที่วัคซีนซิโนแวคมีปัญหาแบบนี้ จะโทษนายอนุทินก็ไม่ได้ เพราะใครจะไปรู้ว่าวัคซีนตัวนี้จะใช้ไม่ได้ผลกับสายพันธุ์อังกฤษ แต่สิ่งที่เราต้องติติงนายอนุทินคือ ท่ามกลางความไม่รู้ว่าวัคซีนตัวใดจะเผชิญกับข้อจำกัดอะไรบ้าง รัฐบาลจึงควรกระจายความเสี่ยงในการจัดหาวัคซีน แต่กลับกระจุกความเสี่ยงไว้ที่แอสตร้าเซนเนก้าถึง 60 ล้านโดส แล้วนำซิโนแวคมาเป็นวัคซีนแก้เขินแก้ขัด” นายวิโรจน์กล่าว
นายวิโรจน์กล่าวว่า นอกจากนี้ การส่งมอบวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าจะส่งมอบทันเดือนมิถุนายนหรือไม่ ก็เป็นเรื่องน่ากังวล เพราะหากไม่มีความกังวล นายอนุทินคงไม่เจรจาซื้อวัคซีนซิโนแวคเพิ่มอีก 5 ล้านโดส การไม่กระจายความเสี่ยงในการจัดหาวัคซีนเป็นการพาประชาชนมาอยู่ในความเสี่ยง ซึ่งส่วนใหญ่คือคนตัวเล็กตัวน้อยที่ต้องแบกรับ ทั้งนี้ ตนอยากจะฝากไปถึงแพทย์ที่บอกว่า ประเทศไทยไม่ได้ร่ำรวยที่จะจองวัคซีนแบบกระจายความเสี่ยง แต่อยากถามกลับว่า เราร่ำรวยพอที่จะแบกรับความเสียหายทางเศรษฐกิจ 2.5 แสนล้านบาทต่อเดือน และอำมหิตพอที่จะปล่อยให้คนตัวเล็กตัวน้อย หรือหาเช้ากินค่ำต้องมาเดือดร้อนหรือไม่
“แม้วัคซีนจะมีประสิทธิภาพต่ำ ทุกคนที่มีความเสี่ยงก็ควรฉีด ส่วนที่นายอนุทินบอกว่าถ้าใครเก่งนักก็มาเป็นรัฐมนตรีเองนั้น นายอนุทินก็แค่ลาออก ไม่นานก็หาคนใหม่ได้ ตอนนี้ประชาชนตั้งคำถามแล้วว่า ในสถานการณ์ที่น่าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ เราหาคนที่ดีกว่านายอนุทินมาเป็นรัฐมนตรีไม่ได้แล้วหรือ ลาออกเหอะ เพราะประเทศไทยหาคนที่เก่งกว่าท่านไม่ยากแล้ว แต่หาคนที่แย่กว่าท่านยากกว่า” นายวิโรจน์กล่าว
ชูวิทย์ ยกทูตญี่ปุ่นรับก็จบ ถามรัฐคนดี เอาตร.เด็กๆมารับ คุ้มกับที่ปท.เสียหายแล้วหรือ?
https://www.matichon.co.th/politics/news_2671770
‘ชูวิทย์’ ยกทูตญี่ปุ่น ยอมรับก็จบ ถามรัฐคนดี เอาตร.เด็กๆมารับ คุ้มค่ากับที่ชาติ เสียหายแล้วหรือ?
วันนี้ (13 เม.ย.) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตหัวหน้าพรรครักประเทศไทย ได้โพสต์ข้อเขียน เรื่อง รัฐบาลตีกรรเชียง เอาเบี้ยเซ่นโควิด เผยแพร่ผ่านเฟซบุ๊ก โดยระบุว่า
“พลันที่ทูตญี่ปุ่นก้มหัวขอโทษคนไทยว่าไปเที่ยว “คริสตัลคลับ” และติดเชื้อโควิด ขณะนี้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลแล้ว
ตรงไปตรงมาชัดเจน และยอมรับอย่างลูกผู้ชาย
เรื่องทุกอย่างจบทันที
ขณะที่ท่าทีของผู้นำรัฐบาลไทยยังเป็นคนดี มีศีลธรรม แต่ทีมงานใกล้ชิด เบื้องหลังเป็นนกสองหัวบ้าง หน้าหม้อบ้าง ยักคิ้วหลิ่วตาบ้าง บรรยายสรรพคุณว่า ไม่เคยไปที่ “อโคจร”
แต่กลับยอมให้ที่อโคจรอย่างคริสตัลคลับเปิดได้เสรี ไม่มีใบอนุญาต เป็นที่ประชุมหารือของเหล่าบรรดารัฐมนตรี นักการเมือง ตลอดจนแม้แต่ตำรวจก็ยังไปทำโพยโยกย้ายตำแหน่งกันที่นั่น หรือจะให้เรียกชื่อว่า “ปทุมวันคลับ” เข้าไปอีก?
ซ้ำรอยเดียวกับ “หลงจู๊สมชาย” เรื่องบ่อนระยองตัวการแพร่ระบาดครั้งก่อน ฝีมือเจ้ามือคนเดียวกัน
แต่ครั้งนี้เปลี่ยนสถานที่ เกิดชัดๆ ที่อัครสถานใจกลางทองหล่อเมืองฟ้าอมร โดยคนเส้นใหญ่ ใกล้ชิดตำรวจใหญ่มากๆ อย่าง “ปาป้าอ๊อด”
ส่วนคนใหญ่คนโตเที่ยวนี้เรียงคิวติดกันหมดยันตำรวจ แต่ดันไม่มีใครสักคนมีแอพมาเปิดเผย ทั้งๆ ที่รัฐบาลย้ำนักย้ำหนาว่า ต้องโหลดแอพ “หมอชนะ” แอพ “ไทยชนะ” เพื่อจะได้รู้ไทม์ไลน์ว่าไปไหน
ใครไม่โหลดมีสิทธิ์ติดคุก จนชาวบ้านโวยวาย
แต่วันนี้จะให้บอกว่าไปเที่ยวคริสตัลคลับแบบทูตญี่ปุ่นคงไม่ได้ ต้องดัดจริตแต่งไทม์ไลน์ใหม่ให้มี “จรรยาเพศ”
แทนที่จะยอมรับว่าไปเที่ยวมา และขอโทษสังคมแบบทูตญี่ปุ่น กลับมัวพัลวันปกป้องชื่อเสียง หน้าตา ภาพลักษณ์ของคณะรัฐบาลผู้ทรงเกียรติ
ใครที่ไป ใครที่ติด ก็ดัดแปลงไทม์ไลน์กันยกใหญ่ ไม่มีใครรับสักคน
แล้วย้ายแค่ระดับ ผู้กำกับ สารวัตรปราบปราม กับขังเด็กรับรถ 2 คน แลกกับความเดือดร้อนไปทั่วเหนือจรดใต้ มันคุ้มกับความเสียหายทั้งประเทศหรือไง?
รัฐบาลท่านจะเอากันอย่างนี้หรือ?
แถมยัง “งก” วัคซีน เพิ่งงัวเงียตื่นแล้วละเมอบอกอย่างเดิม “ใส่หน้ากากตลอด ล้างมือบ่อยๆ ใช้เจลแอลกอฮอล์”
ครั้งนี้หนัก เกินกว่าจะเอาแค่เบี้ยมาเซ่น
จะหลอกชาวบ้านทั้งประเทศต่อไป หรือจะยอมรับความจริง และขอโทษประชาชน?
ส่วนรัฐบาลสะกิดตำรวจ ต้องเลิกเล่นละครเแกล้งหลงทางพรรคพวกกัน ทำนองเดียวกับ “หลงจู๊สมชาย” แต่เที่ยวนี้เป็น “ปาป้าอ๊อด” (ปาป้า หมายถึงมาม่าซัง แต่เป็นผู้ชาย หรือตุ๊ด คุมเด็กในเลานจ์หรือซ่อง) เดินเส้นทางไปอยู่ด้วยกัน
รวมทั้งตำรวจระดับใหญ่กว่าที่คุมเรื่องอบายมุข ต้องโดนเซ่นไหว้เจ้าโควิด
เอาแค่สอบ “เส้นทางการเงิน” จากเครื่องรูดบัตรไปถึงบัญชีธนาคาร ก็จะรู้แล้วว่าหนาวไปถึงใครที่รับประโยชน์บนความเดือดร้อนของประชาชนกลางฤดูร้อนนี้
ท่านผู้นำไทย นายกตู่ไม่สนบ้างหรือครับ ว่าใครที่ทำประเทศไทยอันเป็นที่รักของท่านเสียหายบัดซบป่นปี้ช่วงสงกรานต์นี้ ธุรกิจการค้า ท่องเที่ยวซบเซา คนไม่กล้าเดินทาง ไปยันตลาดหุ้นหล่นตกฮวบเมื่อวาน เสียหายรวมกันเป็นแสนล้าน
คงไม่ใช่แค่โชว์ย้ายเอาผู้กำกับ สารวัตรเด็กๆ แลกเอาความเดือดร้อนของคนไทยทั้งประเทศ
เห็นวิธีแก้ปัญหาแบบแก้ผ้าเอาหน้ารอดของรัฐบาลแล้วน่าเป็นห่วง ว่ารอบต่อไปคงมาอีกไม่นานนี้
หรือต้องจำรับสภาพแบบที่ท่านว่าไว้จริงๆ “อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด”
เพราะมัวแต่ตีกรรเชียงเอาตัวรอด พร่ำห่วงชื่อเสียงหน้าตาของรัฐบาลไปวันๆ เท่านั้นเอง
แล้วเทศนาชาวบ้านให้เป็นคนดีต่อไปนะจ๊ะ หนูนะ รัฐบาลทำงานหนัก เป็นห่วงประชาชนนะ จุ๊บๆ”
https://www.facebook.com/ChuvitKamolvisit/posts/4379364992110196